เรือนตรงกลางคือเรือนที่หรูหราที่สุดของตระกูลโหรวและเป็นเรือนที่โหรวฉิงพักอาศัยอยู่เป็นประจำ
อย่างไรก็ตาม แทนที่จะจัดงานเลี้ยงในสถานที่ประจำของตระกูล โหรวฉิงกลับเลือกที่จะจัดงานเลี้ยงอาหารในบริเวณเรือนส่วนตัวของนางซึ่งให้บรรยากาศที่สนิทสนมและใกล้ชิดกันมากกว่า
ภายในบริเวณนี้ เฉินเซี่ยวลั่วและซ่างสี่ซานกำลังนั่งจิบชาอย่างสบาย ๆ เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เดินเข้ามา พวกเขาก็รีบยืนขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มทันที
ทั้งซ่างสี่ซานและเฉินเซี่ยวลั่วมาที่นี่เพียงลำพังและไม่มีใครอื่นติดตามมาด้วย สาเหตุที่ทั้งสองเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่ตระกูลโหรวครานี้ก็เป็นเพราะสงสัยใคร่รู้ในตัวฉินอวี้โม่เท่านั้นและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพาใครอื่นมาด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทั้งสามตระกูลก็มีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีต่อกันมาตลอด แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสนัดพบกันมากนัก พวกเขาก็ไม่สนใจเรื่องพิธีรีตองอะไรนัก
“ฮ่า ๆ ๆ สหายน้อยอวี้โม่ปล่อยให้พวกเรารอนานทีเดียว !”
เฉินเซี่ยวลั่วกล่าวติดตลกพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
ฉินอวี้โม่ก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายเพียงกล่าววาจาหยอกเย้าเท่านั้นและตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน “ข้ามักจะนอนหลับจนกระทั่งตื่นด้วยตัวเองเจ้าค่ะ ข้าก็เลยมาช้าไปเล็กน้อย”
“ฮ่า ๆ ๆ นอนหลับจนกว่าจะตื่นเองงั้นรึ นั่นเป็นสิ่งที่ใครต่อใครใฝ่ฝันถึงเชียวล่ะ น่าเสียดายที่โลกนี้มีปัญหาให้กังวลมากเกินไป มิใช่ทุกคนที่จะทำทุกอย่างตามใจตนได้”
ซ่างสี่ซานหัวเราะเบา ๆ และกล่าวเจือด้วยเสียงถอนหายใจ ในฐานะผู้นำตระกูลใหญ่อย่างตระกูลซ่าง เขามีเรื่องยุ่งวุ่นวายที่ต้องจัดการมากมาย การได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มจนกระทั่งร่างกายตื่นขึ้นเองนั้นถือเป็นความหวังที่เกินจริงสำหรับเขา
ผู้คนในโลกนี้ต่างก็มีความกังวลของตนเองทั้งสิ้นและมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะปล่อยวางใจได้อย่างสบาย ๆ เหมือนกับฉินอวี้โม่
“นั่งลงก่อนเถอะ พวกเราจะได้พูดคุยกันสะดวก”
โหรวฉิงกล่าวพร้อมผายมือเชิญทุกคนนั่งลง
งานเลี้ยงอาหารในวันนี้ถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี เก้าอี้ถูกจัดเรียงไว้ทั้งสองฝั่งโดยที่โหรวฉิงนั่งอยู่ทางซ้ายมือและฉินอวี้โม่อยู่ถัดจากนาง ส่วนเฉินเซี่ยวลั่วและซ่างสี่ซานนั่งอยู่ตรงข้ามกับฉินอวี้โม่ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ เป็นกันเอง
ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ก็หาที่นั่งลงเช่นกัน แม้พวกเขายังประหม่าพอสมควร แต่ทุกคนก็เก็บอาการและไม่แสดงสิ่งใดออกทางสีหน้า
