เป็นจริงดังที่ฉินอวี้โม่คาดไว้ ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกแต่ละคนจะได้รับป้ายหินวิญญาณก่อนก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย ตราบใดที่ทำลายป้ายหินนั้นเสีย คนผู้นั้นก็จะถูกส่งกลับออกมายังโลกภายนอกและแน่นอนว่านั่นหมายถึงการถอนตัวออกจากการคัดเลือกและหมดสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือกในรอบต่อไป
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนในรอบที่สองนี้จะถูกส่งเข้าไปในแต่ละจุดของดินแดนลับอย่างสุ่ม ๆ ตราบใดที่เอาตัวรอดได้ตลอดครึ่งเดือน คนผู้นั้นก็จะผ่านการคัดเลือกไปโดยปริยาย
แน่นอนว่าข้างในนั้นมีภยันตรายมากมายและมิใช่เรื่องง่ายที่จะเอาตัวรอดจากมันได้ ระยะเวลาสิบห้าวันอาจฟังดูไม่นานนัก ทว่าการที่มีผู้เหลือรอดเพียงหนึ่งในสิบก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว
“ข้าขอเตือนทุกคนไว้ก่อน ดินแดนลับนี้ถูกค้นพบโดยบังเอิญ แม้แต่ตัวข้าเองก็เคยเข้าไปเพียงหนเดียวเท่านั้นและไม่มั่นใจว่าจะมีอันตรายใดบ้าง หากพวกเจ้าเผชิญภยันตรายใดข้างในนั้น พวกเจ้าควรหลบหนีจากมันโดยเร็วและอย่าเสี่ยงเข้าไปใกล้ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุใดขึ้น เราอาจช่วยพวกเจ้าไว้ไม่ทัน”
จ้าวเหลียงกำชับให้ทุกคนระวังตัวและกล่าวตามความจริงว่านับตั้งแต่ค้นพบดินแดนดังกล่าว เขาเพิ่งเข้าไปเพียงคราเดียวเท่านั้นและยังไม่ได้สำรวจมันอย่างสมบูรณ์ ในช่วงเวลาที่เขาเข้าไปก่อนหน้านี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ทำให้หวาดหวั่นเล็กน้อยและตั้งใจที่จะลองตรวจสอบมัน ทว่าด้วยเวลาและสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย เขาจึงต้องรีบร้อนออกมาจากที่นั่นเสียก่อน
ครานี้ดินแดนลับถูกใช้เป็นสนามทดสอบสำหรับการคัดเลือกในรอบที่สองประจำเมืองเทียนหยวนและมันผ่านการไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี ตราบใดที่ผู้เข้าคัดเลือกระมัดระวังตัวและไม่เข้าไปในสถานที่ต้องห้าม พวกเขาก็จะไม่เผชิญภยันตรายที่มากนัก
หลังจากทราบกฎเกณฑ์และรายละเอียดที่จำเป็น ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็เปิดออกและทุกคนก็ก้าวเข้าไปข้างใน
ฉินอวี้โม่เพียงรู้สึกได้ถึงแรงฉุดดึงบางอย่างก่อนปรากฏตัวอีกครั้งในป่าหนาทึบ
ป่าแห่งนี้มีคลื่นพลังที่หนาแน่น พฤกษานานาพรรณแผ่กิ่งก้านอย่างกว้างขวางอุดมสมบูรณ์และเสียงวิหคร้องกังวานท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น
ฉินอวี้โม่แผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจรอบตัวและพบว่าไม่มีผู้เข้าแข่งขันคนใดอยู่ในระยะรัศมีหนึ่งร้อยลี้จากตน และดินแดนลับแห่งนี้ก็กว้างใหญ่จนเรียกได้ว่าไร้ขอบเขต ต่อให้นางจะเหาะขึ้นสูงเพื่อสำรวจมัน นางก็มองเห็นเพียงผืนป่าที่ไกลจนสุดลูกตาจะมองเห็น
“ท่านแม่..”
เสียงของหานอวี้ดังขึ้นพร้อมร่างของมันที่ปรากฏขึ้นมาข้างกายของฉินอวี้โม่
ในตอนนี้มังกรน้อยดูเหมือนเด็กหนุ่มวัยรุ่นและมีรูปลักษณ์ละม้ายคล้ายหานโม่ฉือมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอย่างไรร่างจำแลงมนุษย์ของมันถูกอ้างอิงจากรูปลักษณ์ของเขา และในอนาคตข้างหน้ามันก็จะคล้ายกับหานโม่ฉือมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
*ฟุดฟิด ฟุดฟิด*
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่นัก?”
