“รั่วอี นี่น่ะหรือน้องสาวของฉินอี้เฟยที่เจ้าว่า ?”
หลังจากฉินอวี้โม่และสาวใช้ของนางออกไปแล้ว ในที่สุดหลิวหว่านเยียนและหวังรั่วอีก็ทนแสร้งเป็นสตรีอ่อนหวานรักสงบไม่ได้อีกต่อไป ตอนนี้ความโกรธของพวกนางปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน
“หว่านเยียน ข้าก็ไม่คิดว่าฉินอวี้โม่จะนิสัยแย่ได้ถึงขนาดนั้น”
แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่าในใจหวังรั่วอีก็รู้สึกโกรธหลิวหว่านเยียนอยู่หลายส่วน
ในตอนที่นางพาฉินอวี้โม่เข้ามา เป็นเพราะหลิวหว่านเยียนเอาแต่เชิดหน้า วางท่าสูงส่ง ไม่ยอมทักทายตามมารยาทจนทำให้คุณหนูตระกูลฉินไม่พอใจและกล่าววาจาเช่นนั้น หวังรั่วอีตำหนิว่านี่เป็นความผิดของหลิวหว่านเยียนที่ทำให้แผน ‘ใช้น้องสาวเป็นสะพานพิชิตใจชาย’ ของนางล้มเหลว
“เหอะ สมแล้วจริง ๆ ที่นังนั่นเป็นสตรีป่าเถื่อนจากเมืองเล็ก ๆ !”
หลิวหว่านเยียนเปล่งเสียงออกมาอย่างกรุ่นโกรธ ตอนนี้นางตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องหาใครสักคนมาสั่งสอนฉินอวี้โม่สตรีหยาบคายคนนั้นให้ได้
แม้ว่าสองสหายผู้งดงามจะทำตัวสูงส่งและมีนิสัยเย่อหยิ่งถือตัวไม่ต่างกัน แต่ทว่าหลิวหว่านเยียนนั้นไม่เหมือนกับหวังรั่วอีเสียทีเดียว เพราะนางเป็นสตรีที่มีจิตใจพยาบาทมากกว่า การที่ถูกฉินอวี้โม่เหยียดหยามในวันนี้ทำให้นางเกลียดชังคุณหนูตระกูลฉินผู้นั้นเข้ากระดูกดำ
เมื่อได้ฟังวาจาถากถางของหลิวหว่านเยียน หวังรั่วอีก็เลือกที่จะไม่กล่าวสิ่งใด อย่างไรเสียหลิวหว่านเยียนก็มีส่วนทำให้นางโกรธอยู่ไม่น้อย ทว่าในตอนนี้ คุณหนูตระกูลหวังกลับไม่ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่สหายของนางกำลังมาดหมายเอาไว้เลย
หลังจากฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วออกจากตึกเต๋อเยว่ พวกนางก็มุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของพระราชวังในทันที
“คุณหนู ข้าไม่ชอบสตรีที่ชื่อหลิวหว่านเยียนนั่นเลย”
เสี่ยวโร่วคงจะนึกถึงตอนที่พวกนางเดินเข้าไปแล้วหลิวหว่านเยียนแสร้งทำทีเป็นมองไม่เห็น ซึ่งนั่นทำให้สาวใช้น้อยรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
“หวังรั่วอีนั่นก็หน้าไหว้หลังหลอก ข้าดูออกนะว่านางพยายามแสร้งทำดีกับเราเพื่อจะหาทางใกล้ชิดคุณชายใหญ่ ถ้าคุณชายไม่ได้ตาบอด ชาตินี้ก็คงไม่มีทางชอบนางแน่ ! ผู้หญิงเสแสร้งกลับกลอกอย่าหวังว่าจะได้ครองคู่กับคุณชายใหญ่เลย”
แท้จริงแล้วสำหรับวันนี้หวังรั่วอีเองก็ไม่ได้มีท่าทีเลวร้ายอะไรมากมายนัก เพียงแต่ฉินอวี้โม่ไม่นิยมสตรีดอกบัวขาว คุณหนูตระกูลฉินเห็นว่าสตรีเช่นนี้ไม่คู่ควรกับพี่ชายและที่สำคัญพี่ชายของนางก็ไม่ได้มีท่าทีพึงพอใจหญิงสาวตระกูลหวังคนนี้แม้แต่น้อย ฉินอวี้โม่จึงจงใจใช้วาจาเหน็บแนมให้เจ็บแค้นเพื่อทำลายแผนการใช้นางเป็นสะพานของหวังรั่วอี นางต้องการตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อไม่ให้สตรีดอกบัวขาวผู้นั้นได้เข้ามาใกล้ชิดกับฉินอี้เฟยพี่ชายของนาง ทว่านางก็ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวโร่วจะไม่ชอบหวังรั่วอีได้มากมายขนาดนั้น
“เอาเถอะ วันนี้เราก็สั่งสอนพวกนางไปเยอะแล้ว เจ้าอย่าโกรธนักเลย”
เมื่อเห็นเสี่ยวโร่วที่กำลังหายใจรุนแรงด้วยความโกรธ ฉินอวี้โม่ก็พยายามปลุกปลอบให้สาวน้อยสงบลง
ในตอนนี้ คุณหนูสี่กำลังสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองที่ผิดปกติของสาวใช้น้อย แค่ถูกอีกฝ่ายวางท่าทางเย่อหยิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่เสี่ยวโร่วจะโกรธได้ถึงเพียงนี้ …หรือแท้จริงแล้วที่สาวน้อยผู้นี้โกรธเพราะกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ?!