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่พวกเขาจะประหม่ากันเช่นนี้ เนื่องจากพวกเขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาจากอำเภอเล็ก ๆ ที่ห่างไกลอย่างอำเภอซ่างหยวน พวกเขาจะเคยคิดฝันว่าจะได้มีโอกาสนั่งร่วมรับประทานอาหารกับผู้มีอิทธิพลเช่นนี้ได้อย่างไร ? หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ ผู้นำตระกูลใหญ่ทั้งสามของเมืองเทียนหยวนคงเป็นได้เพียงบุคคลที่สูงส่งเกินเอื้อมสำหรับพวกเขา
ผู้คนของตระกูลโหรวก็มองดูอย่างสงสัยใคร่รู้จากบริเวณประตูด้านหน้าเรือนทว่าไม่ก้าวเข้ามาข้างใน เวลานี้สาวรับใช้หลายคนยกอาหารในจานสวยงามที่หน้าตาน่ารับประทานเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมโชยในอากาศ
“ทั้งหมดเป็นอาหารที่พวกเราปรุงขึ้นมาเอง หากต้องการทานอาหารรสชาติแบบใด น้องอวี้โม่ก็สั่งได้ตามต้องการ”
แม้กล่าวว่าเป็นอาหารที่ปรุงขึ้นเองในตระกูล อาหารเหล่านี้ก็ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย วัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้ปรุงอาหารเหล่านี้ด้วยเต็มไปด้วยพลังมายาที่หนาแน่นและผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถัน สำหรับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของจางเหิงและฉื่อไท่หลาง มื้ออาหารเหล่านี้สามารถช่วยให้พลังของพวกเขาพัฒนาได้พอสมควร
“พี่โหรวเจ้าคะ ท่านสุภาพเกินไปแล้ว นี่คืออาหารมื้อที่ดีที่สุดที่ข้าเคยรับประทานตั้งแต่มาที่ดินแดนมหาเทพแห่งนี้”
ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มและกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ
หากอาหารมื้อนี้อยู่ในดินแดนระดับที่ต่ำกว่าอย่างดินแดนเทพมายา แม้แต่ขุมกำลังใหญ่ ๆ ก็สามารถจัดหารับประทานได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น
“น้องอวี้โม่มิใช่คนของดินแดนมหาเทพอย่างนั้นหรือ ?”
โหรวฉิงประหลาดใจทันทีที่ได้ยินว่าแท้ที่จริงแล้วฉินอวี้โม่ไม่ได้มาจากดินแดนมหาเทพ
ซ่างสี่ซานและเฉินเซี่ยวลั่วเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะไม่สามารถสืบหาข้อมูลของฉินอวี้โม่ได้ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด เวลานี้สาเหตุของมันก็กระจ่างแจ้งเสียที
แท้ที่จริงแล้วนางมิใช่ประชากรของดินแดนมหาเทพ หากแต่มาจากดินแดนอื่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลที่พวกเขาจะไม่พบเบาะแสของนางแม้แต่น้อย
“ข้ามาจากดินแดนเทพมายา”
ฉินอวี้โม่ไม่ปิดบังความจริงจากคนเหล่านี้ ซ่างสี่ซานและเฉินเซี่ยวลั่วขอเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่โหรวฉิงจัดขึ้นเพียงเพื่อต้องการทำความรู้จักกับนางมากขึ้น ฉินอวี้โม่เชื่อว่าการเปิดเผยข้อมูลบางอย่างถือเป็นเครื่องมือที่ดีในการทดสอบทัศนคติของคนเหล่านี้
“ดินแดนเทพมายา…นั่นมันดินแดนที่มีระดับต่ำกว่าที่นี่มิใช่รึ ?”