หานอวี้ทำจมูกฟุดฟิดขณะสำรวจรอบตัว ราวกับมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยบางอย่างในอากาศซึ่งทำให้พลังของหานอวี้เกิดปฏิกิริยาผันผวนอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าเคยมาที่นี่งั้นรึ ?”
ขณะเดินไปในทิศทางหนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
ที่แห่งนี้ลึกลับและมีกลิ่นอายที่เก่าแก่โบราณ ไม่อาจทราบได้เลยว่ามันดำรงอยู่มานานเพียงใด หานอวี้ได้รับสืบทอดความทรงจำของบรรพบุรุษเทพมังกรจึงไม่แปลกนักที่มันรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่ บางทีบรรพบุรุษของเผ่ามังกรอาจเคยมาที่ดินแดนลับแห่งนี้ก็เป็นได้ เพียงแต่ความทรงจำของหานอวี้ยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์ มันจึงยังจดจำได้ไม่แน่ชัด
ในเมื่อบรรพบุรุษเทพมังกรอาจเคยมาเยือนที่นี่ ดินแดนแห่งนี้ก็ดูลึกลับน่าพิศวงมากยิ่งขึ้น เกรงว่ามันคงจะมีปริศนาซ่อนไว้อย่างแท้จริงและคนนอกจะค้นพบมันได้หากสำรวจอย่างรอบคอบ
“ข้าจำไม่ได้…แต่มันรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก”
หานอวี้พยายามค้นหาในความทรงจำของตนทว่ายังไม่พบสิ่งใดที่เด่นชัด อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกคุ้นเคยที่เกิดขึ้นชัดเจนจนมิอาจมองข้ามได้เลย ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างภายในดินแดนลับเก่าแก่แห่งนี้ที่กำลังร้องเรียกหามัน…
จากนั้นหนึ่งมนุษย์และหนึ่งอสูรก็เดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ พร้อมกับเวลาสองวันที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา
ตลอดช่วงสองวันที่ผ่านมา ทั้งสองเดินท่องไปรอบป่าโดยไม่พบผู้ใดหรืออสูรมายาแม้แต่ตัวเดียว อย่างไรก็ตาม พวกนางค้นพบแร่หลายชนิดที่พบได้ยากในโลกภายนอก แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปและเลือกเก็บแร่ที่น่าสนใจเหล่านั้นไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัว
“นายหญิง สภาวะพลังของที่นี่หนาแน่นยิ่งกว่าในคฤหาสน์เฟิงหัวเสียอีก”
มารยาปรากฏตัวข้างฉินอวี้โม่เช่นกัน เมื่อครู่มันแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจโดยรอบและพบสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่า
เดิมทีสภาวะพลังในคฤหาสน์เฟิงหัวก็หนาแน่นกว่าโลกภายนอกถึงหลายเท่าตัวนัก อย่างไรก็ตาม สภาวะพลังในดินแดนลับแห่งนี้กลับอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าในคฤหาสน์เฟิงหัวเสียอีก
อสูรสาวสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่หลั่งไหลตรงเข้ามาในร่างของตนและเหมือนจะทำให้พลังของมันพัฒนาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
“หรือว่าที่นี่จะเป็นมิติที่สองเช่นกัน ?”
หลังจากลังเลครู่หนึ่ง มารยาก็กล่าวด้วยความสงสัยอีกครั้ง ก่อนหน้านี้มันเคยอาศัยอยู่กับราชินีเหมันต์นานหลายปีและมีความรู้รอบด้านมากพอสมควร สำหรับพลังที่หนาแน่นเช่นนี้ มันทราบดีว่ามีเพียงในมิติที่สองเท่านั้น
“ก็เป็นไปได้”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธขณะพยักศีรษะเบา ๆ อันที่จริง นางเองก็มีความรู้สึกว่าที่แห่งนี้อาจเป็นมิติที่สอง บางทีเจ้าของเดิมของที่นี่อาจทะยานขึ้นไปสู่ดินแดนอื่นแล้วและมันถูกค้นพบโดยบังเอิญจึงกลายเป็นสถานที่ลึกลับที่เต็มไปด้วยปริศนา สิ่งที่ถูกเก็บอยู่ที่นี่คือสิ่งที่เจ้าของเดิมรวบรวมไว้และอาจมีของดีซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งก็เป็นได้
“พวกเจ้าออกมาก่อนเถอะ”
เนื่องจากไม่มีผู้อื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงและบรรดาอสูรของฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ออกมาข้างนอกคฤหาสน์เฟิงหัวเป็นเวลานานแล้ว นางจึงโบกมือเบา ๆ เพื่อปล่อยพวกมันทั้งหมดออกมา
“นายหญิง…”
เสียงอสูรดังขึ้นทีละตัว ๆ และอสูรมายามากกว่าร้อยตัวก็ล้อมรอบฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางที่กระตือรือร้น
“เหตุใดข้าถึงไม่เห็นไป๋ฉี่ เสี่ยวโพธิ์และหยกขาวพันปี ?”