เนื่องจากตึกเต๋อเยว่อยู่ติดกับพระราชวัง ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจึงใช้เวลาเดินเพียงไม่นานนักก็มาถึงประตูทางเข้าพระราชวังแล้ว
คุณหนูตระกูลฉินหยิบป้ายหยกแสดงสถานะที่ฉีฉีเป็นผู้มอบให้นางออกมาแล้วส่งมอบให้ทหารยามสองคนที่เฝ้าประตูดู แท้จริงแล้วแผ่นป้ายนั้นคือป้ายแสดงสถานะขององค์ชายสามที่องค์หญิงจอมแก่นแอบฉกชิงมาจากพี่ชายและมอบให้ฉินอวี้โม่ เมื่อได้เห็นแผ่นป้ายของบุคคลสูงศักดิ์ ทหารยามทั้งสองก็รีบเปิดทางให้ฉินอวี้โม่เข้าไปทันทีก่อนที่จะมีทหารองครักษ์ผู้หนึ่งเดินนำพวกนางทั้งสองเข้าไปด้านใน
…
ทว่าฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็ไม่รู้ตัวเลยว่าก่อนที่ร่างของพวกนางจะลับหายเข้าไปในพระราชวังนั้น มีสายตาอาฆาตแค้นกำลังจ้องมองมาจากจุดที่ไกลออกไป ใบหน้าของเจ้าของสายตาคู่นั้นปรากฏรอยยิ้มร้ายขึ้นชั่ววูบก่อนจะหายกลับเข้าไปในมุมมืด
…
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วถูกพาตัวไปยังตำหนักที่องค์ชายฉีอวี้อยู่
ในตอนนี้ฉีอวี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาตำราพิชัยสงครามที่ห้องอ่านหนังสือ ในตอนที่เขาได้ยินขันทีมารายงานว่ามีหญิงสาวสองคนนำแผ่นป้ายหยกขององค์ชายมาขอพบ เขาก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น องค์ชายสามได้ทราบในภายหลังว่าน้องสาวจอมซนตัวน้อยแอบเอาแผ่นป้ายของเขาให้คนผู้หนึ่งที่เมืองเยว่กวาง เมื่อได้รับรายงานว่ามีผู้มาขอพบในวันนี้ เขาจึงรู้ในทันทีว่าเป็นผู้ใด
ฉีอวี้ไม่สนใจสายตาประหลาดใจของเหล่าข้าราชบริพาร เขาย่ำเท้าก้าวเดินกลับไปยังตำหนักอย่างรีบเร่ง
“ไปเรียกองค์หญิงน้อยมา บอกว่าข้ามีบางอย่างจะให้นางดู”
องค์ชายสามสั่งการองครักษ์ที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตามขันทีที่มาแจ้งข่าวไป
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว เป็นพวกเจ้าจริง ๆ ด้วย”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วกำลังยืนอยู่ข้างนอกพร้อมกับเหล่าทหารองครักษ์ ฉีอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้าง
เมื่อเห็นองค์ชายฉีอวี้ ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเองก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาไม่ได้เจอกันมาเกินกว่าครึ่งปีแล้ว ดูเหมือนองค์ชายสามจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่พบกันมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เจอกันอีกในครั้งนี้ สหายผู้เป็นถึงองค์ชายก็ยังคงดูสงวนท่าทีและขี้อายไม่ต่างจากเดิม
องค์ชายฉีอวี้ให้การต้อนรับฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเป็นอย่างดี เขาเชื้อเชิญพวกนางให้เข้าไปนั่งในตำหนัก พร้อมทั้งบอกให้ทำตัวตามสบาย อีกทั้งยังตั้งใจรินน้ำชาให้ทั้งคู่ด้วยตัวเอง องค์ชายสูงศักดิ์ต้อนรับสหายทั้งสองด้วยใบหน้าที่เป็นสุข
และก่อนที่องค์ชายฉีอวี้จะได้เอ่ยปากถามไถ่ทุกข์สุขของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว เสียงที่ตื่นเต้นดีใจขององค์หญิงน้อยฉีฉีก็ดังขึ้นมา ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ จะปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
“ท่านพี่ ท่านเรียกหาข้าเหรอ ?”
