ในเวลานี้ใบหน้าของเถียนโป๋อันประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง ราวกับว่าตระกูลเถียนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใด ๆ กับหานโม่ฉือและเรื่องราวทั้งหมดก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
“เถียนโป๋อัน ไม่ต้องเสแสร้งทำเป็นพังพอนที่มาอวยพรปีใหม่ให้กับไก่หรอก อย่าคิดว่าพวกข้าจะไม่รู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
* 黄鼠狼给鸡拜年 มาจากสำนวน พังพอนมาสวัสดีปีใหม่ให้กับไก่ ไม่มีทางมาดีแน่นอนหมายถึง ต่อหน้าทำเป็นรักใคร่ห่วงใย แต่ใจจริงมุ่งร้ายไม่หวังดี
ก่อนที่หานโม่ฉือจะตอบสิ่งใด เหมียวเจินเจินก็เดินออกมาขวางและสาดวาจาตอบโต้เถียนโป๋อันอย่างไม่ไว้หน้า
ตระกูลเหมียวของนางและตระกูลเถียนมีเรื่องบาดหมางกันมานานหลายปีและแน่นอนว่าพวกนางย่อมทราบนิสัยของเถียนโป๋อันดีกว่าใคร การที่จู่ ๆ เขาก็คิดจัดงานเลี้ยงและอ้างว่าต้องการขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าพวกเขาจะต้องมีแผนการบางอย่างซ่อนไว้
“เจินเจิน ระหว่างเราสองตระกูลมีเรื่องเข้าใจผิดกันมากในอดีต นั่นคือสาเหตุที่เจ้าเข้าใจข้าผิดไป การที่ท่านพ่อของข้าอยากจะจัดงานเลี้ยงมิใช่เพียงเพื่อขอโทษคุณชายหานเท่านั้น ทว่ายังต้องการให้เราสองตระกูลสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอีกด้วย”
เถียนเยี่ยนจือผู้ซึ่งผ่านการคัดเลือกมาได้เช่นกันก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวอย่างใจเย็น
ท่าทางทะนงตนและเผด็จการที่มักแสดงออกตามปกติของนางหายไปอย่างสิ้นเชิงและในเวลานี้มีเพียงท่าทางของสตรีอ่อนโยนนุ่มนวลเท่านั้น
เถียนเยี่ยนจือในวันนี้แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของนางไม่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางหนาเตอะอีกต่อไป หากแต่เป็นเพียงเครื่องสำอางบาง ๆ ดูเป็นธรรมชาติ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่นางสวมก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ก่อนหน้านี้คุณหนูตระกูลเถียนผู้นี้มักสวมใส่อาภรณ์หลากสีสันสะดุดตาทว่าในวันนี้กลับสวมชุดยาวสีขาวสะอาดซึ่งดูเรียบง่ายทว่าสง่างาม
แม้รูปลักษณ์ของเถียนเยี่ยนจือจะไม่โดดเด่นนัก ทว่าชุดขาวในวันนี้ก็ทำให้คุณหนูของตระกูลเถียนดูบอบบางน่าทะนุถนอมขึ้นมาก
น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ทราบถึงธาตุแท้ของนางเป็นอย่างดีและไม่มีทางหลงกลเชื่อว่านางจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากถึงเพียงนี้
เหมียวเจินเจินก็กำลังจะกล่าวบางอย่างตอบโต้ ทว่าถูกหานโม่ฉือปรามไว้เสียก่อน
“ในเมื่อผู้นำเถียนเมตตาเช่นนี้ก็ยากที่ข้าจะปฏิเสธได้ ไม่ต้องห่วง เราจะไปที่นั่นอย่างแน่นอน”
เขากล่าวตอบรับเบา ๆ และสงสัยอย่างมากว่าตระกูลเถียนแอบซ่อนแผนการอะไรไว้ จากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ พวกเขาไม่มีทางทำอะไรตระกูลเหมียวอย่างซึ่ง ๆ หน้าอย่างแน่นอน ทว่าการแอบเล่นงานลับหลังก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น หานโม่ฉือรู้สึกได้ว่าแผนการของตระกูลเถียนในครานี้จะต้องเล็งเป้าหมายมาที่ตนโดยตรง
“ดีเลย ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะรอต้อนรับเจ้าที่จวน”
เมื่อหานโม่ฉือตกปากรับคำ เถียนโป๋อันและเถียนเยี่ยนจือก็แสดงสีหน้าดีใจทันที ทั้งสองลอบสบตากันและพยักศีรษะเบา ๆ อย่างรู้กัน
แน่นอนว่าหานโม่ฉือสังเกตเห็นท่าทางของทั้งสองและประกายบางอย่างฉายวาบในแววตาของเขา ไม่ว่าตระกูลเถียนจะวางแผนอะไรไว้ เขาจะไม่มีทางหลงกลอย่างแน่นอน
เมื่อสมาชิกตระกูลเถียนกล่าวอำลาและจากไป หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ ก็มุ่งหน้ากลับจวนตระกูลเหมียวเช่นกัน
“พี่หาน เห็นได้ชัดว่าสองพ่อลูกตระกูลเถียนนั่นแอบคิดการร้ายไว้ เหตุใดท่านจึงรับปากพวกเขาไปเช่นนั้นเล่า ?”