เมื่อฉินอวี้โม่กล่าวว่านางมิใช่คนของดินแดนมหาเทพ พวกเขาก็ไม่ได้นึกสงสัยอะไร อย่างไรก็ตาม พวกเขาคาดการณ์ไว้ว่านางน่าจะเป็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้แกร่งกล้าจากดินแดนที่อยู่ในระดับสูงกว่าที่นี่ ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วนางจะมาจากดินแดนที่มีระดับต่ำกว่าได้
ในสายตาของคนส่วนใหญ่ในดินแดนมหาเทพ คนจากดินแดนในระดับต่ำเป็นเพียงมดปลวกที่ไม่ได้อยู่ในสายตา พวกเขาไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้ที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นและเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติทุกด้านอย่างนี้จะมาจากดินแดนที่มีระดับต่ำกว่าพวกตน
“ข้ามาจากดินแดนที่ระดับต่ำกว่าที่นี่จริง ๆ ทว่าดินแดนระดับต่ำเหล่านั้นก็มิได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดหรอก ในดินแดนระดับต่ำกว่ามีผู้มากพรสวรรค์อย่างข้าเป็นจำนวนไม่น้อยเลย เพียงแต่พวกเขาเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีทรัพยากรน้อยกว่าพวกท่าน ความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงด้อยกว่าไปโดยปริยาย”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างจริงจัง นางทราบดีว่าคนส่วนใหญ่ในดินแดนมหาเทพดูแคลนคนจากดินแดนที่ต่ำกว่า แม้ผู้นำตระกูลทั้งสามจะพยายามควบคุมสีหน้าเพื่อมิให้บ่งบอกความรู้สึกใด ทว่าในความรู้สึกลึก ๆ ของพวกเขาก็คงจะตกใจไม่น้อย ถึงอย่างไรนางก็ได้สัมผัสทุกอย่างมากับตนเองและได้มีโอกาสอาศัยอยู่ในดินแดนหลายแห่ง นางจึงเชื่อว่าคนจากดินแดนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีพรสวรรค์ที่ด้อยไปกว่าประชากรในดินแดนที่ระดับสูงกว่าเลย เพียงแต่พวกเขาเกิดในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันและทรัพยากรก็แตกต่างกันส่งผลให้พวกเขาอ่อนแอกว่าคนจากดินแดนระดับสูงกว่าก็เท่านั้น หากได้อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกันและมีทรัพยากรที่เหมือน ๆ กัน คนเหล่านั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนของดินแดนมหาเทพอย่างแน่นอน
“สหายน้อยอวี้โม่ เจ้ากำลังเข้าใจผิดแล้ว เราไม่ดูถูกดูแคลนคนจากดินแดนที่ต่ำกว่าหรอก เพียงแต่เราคิดว่ามันประหลาดก็เท่านั้น ในเมื่อปีศาจเหนือมนุษย์อย่างเจ้าอยู่ในดินแดนเทพมายา เชื่อว่าที่นั่นคงจะมีคนอื่น ๆ ที่โดดเด่นอีกมาก”
เฉินเซี่ยวลั่วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม พวกเขาไม่คิดที่จะดูถูกดูแคลนคนจากดินแดนระดับที่ต่ำกว่า แม้ในอดีตอาจเคยมีความคิดเช่นนั้นอยู่บ้าง ทว่าหลังจากได้เห็นความน่าทึ่งของฉินอวี้โม่ เขาก็ไม่มีความคิดนั้นอีกต่อไป
“น้องอวี้โม่ เจ้ามาที่ดินแดนมหาเทพด้วยตัวคนเดียวรึ ?”
โหรวฉิงจับมือฉินอวี้โม่โดยไม่เอ่ยถามรายละเอียดให้มากความทว่าคาดเดาบางอย่างได้ทันที ช่องว่างระหว่างแต่ละดินแดนนั้นชัดเจนมากและโดยทั่วไปแล้วคนจากดินแดนระดับที่ต่ำกว่าจะไม่มาที่ดินแดนระดับสูงกว่า ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่จะต้องอยู่ในระดับสูงสุดของดินแดนแห่งนั้นอย่างแน่นอน และการที่นางเดินทางมาที่ดินแดนมหาเทพเช่นนี้ เชื่อว่านางน่าจะมีเหตุผลบางอย่าง
“ข้ามากับสามี บิดาและสหายอีกสองสามคนเจ้าค่ะ ทว่าเคราะห์ร้ายที่พวกเราทั้งหมดพลัดพรากจากกันในระหว่างทาง”
ฉินอวี้โม่ยักไหล่เล็กน้อยและไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น นางต้องการถือโอกาสนี้เพื่อขอให้โหรวฉิงและคนอื่น ๆ ช่วยสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหานโม่ฉือ ฉินเทียนและคนอื่น ๆ
“จริงรึ ?!”
โหรวฉิงชะงักไปทันที นางคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ถึงอย่างไรสตรีผู้นี้ก็ยังดูเยาว์วัยนักและน่าจะยังไม่มีครอบครัว
“เจ้าค่ะ ข้าก็อยากจะถือโอกาสนี้เพื่อขอให้พี่โหรวช่วยข้าสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับพวกเขาเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวความต้องการของตนออกไปโดยตรง
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ไม่ทราบว่าพวกเขามีชื่อว่าอะไรกันบ้าง มีความแข็งแกร่งในระดับใดและมีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นเช่นใด ?”