ฉีฉีเดินเข้ามาภายในตำหนัก และเมื่อเห็นฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วนั่งอยู่ด้านใน นางก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจในทันที
องค์หญิงน้อยรีบวิ่งเข้าไปข้างกายฉินอวี้โม่ก่อนจะสวมกอดนางอย่างแนบแน่น จากนั้นก็หันไปกอดเสี่ยวโร่วต่อให้ชื่นใจอีกคน
“พี่อวี้โม่ พี่เสี่ยวโร่ว ข้าคิดถึงพวกท่านมาก”
เมื่อเห็นถึงความปีติยินดีของสาวน้อยฉีฉี ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็ยิ้มออกมาอย่างปลาบปลื้ม
องค์หญิงน้อยผู้นี้เป็นเด็กหญิงไร้เดียงสา นางเป็นดรุณีน้อยผู้มีจิตใจที่บริสุทธิ์
“พี่อวี้โม่ ท่านไม่รู้หรอกว่า ท่านพ่อของข้าเป็นจักรพรรดิที่ใจร้ายมาก”
เมื่อได้นั่งอยู่ข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ ฉีฉีก็อดไม่ได้ที่จะลอบนินทาองค์จักรพรรดิให้พี่สาวที่นางชื่นชอบเหลือเกินได้ฟัง
ในตอนที่อยู่เมืองเยว่กวาง พวกนางได้รับจดหมายจากองค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยที่เร่งรัดให้ฮองเฮาเหวินหย่า องค์หญิงฉีฉี และองค์ชายสามฉีอวี้เดินทางกลับโดยด่วน
ทว่าไม่มีผู้ใดทราบเลยว่า องค์จักรพรรดิเรียกพวกนางกลับมาด้วยเหตุผลใดจนกระทั่งเมื่อกลับมาถึงพระราชวังในนครไป๋อวิ๋นแล้ว ทั้งหมดจึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วองค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยก็แค่คิดถึงฮองเฮาเหวินหย่าจนต้องขอให้นางกลับมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้นเอง
เรื่องนี้ทำให้ฮองเฮาเหวินหย่า องค์ชายสามฉีอวี้ และองค์หญิงน้อยฉีฉีรู้สึกอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตา โดยเฉพาะฉีฉีที่ถึงขั้นรู้สึกว่านับวันเสด็จพ่อของนางผู้เป็นถึงองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่จะยิ่งไม่น่าเชื่อถือขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อได้ฟังองค์หญิงฉีฉีพร่ำบ่นปนบรรยายถึงเสด็จพ่อของนางเสียงเจื้อยแจ้ว ฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วก็อดอมยิ้มมุมปากไม่ได้ ฉินอวี้โม่ยังแอบอิจฉาองค์หญิงน้อย ดูเหมือนว่าความรักที่พระชนกชนนีมีให้องค์หญิงและองค์ชายทั้งสองจะมีอย่างมากมายมหาศาล และองค์จักรพรรดิกับฮองเฮาเองก็ดูจะรักกันมากอีกด้วย
“องค์ชายฉีอวี้ ข้านำสิ่งนี้มาให้ท่าน”
ฉินอวี้โม่หยิบผลหลิวหลีออกมาจากแหวนมิติและส่งมอบมันให้ฉีอวี้
“ถึงแม้ตอนนี้มันอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรองค์ชายมากนัก แต่ข้าก็ยังอยากมอบมันให้ท่าน”
เมื่อเห็นผลไม้ส่งกลิ่นหอมหวานที่ใสดั่งแก้วในมือของฉินอวี้โม่ ฉีอวี้ก็รับมันมาด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของนางยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ เขาต้องการใช้ผลไม้วิเศษชนิดนี้เป็นอย่างมาก เขาทั้งเฝ้าตามหาและรอคอยมันมาตลอด คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าฉินอวี้โม่จะคิดจริงจังในเรื่องที่เขาเคยเล่าให้ฟังและนำมันมามอบให้เขาถึงที่นี่ มันทำให้องค์ชายสามแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นรู้สึกซาบซึ้งจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก
“สวรรค์ พี่อวี้โม่ยังจำเรื่องที่เราตามหาผลหลิวหลีในป่าแสงจันทร์ได้อยู่หรือเนี่ย ?!”