เหมียวเจินเจินถามด้วยความฉงนสงสัย นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหานโม่ฉือจึงตอบรับคำเชิญของเถียนโป๋อันไปเช่นนั้น
“หากไม่เข้าถ้ำเสือ เราก็ไม่มีวันได้ลูกเสือมาครอง”
หานโม่ฉือยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น หลังจากการคัดเลือกสิ้นสุดลง เขาก็ต้องไปจากเมืองเทียนยินแล้ว เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องการสะสางปัญหาเรื่องตระกูลเถียนให้ได้เสียก่อน
สำหรับเหตุการณ์เมื่อครู่ เหมียวเหรินจวินเดินทางกลับไปก่อนแล้วและไม่ทราบว่าหานโม่ฉือตอบรับคำเชิญของตระกูลเถียน
เมื่อพวกเขากลับถึงจวนตระกูลเหมียวและเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เหมียวเหรินจวินก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหานโม่ฉือ
“เราไม่ทราบเลยว่าตระกูลเถียนวางแผนอะไรไว้ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางปิดบังไปได้ตลอดหรอก ถูกแล้วที่โม่ฉือรับปากว่าจะไปที่จวนตระกูลเถียนเพื่อไปเห็นด้วยตาตนเองว่าสุดท้ายแล้วแผนการของพวกเขาคือสิ่งใดกันแน่”
ตระกูลเหมียวและตระกูลเถียนขัดแย้งกันมานานหลายปีและถึงเวลาต้องตัดสินผู้ชนะเสียที เมืองเทียนยินแห่งนี้ต้องการผู้ปกครองที่แท้จริง การคัดเลือกครานี้ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะสะสางความบาดหมางระหว่างทั้งสองตระกูลใหญ่ให้จบสิ้น
“คืนนี้…ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
เหมียวเหรินจวินตัดสินใจจะไปที่จวนตระกูลเถียนพร้อมกับหานโม่ฉือ
ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ตระกูลเถียนไม่มีทางทำอะไรพวกเขาได้ง่าย ๆ แน่ กอปรกับความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ ต่อให้ตระกูลเถียนมีแผนการชั่วร้ายซ่อนไว้ พวกเขาก็จะหาทางหนีทีไล่ได้ทัน
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปด้วย”
เหมียวเจินเจินเริ่มแสดงสีหน้าตื่นเต้นและต้องการเข้าร่วมสนุกด้วยเช่นกัน
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นทุกคนก็ไปร่วมสนุกด้วยกันเถอะ ถือซะว่าเป็นการฉลองการผ่านการคัดเลือกในวันแรกก็แล้วกัน”
เหมียวเหรินจวินก็ตัดสินใจที่จะพาสมาชิกคนอื่น ๆ ไปด้วย
หลังจากพักผ่อนอยู่ที่จวนตระกูลเหมียวพักหนึ่ง ทุกคนก็เตรียมตัวและมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลเถียน
ณ จวนตระกูลเถียน งานเลี้ยงได้ถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดีแล้ว ราวกับว่าพวกเขาต้องการขอโทษหานโม่ฉือและตระกูลเหมียวอย่างแท้จริงโดยที่เตรียมการทุกอย่างไว้อย่างพิถีพิถัน
อาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดแทบที่จะทำให้ทุกคนน้ำลายสอออกมา
คนของตระกูลเถียนก็กระตือรือร้นอย่างยิ่งเมื่อเห็นทุกคนจากตระกูลเหมียว ซึ่งพวกเขาให้การต้อนรับเป็นอย่างดีโดยไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์แม้แต่น้อย