โหรวฉิงตกปากรับคำโดยไม่ลังเล นางก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าผู้ที่เดินทางข้ามดินแดนมากับฉินอวี้โม่จะเป็นสัตว์ประหลาดเหนือมนุษย์เช่นเดียวกับนางหรือไม่
ฉินอวี้โม่เล่าข้อมูลโดยรวมเกี่ยวกับหานโม่ฉือและคนอื่น ๆ ให้โหรวฉิงได้ทราบอย่างคร่าว ๆ ก่อนหยิบภาพวาดจำนวนหนึ่งออกมายื่นให้อีกฝ่าย
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็คงจะพัฒนาขึ้นมากแล้ว ในเมื่อพวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธ์ที่โดดเด่นมากฝีมือ การสืบหาเบาะแสก็คงจะไม่ยากนัก”
โหรวฉิงมองดูภาพวาดเหล่านั้นพลางกล่าวออกไป ต้องกล่าวเลยว่าแม้นางจะเคยพบกับบุรุษรูปงามมาแล้วมากมาย นางก็ยังตกตะลึงเมื่อเห็นภาพวาดของหานโม่ฉือ
แม้เป็นเพียงภาพวาด ทว่ารูปลักษณ์ที่งดงามไร้ที่เปรียบก็ทำให้นางตกตะลึงได้ง่าย ๆ และเชื่อว่าตัวจริงของเขาจะต้องหล่อเหลากว่านี้แน่
“ไม่ต้องทำให้เรื่องวุ่นวายนักหรอก ด้วยความแข็งแกร่งของสหายน้อยอวี้โม่ การที่จะเข้าสู่รอบสุดท้ายของการคัดเลือกก็มิใช่ปัญหาเลย ในเมื่อสหายทั้งหลายของนางก็มีฝีมือที่โดดเด่นไม่ต่างกัน หากพวกเขาเข้าร่วมการคัดเลือก พวกเขาก็จะเข้าไปถึงรอบสุดท้ายได้เช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นพวกนางก็จะได้พบกันอีกครั้ง”
แม้เฉินเซี่ยวลั่วกล่าวเช่นนี้ เขาก็จดจำรายละเอียดโดยรวมที่ฉินอวี้โม่กล่าวเมื่อครู่และจะส่งคนออกไปสืบหาเบาะแสทันทีที่กลับถึงจวนตระกูล
“น้องอวี้โม่ ข้าคงต้องขอเสียมารยาทถาม…ตอนนี้เจ้ามีอายุเท่าใดรึ ?”
โหรวฉินยื่นภาพวาดให้กับสมาชิกตระกูลโหรวเพื่อให้พวกเขาออกไปสืบหาเบาะแสในทันทีก่อนเอ่ยถามฉินอวี้โม่อย่างสงสัยใคร่รู้
การได้ทราบว่าฉินอวี้โม่แต่งงานและมีบุตรน้อยสองคนทำให้นางตกตะลึงยิ่งนัก โหรวฉิงจึงคาดเดาว่านางน่าจะมีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี ทว่ายังติดใจตรงที่รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายดูเยาว์วัยอย่างไม่น่าเชื่อ
“เพิ่งครบสามสิบปีเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวเพียงสั้น ๆ วันคล้ายวันเกิดครบรอบสามสิบปีของนางเพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
“สามสิบปี ?!”