เมื่อเห็นผลไม้ที่ฉินอวี้โม่ส่งให้องค์ชายสาม องค์หญิงน้อยฉีฉีก็อุทานออกมา นางมองพี่ชายด้วยแววตาอิจฉา
“พี่อวี้โม่ ท่านใจดีกับท่านพี่ขนาดนี้ แล้วถ้าข้าอยากได้อะไร พี่อวี้โม่จะช่วยหามันให้ข้ารึเปล่า ?”
“แน่นอน ก็พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่”
ฉินอวี้โม่บีบจมูกเล็กขององค์หญิงน้อยอย่างเอ็นดู
ฉีฉียิ้มกว้าง นางรู้สึกมีความสุขมากกับคำตอบของฉินอวี้โม่
“พี่อวี้โม่ ข้าจะพาท่านไปพบเสด็จแม่”
หลังจากคุยกันอยู่พักใหญ่ ฉีฉีก็จูงมือฉินอวี้โม่และเตรียมจะพานางไปหาฮองเฮาเหวินหย่า
“องค์หญิงฉีฉีน้อย วันนี้ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำอีก ข้าว่าข้าควรจะมาเยี่ยมฮองเฮาในภายหลัง”
ในตอนที่ออกมา ฉินอวี้โม่ไม่ได้บอกกล่าวฉินอี้เฟยเอาไว้ก่อน นางกลัวว่าตนออกมานานถึงเพียงนี้จะทำให้พี่ชายเป็นห่วง
ในตอนออกจากจวน คุณหนูคนงามไม่ได้นำสิ่งใดติดมาด้วยยกเว้นแต่ผลหลิวหลี แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกนางกับองค์หญิงน้อยฉีฉีและองค์ชายสามฉีอวี้จะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่นางก็คิดว่ามันคงจะไม่เป็นการสมควรนักหากคุณหนูตระกูลใหญ่จะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิและฮองเฮาผู้เป็นใหญ่เหนือชนทั้งปวงในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นโดยไม่ได้นำสิ่งใดติดไม้ติดมือไปเลย
ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้นางยังไม่พบตัวโอวหยางชิงเฟิงเลย ฉินอวี้โม่กังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่สู้ดีขึ้นกับสหายหนุ่มหน้ามน เพราะการที่วันนี้เขาไม่ได้มาหานางเลยทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจ นี่ดูไม่เหมือนโอวหยางชิงเฟิงในยามปกติ
“หา ? พี่อวี้โม่จะกลับแล้วหรือ ?”
สีหน้าขององค์หญิงน้อยฉีฉีหม่นหมองลงทันตา
ฉินอวี้โม่ยิ้ม “วันนี้ข้าคงต้องกลับก่อน แต่ไม่ต้องห่วง หากข้ามีเวลาข้าจะมาเยี่ยมพวกท่านบ่อย ๆ หรือหากองค์หญิงเสด็จออกจากราชวังก็มาหาข้าที่ตระกูลฉินได้”
ฉีอวี้และฉีฉีพยักหน้า อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่ทันที่จะตระหนักได้ว่าฉินอวี้โม่เพิ่งจะเชิญชวนให้ไปหานางที่ตระกูลฉิน สหายจากแดนไกลทั้งสองก็หันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
และในตอนที่องค์หญิงองค์ชายตอบสนอง ร่างของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็เดินหายไปไกลลิบเสียแล้ว…
“ท่านพี่ เมื่อครู่ พี่อวี้โม่เพิ่งจะบอกว่าให้เราไปหานางที่ตระกูลฉิน เป็นไปได้หรือไม่ว่าพี่อวี้โม่จะเป็นสมาชิกของตระกูลฉิน ?”
