เถียนโป๋อันไม่ต้องการให้สิ่งที่เกิดขึ้นแพร่งพรายไป เขาจึงเตรียมม่านป้องกันรอบตระกูลเถียนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเหตุนั้น ตระกูลเถียนจึงต่อสู้กับตระกูลเหมียวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกลัวว่าผู้ใดจะสังเกตเห็น
เขาและเหมียวเหรินจวินมีพลังอยู่ในระดับเดียวกันและยากที่จะหาผู้ชนะได้ในเวลาสั้น ๆ สิ่งเดียวที่เถียนโป๋อันต้องทำในตอนนี้คือถ่วงเวลามิให้เหมียวเหรินจวินออกไปช่วยสมาชิกตระกูลเหมียวคนอื่น ๆ ได้
แม้ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือจะไม่ธรรมดา แต่เขาก็แทบจะไม่มีโอกาสเอาชนะการประสานพลังของผู้อาวุโสฝีมือดีทั้งสี่คนได้
ผู้อาวุโสตระกูลเถียนทั้งสี่มักฝึกวิชาร่วมกันเป็นประจำและมีการประสานที่เข้ากันเป็นอย่างดี อีกทั้งความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไล่เลี่ยกับหานโม่ฉือ ต่อให้หานโม่ฉือมีฝีมือดีและมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะกำจัดทั้งสี่ออกไปให้พ้นทาง
สมาชิกตระกูลเหมียวคนอื่น ๆ ก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเนื่องจากจำนวนที่น้อยกว่า พวกเขาทำได้เพียงยื้อเวลามิให้ตนเองพ่ายแพ้ไปในเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ทว่าเมื่อการประจันหน้าดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ในไม่ช้าพวกเขาก็จะต้านทานไม่ไหวและเพลี่ยงพล้ำไปในที่สุด
“เหอะ เหมียวเหรินจวิน ครานี้อยากเห็นนักว่าเจ้าจะรอดไปได้อย่างไร ?”
เถียนโป๋อันแค่นเสียงเย็นชาและตรงเข้าปะทะฝีมือกับเหมียวเหรินจวินอีกครั้งเพื่อมิให้อีกฝ่ายมีโอกาสแยกตัวออกไปช่วยคนอื่นได้ ในขณะเดียวกันเขาก็ชำเลืองมองการต่อสู้รอบตัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงทะนงตน
ตูมมม !
เสียงดังสนั่นปะทุขึ้นมาในขณะที่หานโม่ฉือและผู้อาวุโสทั้งสี่ปะทะใส่กันก่อนแยกตัวออกห่าง
“โอ้ เจ้าหนุ่มเอ๋ย ฝีมือของเจ้านับว่ายอดเยี่ยมจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่เจ้าโอหังมากเกินไป หากเจ้าเชื่อฟังคำสั่งของเราและยอมตกลงเป็นเขยของตระกูลเถียนแต่โดยดี เจ้าก็จะมีโอกาสได้พัฒนากลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนในอนาคต น่าเสียดายจริง ๆ ในเมื่อตระกูลเถียนของเราใช้ประโยชน์จากเจ้าไม่ได้ เราก็จะไม่เก็บเจ้าไว้เป็นหนามยอกอก !”
เถียนกุยหนง—ผู้อาวุโสของตระกูลเถียนยิ้มเยาะและกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งร้ายต่อหานโม่ฉือ
ตัวตนของหานโม่ฉือถือเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อตระกูลเถียนของพวกเขา หากไม่สามารถควบคุมผู้ที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ให้อยู่ในกำมือได้ ทางเลือกเดียวก็คือต้องกำจัดให้สิ้นซาก
หากปล่อยให้คนผู้นี้เติบโตและพัฒนาต่อไป ตระกูลเถียนของพวกเขาจะถึงคราวจบสิ้นอย่างแท้จริง
“งั้นรึ ?”
หานโม่ฉือยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น แม้อีกฝ่ายจะมีจำนวนมากกว่า สีหน้าของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ทันใดนั้น พลังบางอย่างก็ปะทุออกจากร่างของเขาและทำให้แรงกดดันจากผู้อาวุโสทั้งสี่หายวับไปทันที
“ข้าไม่ได้ฆ่าใครมานานแล้ว เกือบลืมไปแล้วว่ากลิ่นคาวของเลือดเป็นอย่างไร !”