ซ่างสี่ซานอดลุกพรวดไม่ได้และอุทานด้วยความตกใจเล็กน้อย พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าฉินอวี้โม่จะมีอายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น
การพัฒนากลายเป็นจอมยุทธ์ราชาเซียนทั้งที่มีอายุเพียงสามสิบปี…ฉินอวี้โม่ผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
แม้ดินแดนมหาเทพจะเต็มไปด้วยอัจฉริยะผู้เก่งกาจมากมาย ทว่ามีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะบรรลุขอบเขตราชาเซียนในอายุสามสิบปี แม้แต่ศิษย์ฝีมือดีจากสามสำนักและเก้านิกายบางคนก็อาจไม่สามารถบรรลุขอบเขตราชาเซียนได้ในวัยสามสิบปีด้วยซ้ำ
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบางๆโดยไม่กล่าวสิ่งใด และไม่คิดอธิบายว่านี่เป็นเพราะกระแสของเวลาในคฤหาสน์เฟิงหัวที่แตกต่างไปจากโลกภายนอก ส่งผลให้อายุจริงของนางไม่เปลี่ยนแปลงมากนักทั้งที่บ่มเพาะพลังมาได้จนถึงขั้นนี้
หากนับตามกระแสของเวลาภายในคฤหาสน์เฟิงหัว นางคงเป็นเทพธิดาอายุนับพันปีไปแล้ว…
“อะแฮ่ม…ข้าที่มีอายุถึงหลายร้อยปี ช่างน่าอายจริง ๆ ที่กล้าเรียกเจ้าว่าน้องอวี้โม่”
โหรวฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเก้อเขินไม่น้อย อายุจริงของนางมากกว่าสามร้อยปีเสียอีก ก่อนหน้านี้นางไม่รู้สึกกระดากใจมากนักทว่าในตอนนี้เมื่อทราบว่าตนเรียกคนรุ่นลูกรุ่นหลานว่าน้องสาว นางก็รู้สึกอึดอัดใจพอสมควร
“พี่โหรว มิตรภาพไม่ขึ้นอยู่กับวัย จอมยุทธ์อย่างเราไม่สนใจเรื่องอายุหรอก”
ฉินอวี้โม่แตะมือของโหรวฉิงเบา ๆ โดยไม่คิดติดใจสิ่งใด
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะทะนงตนกันมากเกินไป คิดไม่ถึงเลยว่าในดินแดนที่ต่ำกว่าจะมียอดฝีมือที่เก่งกาจเช่นนี้อยู่ หากเราไม่เพียรฝึกฝน เราอาจจะถูกกำจัดไปได้”
ซ่างสี่ซานกล่าวพลางถอนหายใจ ฉินอวี้โม่และบรรดาสหายล้วนมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาและความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นในปัจจุบันก็ไม่ด้อยกว่าพวกเขามากนัก เดิมทีพวกเขาเคยคิดว่าความแข็งแกร่งของตนนั้นยอดเยี่ยมมากแล้ว ทว่าตอนนี้ตระหนักได้แล้วว่าพวกเขามั่นใจในตนเองเกินไป
ทุกคนสนทนาพาทีกันท่ามกลางบรรยากาศสนุกสนานพักใหญ่ก่อนโหรวฉิงจะหยิบรายการบางอย่างส่งให้กับฉินอวี้โม่
“น้องอวี้โม่ ในเมื่อเจ้าไว้ใจพวกเรามากเช่นนี้ เราก็ไม่อาจปล่อยให้เป็นความไว้ใจเพียงฝ่ายเดียวได้ นี่คือรายชื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกในครานี้ซึ่งรวมถึงคนจากทั้งสามตระกูลของพวกเรา ในนี้มีข้อมูลของแต่ละคนโดยละเอียด เจ้าเอาไปศึกษาดูเถอะและจะได้เตรียมตัวให้พร้อม”
ก่อนหน้านี้ผู้นำตระกูลโหรวเพียงต้องการรู้จักฉินอวี้โม่มากขึ้นเท่านั้น ทว่าตอนนี้ได้สานสัมพันธ์ผูกมิตรกันแล้ว นางรู้สึกถูกชะตากับสตรีที่ตรงไปตรงมาผู้นี้ยิ่งนัก หากไม่ขัดข้องสิ่งใด นางและคนอื่น ๆ ก็ต้องการเชิญชวนฉินอวี้โม่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเช่นกัน
ผู้นำตระกูลทั้งสามมองหน้ากันและพยักศีรษะอย่างเข้าใจตรงกัน ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ กล่าวได้ว่านางถูกลิขิตให้กลายเป็นจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของดินแดนนี้ในสักวัน และเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาที่อยู่ต่อหน้านางก็คงจะไม่ต่างไปจากมดปลวก
“ขอบคุณพี่โหรวมากเจ้าค่ะ ข้าขอไม่เกรงใจ”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและรับมันไว้แต่โดยดี แท้จริงแล้วนางไม่จำเป็นต้องมีข้อมูลเหล่านี้ ทว่าฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ จะได้ใช้ประโยชน์จากมันอย่างแน่นอน นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสหายเหล่านี้จะได้ผ่านไปถึงการคัดเลือกรอบสุดท้ายกับตน