องค์หญิงฉีฉีถามขึ้นมาด้วยความสงสัย พวกเขาชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่มากและถือว่านางเป็นสหายคนหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยเอ่ยถามไถ่สิ่งใดมากมายเกี่ยวกับเรื่องตัวตนและสถานะของนาง และในตอนนั้นพวกเขาทั้งสองก็เคารพในตัวสหายผู้นี้ หากนางไม่ต้องการบอกพวกเขาก็ไม่คิดละลาบละล้วง
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
องค์ชายฉีอวี้พยักหน้า เวลานี้ในหัวของเขากำลังพยายามจัดสรรตารางชีวิตอีกครั้ง เพื่อหาเวลาเหมาะ ๆ สำหรับออกจากพระราชวังไปเยี่ยมเยือนสหายตระกูลฉินของเขา
….
ฉินอวี้โม่พาเสี่ยวโร่วออกจากวังและกลับไปยังตระกูลฉิน นางตั้งใจจะกลับมาที่จวนตระกูลฉินก่อนเพื่อดูว่าฉินอี้เฟยกลับมาหรือยัง หลังจากนั้นค่อยไปยังตระกูลโอวหยางเพื่อถามไถ่ข่าวคราวของโอวหยางชิงเฟิง
ทว่าหลังจากออกจากประตูพระราชวังมาได้ไม่นาน อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็รู้สึกว่านางและเสี่ยวโร่วถูกใครบางคนจับตามองอยู่
“คุณหนู เหมือนจะมีคนแอบมองพวกเราอยู่อย่างลับ ๆ”
ด้วยการฝึกฝนมานานกว่าครึ่งปี ดูเหมือนว่าในเวลานี้ประสาทสัมผัสและความระมัดระวังของเสี่ยวโร่วจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอย่างผิดหูผิดตา
ถึงแม้จะรู้ตัวช้ากว่าฉินอวี้โม่มาก ทว่าสาวใช้น้อยก็ยังพบว่ามีคนกำลังสะกดรอยตามพวกนางได้ในที่สุด
“ไม่ต้องสนใจ”
ฉินอวี้โม่กระซิบแผ่วเบา นางคาดการณ์ว่าคนกลุ่มนั้นคงถูกใครบางคนส่งมา อย่างไรก็ตาม อดีตนักฆ่าสาวก็เลือกที่จะเพิกเฉยไปก่อน คุณหนูคนงามเดินนำเสี่ยวโร่วและเดินตรงไปยังจวนตระกูลฉินอย่างเป็นปกติ
เมื่อหญิงสาวทั้งสองเดินมาถึงจุดที่มีผู้คนบางตา ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นด้านหลังพวกนางและพุ่งเข้าล้อมฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วไว้
ฉินอวี้โม่กวาดตามองกลุ่มคนร่างใหญ่ที่กำลังล้อมตัวนางอยู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีร่องรอยแห่งความหวาดกลัวปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
“โอ้ ! ในที่สุดก็โผล่หัวออกมาแล้วหรือ ข้าก็นึกว่าพวกเจ้าจะแอบตามไปจนถึงห้องนอนข้าเลยเสียอีก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเย็นขณะจ้องมองบุรุษวัยกลางคนใบหน้าโหดเหี้ยมที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้
จากการตรวจสอบอย่างคร่าว ๆ บุรุษหน้าเหี้ยมผู้นี้คือจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายา ส่วนลูกน้องของเขาอีกนับสิบคนนั้น ส่วนมากอยู่ขอบเขตมายารัตนะ และมีเพียงไม่กี่คนที่ยังอยู่ในขอบเขตทิพย์มายา
“ฮ่า ๆ ไม่คิดเลยว่าลูกไก่ทั้งสองจะดูงดงามถึงเพียงนี้”
บุรุษหน้าตาเหี้ยมโหดก้าวเข้ามาข้างหน้าพลางเผยยิ้มชั่วร้าย เขากล่าววาจาน่ารังเกียจในขณะที่จ้องมองฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว
เดิมทีพวกเขาได้รับคำสั่งมาจากเจ้านายของพวกเขาให้สั่งสอนบทเรียนฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วหนัก ๆ แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าเหยื่อทั้งสองจะงามเย้ายวนมากถึงเพียงนี้
“หัวหน้า นางดูงดงามยิ่งกว่านายหญิงของเราอีก !”