ทันใดนั้น กระบี่ยาวเล่มงามก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาและอสูรคู่กายอย่างกิเลนอัคคีก็ปรากฏตัวขึ้นมาข้างกายเช่นกัน
“นายท่าน ข้าไม่ได้ลิ้มรสเนื้ออร่อย ๆ มานานแล้ว !”
กิเลนอัคคีกวาดสายตามองคนตระกูลเถียนและเลียริมฝีปากของตนเอง หลังจากถูกผู้เป็นนายขังไว้ในมิติเชื่อมอสูรเป็นเวลานาน ในที่สุดมันก็พัฒนาตนเองได้สำเร็จ หากไม่แสดงฝีมือที่น่าพึงพอใจในวันนี้ เกรงว่ามันอาจถูกขังไว้อีกคราได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ไม่ได้พบหน้านายหญิงและเหล่าอสูรมายาของนางมานานพอสมควรและอดรู้สึกคิดถึงพวกนางไม่ได้
“มันก็ขึ้นอยู่กับผลงานของเจ้า”
หานโม่ฉือยกยิ้มมุมปากขณะเหวี่ยงกระบี่เล่มยาวโจมตีตรงเข้าใส่ผู้อาวุโสทั้งสี่
กิเลนอัคคีเองก็ปฏิเสธที่จะน้อยหน้าและเริ่มปล่อยการโจมตีใส่ทั้งสี่เช่นกัน
“เหอ ะ! อย่ามาวางมาดอวดเบ่งอยู่ที่นี่ !”
ผู้อาวุโสตระกูลเถียนแค่นเสียงเย็นชาและหยิบอาวุธคู่กายออกมาเช่นกัน แม้สีหน้าของพวกเขาจะยังเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด ทว่าความหวาดหวั่นในใจของทั้งสี่ก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือเหนือกว่าความคาดหมายของพวกเขาไปมากนักและพวกเขาไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
นอกเหนือจากพลังที่แข็งแกร่ง ทักษะเพลงกระบี่ของหานโม่ฉือก็ยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน ก่อนหน้านี้เขาได้ฝึกวิชาเพลงกระบี่ที่ทรงพลังมา ทว่ายังไม่เคยมีโอกาสได้ใช้มันต่อสู้กับศัตรู ครานี้เขาจึงใช้วิชากระบี่นี้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นว่าเขามองผู้อาวุโสทั้งสี่เป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจเช่นกัน
เมื่อใดที่กระบี่เล่มยาวนี้ปรากฏขึ้น เลือดของศัตรูจะต้องไหลเทออกมา การที่คนตระกูลเถียนทำตัวอุกอาจและก้าวร้าวเช่นนี้ หานโม่ฉือก็ไม่คิดจะยั้งมืออีกต่อไป
กิเลนอัคคีและหานโม่ฉือรวมพลังกันต่อสู้กับสี่ผู้อาวุโสในขณะที่การประจันหน้าดุเดือดยิ่งกว่าเดิม
กระบี่ยาวของเขาแทงทะลุอากาศไปและทำลายการป้องกันของผู้อาวุโสทั้งสี่ได้ในทันที หนึ่งในผู้อาวุโสที่อ่อนแอที่สุดกระอักเลือดคำโตและทรุดล้มลงบนพื้นอย่างน่าสังเวช เวลานี้เขาไม่เหลือความสามารถในการต่อสู้อีกต่อไป
“นี่มันทักษะการต่อสู้อะไรกัน ?!”
สีหน้าของเถียนกุยหนงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คาดไม่ถึงเลยว่าหานโม่ฉือจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวจนถึงขั้นนี้ กระบี่ยาวเล่มงามในมือของเขาทำให้สถานการณ์กลับตาลปัตรทันที วิชากระบี่ของเขาก็ประหลาดยิ่งนัก ด้วยกระบวนท่าที่แปลกใหม่และกระบี่ที่ทรงพลัง ไม่ว่าผู้ใดก็ยากที่จะป้องกันมันได้
“เหอะ มีทั้งจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นสูงและยังมีจำนวนที่มากกว่า ทว่ากลับเอาชนะข้าไม่ได้ ช่างน่าอับอายจริง ๆ !”