ทุกคนในตระกูลเหมียวไม่ทราบถึงแผนการของตระกูลเถียน และผู้นำตระกูลเหมียวก็ได้กำชับพวกเขาไว้ว่าเมื่อมาถึงที่นี่ให้พวกเขาปล่อยตัวตามสบายและรับประทานอาหารและดื่มได้อย่างอิสระ เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงไม่ได้กังวลมากนักและมีความสุขกันอย่างมาก
หานโม่ฉือและเหมียวเหรินจวินก็ถือเป็นแขกคนพิเศษของตระกูลเถียน พวกเขาจึงถูกเชิญให้ไปนั่งในตำแหน่งที่แยกออกไป
“สหายเหมียว ก่อนหน้านี้ตระกูลของเราทั้งสองมีเรื่องบาดหมางกันมากเกินไป หลังจากวันนี้ ข้าหวังว่าตระกูลของเราจะลืมเรื่องราวในอดีตและสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เราจะไม่ต่อสู้หรือมีเรื่องขัดแย้งกันอีกในอนาคต”
เถียนโป๋อันหยิบแก้วสุราขึ้นมาและกล่าวกับเหมียวเหรินจวินพร้อมรอยยิ้ม
“หากสหายเถียนทำได้อย่างที่กล่าวมา ตระกูลเหมียวของเราก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่ข้ากลัวว่าวันนี้จะมีคนคิดร้ายและวาจาที่กล่าวมาทั้งหมดก็ล้วนเป็นเพียงลมปาก”
เหมียวเหรินจวินคลี่ยิ้มทว่ากล่าววาจาที่แฝงไปด้วยความหมายชัดเจน
เถียนโป๋อันเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีทว่าไม่สนใจและไม่รู้สึกหงุดหงิดแม้แต่น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ สหายเหมียวช่างเป็นคนตลกจริง ๆ”
เขาเพียงกล่าวออกไปพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ ทว่าเขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายทราบความหมายของตน เพียงแต่มันจะเป็นความจริงหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าแผนการต่อไปของพวกเขาจะสัมฤทธิผลหรือไม่
“เถียนเยี่ยนจือหายไปไหนเสียล่ะ ?”
เหมียวเจินเจินหันมองไปรอบ ๆ และไม่พบแม้แต่เงาของเถียนเยี่ยนจือ ผู้อาวุโสและศิษย์คนสำคัญของตระกูลเถียนล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ทว่าคุณหนูของตระกูลกลับไม่โผล่หน้ามาให้เห็น แน่นอนว่านั่นทำให้เหมียวเจินเจินรู้สึกแปลกใจในทันที
“จือเอ๋อร์คงจะยังเตรียมตัวอยู่ในเรือน”
เถียนโป๋อันกล่าวขณะสายตากวาดมองทุกคนก่อนหยุดลงที่หานโม่ฉือ
“สหายน้อยโม่ฉือและเสี่ยวเจินเจินเพิ่งมาที่ตระกูลเถียนของเราเป็นครั้งแรก ข้าจะให้คนพาพวกเจ้าทั้งสองไปเที่ยวชมรอบ ๆ อีกอย่าง…เจ้าช่วยไปแวะดูที่เรือนของจือเอ๋อร์ได้หรือไม่ ? ข้าคิดว่านางเตรียมตัวนานเกินไปแล้ว”
เขากล่าวอย่างลองเชิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพร้อมที่จะดำเนินตามแผนการของตนเองแล้ว
“เข้าใจแล้ว”
หานโม่ฉือและเหมียวเจินเจินสบตากันก่อนพยักศีรษะเบา ๆ ทั้งสองทราบดีว่าการให้พวกตนไปเที่ยวชมรอบ ๆ นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการ เกรงว่าแท้จริงแล้วเถียนเยี่ยนจือกำลังเตรียมการบางอย่างและเพียงรอให้เป้าหมายเข้าไปติดกับ…