หนึ่งในลูกน้องที่อยู่ด้านหลังชายหน้าเหี้ยมกล่าวอย่างพร่ำเพ้อ เขาจ้องมองฉินอวี้โม่พร้อมกลืนน้ำลายลงคอดัง ‘เอื้อก’
ด้วยวาจาของคนผู้นั้นทำให้ฉินอวี้โม่รู้ได้ในทันทีว่าใครคือผู้ที่ส่งคนเหล่านี้มา
ฉินอวี้โม่เพิ่งจะมาเยือนนครไป๋อวิ๋นได้เพียงสองวัน นางยังไม่ได้รู้จักพบเจอกับผู้คนมากนัก และผู้ที่มีเรื่องบาดหมางกับนางในนครแห่งนี้ก็พอจะนับจำนวนได้ หวังรั่วอีสตรีดอกบัวขาวที่ชอบพี่ชายนางผู้นั้นเป็นไปได้น้อย แม้ว่าฉินอวี้โม่จะถากถางนางไปหลายประโยค แต่ก็คงไม่น่าจะถึงขั้นส่งคนมาทำร้าย อย่างไรสตรีตระกูลหวังก็จะต้องเกรงใจหวังอี้เฟย คงไม่คิดแตกหักด้วยการส่งคนมาทำร้ายฉินอวี้โม่ เพราะฉะนั้นบุคคลผู้น่าสงสัยที่สุดก็คงมีแต่หลิวหว่านเยียนที่ถูกนางเหยียดหยามไปหลายประโยคเพียงคนเดียวเท่านั้น
หลิวหว่านเยียนคือคนหยิ่งยโสไม่น่าคบหา ฉินอวี้โม่จึงใช้วาจาถากถางนางไปหลายประโยค อีกทั้งเสี่ยวโร่วถึงกับเอ่ยว่าคุณหนูของนางนั้นงดงามกว่ามาก ฉินอวี้โม่เข้าใจว่าสตรีอย่างหลิวหว่านเยียนคงจะเกิดความริษยา ยิ่งไปกว่านั้นยังทนให้ผู้ใดมาวิพากษ์วิจารณ์ความงามของตัวเองไม่ได้ หากว่าคนผู้นั้นจะส่งคนมาทำเช่นนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
ทว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดเลยว่าสตรีผู้นั้นจะเคียดแค้นรุนแรงและโหดเหี้ยมอำมหิตจนถึงกับส่งคนมาตามประกบและเล่นงานนางในทันที ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะแยกจากกันไปไม่ถึงครึ่งวันเช่นนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าสาวงามอันดับแปดแห่งแผ่นดินก็มีอิทธิพลในเงามืดไม่น้อยเลยทีเดียว
“เจ้านายของพวกเจ้าก็คือหลิวหว่านเยียนสินะ”
ประโยคของฉินอวี้โม่นั้นราบเรียบ แต่ถึงกับทำให้สีหน้าของเหล่าชายฉกรรจ์ที่ล้อมพวกนางอยู่เปลี่ยนไปอย่างมหาศาล
คุณหนูของพวกเขาบอกกับพวกเขาเองว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรู้ตัวตนของพวกเขาได้ ไม่คิดเลยว่าเป้าหมายที่เป็นสตรีบอบบางจะรู้ตัวได้เร็วถึงเพียงนี้ !
“ฮ่า ๆ ทั้งสวยทั้งฉลาด ดูเหมือนว่าวันนี้สวรรค์จะเข้าข้างพวกเราแล้ว”
ในเมื่อเหยื่อรู้ที่มาของพวกเขาแล้ว ชายหน้าโหดก็ไม่คิดจะปกปิดอีกต่อไป เขาโบกมือส่งสัญญาณให้คนของเขาเข้าไปเล่นงานสตรีทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าในทันที