หานโม่ฉือกล่าววาจาเย้ยหยันขณะเหวี่ยงกระบี่ในมือเพื่อจ้วงแทงเถียนกุยหนงอีกครั้ง
เถียนกุยหนงหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด กระบวนท่าวิชากระบี่ของหานโม่ฉือประหลาดจนเกินไป แม้มีพลังการป้องกันที่แข็งแกร่ง เขาก็ไม่กล้ารับมืออย่างซึ่ง ๆ หน้า
ในขณะเดียวกัน กิเลนอัคคีที่ประจันหน้ากับผู้อาวุโสอีกสองคนก็ได้เปรียบเหนือกว่าอย่างรวดเร็ว
ในฐานะอสูรที่มีสายเลือดสูงส่งซึ่งมีพลังที่ด้อยกว่าซิวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กิเลนอัคคีก็ย่อมมีข้อได้เปรียบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นพลังความทรหด ความเร็วดุจสายฟ้าและการป้องกันที่ยากจะทำลายของมัน สิ่งเหล่านี้ต่างก็ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองปวดหัวได้ง่าย ๆ
การโจมตีของทั้งสองไม่สามารถทำให้กิเลนบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย ทว่าในทางกลับกัน ทุกคราที่กิเลนอัคคีโจมตีโต้กลับไป พวกเขาทั้งสองก็จะได้รับบาดเจ็บในระดับหนึ่ง
กิเลนอัคคีในปัจจุบันนี้อาจแข็งแกร่งมากกว่าหานโม่ฉือด้วยซ้ำ แม้เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับสูงพร้อมกันหลายคน มันก็สามารถรับมือได้อย่างสบาย ๆ
หลังจากการโจมตีมากกว่าสิบกระบวนท่า สุดท้ายผู้อาวุโสทั้งสองก็พ่ายแพ้และสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไป
เถียนกุยหนงที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ ถอยหลังไปเรื่อย ๆ เพราะการจู่โจมชุดใหญ่ของหานโม่ฉือ
“เกิดอะไรขึ้นกัน ?!”
เถียนโป๋อันผู้ซึ่งกำลังต่อสู้กับเหมียวเหรินจวินตระหนักได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เดิมทีฝ่ายของเขาควรจะได้เปรียบ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหานโม่ฉือจะมีพลังที่น่าทึ่งถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังมีอสูรพันธสัญญาที่ทรงพลังอย่างเหนือธรรมชาติ
ผู้อาวุโสทั้งสี่นี้คือกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเถียน ทว่าหานโม่ฉือกลับรับมือได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน ตราบใดที่ผู้อาวุโสทั้งสี่คนพ่ายแพ้ไป คนอื่น ๆ ก็จะยื้อเวลาได้อีกเพียงไม่นาน
“เถียนโป๋อัน เจ้ายังมั่นอกมั่นใจอยู่อีกรึไม่ ?”
เหมียวเหรินจวินถอนหายใจกับตัวเองเบา ๆ ด้วยความโล่งอก ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือเหนือความคาดหมายของเขาไปมากนัก ด้วยฝีมือที่ยอดเยี่ยมและพรสวรรค์อันน่าทึ่งเช่นนี้ กล่าวได้ว่าหานโม่ฉือเป็นบุรุษผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือแล้ว ทว่าไม่คิดเลยว่าที่จริงแล้วหานโม่ฉือจะซ่อนความแข็งแกร่งไว้อีกมาก
“ข้า…”
เถียนโป๋อันมีสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เข้าข้างตระกูลเถียนของเขาเลยสักนิด หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าตระกูลเถียนคงถึงคราวจบสิ้นเป็นแน่
“ช้าก่อน !”
จู่ ๆ เถียนกุยหนงก็หยุดชะงักและเหาะลงไปหยุดบนพื้น
“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้…”
เขากล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือเหนือชั้นจนเกินไป ต่อให้ฝืนสู้ต่อไป เขาก็ไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลยสักนิด
“ท่านผู้นำ อย่าฝืนดื้อรั้นต่อไปเลย วันนี้ตระกูลเถียนของเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้ว”
เขากล่าวกับเถียนโป๋อันอย่างตรงไปตรงมาเพื่อแนะนำว่าไม่ควรดึงดันสู้ต่อไป
สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าเลวร้ายมากพอแล้ว เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงต้องหาทางที่ดีที่สุดในการจบเรื่องนี้และหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้
“ทุกคนหยุด !”