หนึ่งในพี่ชายของเถียนเยี่ยนจือที่เคยประจันหน้ากับหานโม่ฉือก่อนหน้านี้ก็ลุกขึ้นยืนและอาสาที่จะพาหานโม่ฉือและเหมียวเจินเจินไปเที่ยวชมรอบ ๆ
แน่นอนว่าทั้งสองไม่ปฏิเสธและออกจากบริเวณงานเลี้ยงไปกับบุรุษผู้นั้น
ในตอนแรกเริ่ม บุรุษผู้นั้นก็พาหานโม่ฉือและเหมียวเจินเจินเดินท่องไปรอบตระกูลขณะกล่าวบรรยายถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบของตระกูลอย่างคร่าว ๆ
ต้องกล่าวเลยว่าในฐานะที่เป็นหนึ่งในสองตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนยิน พื้นเพของตระกูลเถียนไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย เพียงลานกว้างของตระกูลเถียนเพียงอย่างเดียวก็กว้างใหญ่ยิ่งกว่าตระกูลเหมียวเสียอีก และการตกแต่งสวนของพวกเขาก็งดงามหรูหราอย่างยิ่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของตระกูล
หลังจากเดินชมสวนหลายจุด ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดตรงหน้าลานบริเวณที่เป็นเรือนที่พักของเถียนเยี่ยนจือ
ในฐานะบุตรสาวคนเดียวและเป็นบุตรหัวแก้วหัวแหวนของเถียนโป๋อัน แน่นอนว่าที่พักของนางทั้งโอ่อ่าและสวยงามเป็นพิเศษ
เรือนของเถียนเยี่ยนจือมีขนาดใหญ่เป็นรองเพียงเรือนของเถียนโป๋อันเท่านั้นและเป็นสถานที่ที่มีสภาวะพลังหนาแน่นเป็นพิเศษ
ภายในลานแห่งนี้ก็มีศาลาที่สร้างขึ้นจากหินตั้งอยู่ รวมถึงมีสวนเล็ก ๆ ที่ปลูกสมุนไพรวิญญาณไว้หลากหลายประเภท
ส่วนเรือนส่วนตัวของเถียนเยี่ยนจือก็คืออาคารสองชั้นซึ่งดูประณีตและหรูหราอย่างยิ่ง
“ท่านทั้งสอง ข้ามาส่งได้เพียงแค่ตรงนี้ น้องเล็กไม่ชอบให้ผู้ใดเข้าไปในบริเวณเรือนโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต”
บุรุษหนุ่มที่นำทางทั้งสองมาถึงที่นี่กล่าวขึ้นเบา ๆ แม้เป็นเพียงข้ออ้างในการแยกตัวออกไปก่อน ทว่าสิ่งที่เขากล่าวออกมาก็เป็นความจริง
เถียนเยี่ยนจือไม่ชอบให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปในบริเวณที่ส่วนตัวของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเหล่าบุรุษของตระกูลเถียน นอกเหนือจากเถียนโป๋อันก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าเข้าไปในลานของนางตามอำเภอใจ
“ขอบคุณมาก”
หานโม่ฉือกล่าวพร้อมสบตาบุรุษผู้นั้นจนเขาประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย
“จอมยุทธ์โม่ฉือไม่ต้องสุภาพนักหรอก”
เขากล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมและรีบหันหลังเดินจากไปทันที
หานโม่ฉือและเหมียวเจินเจินไม่ขัดขวางเขาไว้และเพียงปล่อยไปแต่โดยดี จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปในลานที่พักของเถียนเยี่ยนจือด้วยกัน
บริเวณลานที่พักส่วนตัวของเถียนเยี่ยนจือกนั้นเงียบสงบอย่างยิ่ง เพราะก่อนหน้านี้นางไล่ทุกคนที่เคยทำงานอยู่ที่นี่ออกไปจนหมดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแผนการครานี้