แม้ไม่เต็มใจนัก เถียนโป๋อันก็ทราบดีว่าการหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้คือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว หากยังฝืนสู้ต่อไป มันจะยิ่งเป็นภัยต่อพวกเขาเอง
“เหมียวเหรินจวิน วันนี้พวกเราแพ้แล้ว ว่ามาเถอะ…พวกเจ้าวางแผนจะสะสางเรื่องนี้อย่างไร ?”
เวลานี้เขาเข้าไปยืนข้าง ๆ เถียนกุยหนงและพยายามซ่อนความโกรธแค้นในหัวใจของตนไว้
ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเหมียว ไม่มีทางที่พวกเขาจะกวาดล้างตระกูลเถียนได้โดยที่ไม่เผชิญกับความสูญเสีย ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้จักเหมียวเหรินจวินเป็นอย่างดีและมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำสิ่งใดที่จะส่งผลร้ายต่อทั้งสองฝ่าย เวลานี้ การไกล่เกลี่ยประนีประนอมจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“เถียนโป๋อัน ไม่มีปัญหาที่จะยุติการต่อสู้เพียงเท่านี้ แต่เจ้าต้องให้คำมั่นว่าจะทำตามเงื่อนไขบางอย่างของพวกเรา”
เหมียวเหรินจวินหารือเรื่องนี้กับคนตระกูลเหมียวไว้ก่อนแล้วและกำลังดำเนินการตามแผนการนั้น
ตราบใดที่ตระกูลเถียนตกลงกับเงื่อนไขไม่กี่ข้อที่วางไว้และรับประกันว่าจะไม่ก่อเรื่องสร้างปัญหาขึ้นในเวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี พวกเขาก็จะปล่อยคนของตระกูลเถียนไป
“เงื่อนไขอะไร ?”
เถียนโป๋อันไม่ต้องการเห็นด้วยเลยสักนิด ทว่าในตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขาทำได้เพียงเอ่ยถามออกไปและต้องการทราบเงื่อนไขที่อีกฝ่ายกล่าวถึง
“ไม่ต้องห่วง ข้ามิใช่เจ้า เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ตั้งเงื่อนไขที่โหดร้ายจนเกินไป”
เหมียวเหรินจวินคลี่ยิ้มบางและกล่าวถึงเงื่อนไขที่เตรียมไว้
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ต้องการสร้างปัญหาความวุ่นวายและไม่คิดที่จะกุมอำนาจของเมืองนี้ พวกเขาเพียงต้องการปกป้องตระกูลของตนมิให้ใครข่มเหงรังแกได้ รวมถึงรักษาความสงบสุขให้กับเมืองเทียนยินก็เท่านั้น
หลังจากฟังเงื่อนไขของเหมียวเหรินจวิน เถียนกุยหนงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
นอกเหนือจากการชดเชยเงินจำนวนหนึ่ง ตระกูลเถียนก็ต้องกล่าวสัตย์สาบานว่าจะไม่สร้างปัญหากวนใจตระกูลเหมียวตลอดระยะเวลาสามร้อยปี และเมื่อใดที่คนตระกูลเถียนพบคนตระกูลเหมียว พวกเขาก็จะต้องยอมหลีกทางไปแต่โดยดี
เงื่อนไขเหล่านี้ไม่โหดร้ายหรือล้ำเส้นแต่อย่างใด หากตกปากรับคำ มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อตระกูลเถียนมากนัก การทำตัวสงบเสงี่ยมไม่หาเรื่องตระกูลเหมียวนานสามร้อยปีไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากเกินไป
อย่างไรก็ตาม เถียนโป๋อันยังไม่เต็มใจนัก เห็นได้ชัดว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้พลังอำนาจโดยรวมของตระกูลเถียนพัฒนาจนเหนือกว่าตระกูลเหมียวแล้ว ทว่าการปรากฏตัวอย่างไร้ที่มาของหานโม่ฉือทำให้ตระกูลเถียนของเขาจมดิ่งกลับไปยังจุดเดิม ในตอนนี้ไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่จะเหนือกว่าตระกูลเหมียวเลย เพราะหลังจากนี้ทั้งตระกูลเถียนจะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของทุกคน ต่อให้จะไม่มีเงื่อนไขเหล่านั้น ด้วยการที่มีหานโม่ฉืออยู่ ตระกูลเถียนก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะตระกูลเหมียวได้ เพราะเหตุนั้น ตระกูลเถียนของเขาก็คงจะไม่กล้าโจมตีตระกูลเหมียวอีกต่อไป
“เราให้สัญญา”
หลังจากลังเลครู่ใหญ่ ในที่สุดเถียนโป๋อันก็พยักศีรษะและตอบตกลง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะรักษาตระกูลเถียนของเขาไว้ได้ สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ทุกอย่างล้วนหารือกันได้ในภายหลัง
“ถ้าเช่นนั้นก็หลั่งเลือดสาบานซะ ข้าไม่เชื่อคำพูดลมปากของผู้นำเถียนหรอก”
เหมียวเหรินจวินยักไหล่อย่างสบาย ๆ วาจาของเถียนโป๋อันไม่คู่ควรต่อการเชื่อใจ เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่ผิดคำสัญญาได้ง่าย ๆ เว้นแต่ว่าจะหลั่งเลือดสาบานตนต่อฟ้าดิน อีกไม่นานเขาก็คงจะก่อเรื่องอีกครั้ง
“เหมียวเหรินจวิน มันชักจะมากเกินไปแล้ว !”
เถียนโป๋อันสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าตนต้องหลั่งเลือดสาบานต่อศัตรู
การหลั่งเลือดสาบานเป็นสิ่งที่ถูกควบคุมโดยกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินและคนส่วนใหญ่ไม่เต็มใจที่จะทำนัก นับประสาอะไรกับผู้นำตระกูลใหญ่เช่นเขา การสั่งให้หลั่งเลือดสาบานต่อตระกูลศัตรูเช่นนี้เป็นการหยามเกียรติอย่างที่สุด
“จะหลั่งเลือดสาบานหรือจะให้ข้าขุดรากถอนโคนตระกูลเถียนออกจากเมืองเทียนยินแห่งนี้ เจ้าเลือกเองเถอะ”
หานโม่ฉือกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เจือการข่มขู่อย่างไม่ปิดบัง
“เหอะ !”
เถียนโป๋อันแค่นเสียงในลำคอทว่าก็ยอมหลั่งเลือดสาบานเพื่อยืนยันการตัดสินใจของตนแม้ไม่เต็มใจนักก็ตาม
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน”
เหมียวเหรินจวินพึงพอใจอย่างมากและเตรียมพาคนตระกูลเหมียวเดินทางกลับจวน
“หลังจากนี้อย่าให้บุตรสาวของเจ้าเสนอหน้ามาให้ข้าเห็นอีกเด็ดขาด มิฉะนั้น…ข้าจะไม่เมตตาอีกต่อไป !”
ก่อนจากไป หานโม่ฉือก็ไม่ลืมที่จะกล่าวข่มขู่ทิ้งท้ายก่อนที่ร่างของเขาจะกะพริบหายไปอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของเถียนโป๋อันก็บิดเบี้ยวเหยเก ทว่าไม่กล้ากล่าวสิ่งใด เมื่อประจันหน้ากับหานโม่ฉือ เขาก็รู้สึกหวาดหวั่นใจไม่น้อยและรู้สึกเสียใจกับการกระทำที่ผ่านมา หากทราบว่าจะลงเอยเช่นนี้ เขาคงไม่มีทางทำให้หานโม่ฉือขุ่นเคืองใจอย่างแน่นอน…
การคัดเลือกในรอบที่สองประจำเมืองเทียนยินก็ยังคงดำเนินต่อไป ทว่าในอีกฟากหนึ่งของดินแดน การคัดเลือกรอบที่สองประจำเมืองเทียนหยวนก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีการคัดเลือกของเมืองเทียนหยวนแตกต่างไปจากเมืองเทียนยินอย่างสิ้นเชิงและดูจะอันตรายกว่ามาก