หานโม่ฉือและเหมียวเจินเจินเดินเข้าไปจนถึงอาคารเรือนของเถียนเยี่ยนจือทว่ายังคงไม่เห็นวี่แววของผู้ใด
“เจินเจิน เจ้าไปหาที่ซ่อนตัวก่อนเถอะ”
หานโม่ฉือส่งกระแสจิตหาเหมียวเจินเจินเพื่อให้นางหาที่ซ่อนตัวสักพัก
หากยังไม่ทราบว่าแผนการของตระกูลเถียนเป็นอย่างไร ทางที่ดีที่สุดก็คือการเตรียมป้องกันไว้ล่วงหน้า
“ถ้าเช่นนั้นพี่หานก็ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”
เหมียวเจินเจินตอบกลับก่อนหันมองไปรอบ ๆ และเข้าไปซ่อนตัวหลังก้อนหินที่อยู่ไม่ไกลออกไป
จากนั้นร่างของหานโม่ฉือก็กะพริบหายไปและปรากฏตัวขึ้นมาเหนืออาคารสองชั้น
ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นที่สองของเรือน เวลานี้มีเพียงเถียนเยี่ยนจือและสาวรับใช้ส่วนตัวของนางเท่านั้น
“หานโม่ฉือมาถึงรึยัง ?”
ในวันนี้เถียนเยี่ยนจือสวมชุดยาวที่ดูเย้ายวนซึ่งเป็นผ้าบางที่ทำให้มองเห็นเรือนร่างได้อย่างเลือนราง เส้นผมยาวของนางก็ถูกปล่อยไว้อย่างสบาย ๆ เสริมให้ดูน่ามองยิ่งขึ้น อีกทั้งร่างกายของนางก็มีกลิ่นประหลาดของบางอย่างที่แผ่โชยไปทั่วทั้งห้อง
“คุณหนู เขามาถึงแล้วเจ้าค่ะ และตอนนี้เขาก็อยู่ตรงชั้นล่างแล้ว จะให้ข้าจัดการอย่างไรต่อไปดีเจ้าคะ ?”
สาวรับใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเพื่อรอคำสั่งต่อไปของเถียนเยี่ยนจือ
“ทำตามแผนการที่วางไว้ อีกประเดี๋ยวเจ้าไปเชิญหานโม่ฉือเข้ามา ส่วนข้าจะถอดเสื้อผ้าออกและรออยู่ที่นี่ ตราบใดที่เขาได้เห็นเรือนร่างของข้า เขาก็จะต้องดูแลรับผิดชอบข้า !”
เถียนเยี่ยนจือกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะทำอะไรกับร่างของนางหรือไม่นั่น นางก็ได้เตรียมแผนการไว้แล้วเช่นกัน ไม่ว่าเสื้อผ้าอาภรณ์และกลิ่นบนเรือนร่างของนาง ไม่ว่าบุรุษใดก็ไม่มีทางต้านทานได้ เมื่อใดที่หานโม่ฉือมีความสัมพันธ์กับนาง เขาก็ไม่มีทางบอกปัดความรับผิดชอบได้อีก !
“เจ้าค่ะคุณหนู”
สาวรับใช้พยักศีรษะรับคำและเดินออกไป
แน่นอนว่าหานโม่ฉือซึ่งอยู่บนหลังคาของอาคารได้ยินทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน
สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ และเหาะกลับลงไปปรากฏกายหน้าอาคารอีกครั้งราวกับเฝ้ารออยู่ที่นี่มาตลอด
“คุณชายโม่ฉือ คุณหนูเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”
หลังจากรอครู่หนึ่ง สาวรับใช้คนเดิมก็เดินลงมาชั้นล่างและกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“อืม”
หานโม่ฉือเพียงพยักศีรษะตอบรับและเดินขึ้นไปชั้นบน ในขณะที่สาวรับใช้เดินออกไปด้านนอกและซ่อนตัวพร้อมคำนวณเวลาที่ค่อย ๆ ผ่านไป
ภายในห้องบนชั้นที่สอง หัวใจของเถียนเยี่ยนจือก็กำลังเต้นแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหานโม่ฉือที่ใกล้เข้ามา