หลังจากกวาดสายมองอย่างรวดเร็ว นางกลับไม่พบเด็กหนุ่มต่างสายพันธุ์ทั้งสามที่มักจะกระตือรือร้นและกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ
“ไป๋ฉี่และหยกขาวกำลังเก็บตัวฝึกวิชาด้วยกัน ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังวางแผนศึกษาทักษะประสานบางอย่าง ส่วนเสี่ยวโพธิ์ก็ยังคงย่อยสลายพลังของบุปผาแห่งความมืด”
เสี่ยวม่านกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ในตอนนี้พลับพลึงแดงมิใช่เด็กสาวเหมือนเมื่อหลายปีก่อนอีกต่อไป หลังจากการสั่งสมประสบการณ์นานหลายปี ไม่เพียงแต่พลังของมันเพิ่มขึ้นเท่านั้นทว่าร่างกายของมันก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นกันและตอนนี้กลายเป็นร่างสตรีมนุษย์ที่งดงามน่ามอง
ส่วนก่อนหน้านี้ที่ไป๋ฉี่และหยกขาวพันปีฝึกฝนบ่มเพาะวิชาด้วยกันนั้น พวกมันก็พบว่าพลังของพวกมันทั้งสองสามารถผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว ในช่วงเวลาที่ผ่านมา อสูรทั้งสองจึงใช้เวลาฝึกฝนร่วมกันจนค้นพบความคิดใหม่ ๆ ในที่สุด เมื่อพวกมันฝึกฝนบ่มเพาะพลังจนเสร็จสมบูรณ์ ความแข็งแกร่งของพวกมันจะพัฒนาขึ้นอย่างมาก เมื่อถึงตอนนั้น การประสานพลังของทั้งสองจะเป็นตัวช่วยที่สำคัญของฉินอวี้โม่
“นายหญิง เราไล่ตามพลังของท่านไม่ทันแล้ว…”
เสี่ยวเฮยกล่าวอย่างจนปัญญา มันเป็นอสูรพันธสัญญาตัวแรกของฉินอวี้โม่และมีพรสวรรค์ที่ด้อยที่สุดในบรรดาอสูรทั้งหมด การได้พัฒนาเข้าสู่ระดับพสุธาเซียนถือเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของมันแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นผู้เป็นนายแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่เผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น มันก็ต้องการช่วยนางได้มากกว่าที่เป็นอยู่แทนที่จะต้องเฝ้ามองการต่อสู้จากภายในคฤหาสน์เฟิงหัว
“เมื่อการคัดเลือกรอบนี้เสร็จสิ้น ข้าจะหาทางช่วยพวกเจ้าพัฒนาพลัง”
ฉินอวี้โม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฮยและอสูรอีกหลายตัวอยู่ในจุดอิ่มตัวและยากที่จะวิวัฒนาการต่อไป ต่อให้พลังของนางเองพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ อสูรเหล่านี้ก็จะไม่ได้ผลประโยชน์ใด ๆ
นางวางแผนไว้ว่าหลังจากการคัดเลือกรอบนี้สิ้นสุดลง นางจะหาวิธีช่วยเสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่น ๆ พัฒนาพรสวรรค์เดิม หรืออาจต้องรอจนกว่าจะได้พบกับพี่ชายของนางและถามเขาว่ามีโอสถใดหรือไม่ที่จะช่วยให้เสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่น ๆ ก้าวผ่านขีดจำกัดพรสวรรค์ของตนเองและพัฒนาต่อไปได้
“ขอบคุณ นายหญิง”
เสี่ยวเฮยและอสูรอีกหลายตัวยิ้มกว้างออกมา พวกมันเข้าใจลักษณะนิสัยของนายหญิงเป็นอย่างดี ต่อให้พวกมันอ่อนแอและช่วยอะไรไม่ได้ ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีทางมองข้ามพวกมัน นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกมันอยากพัฒนาความแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุดและช่วยนางฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน
“นายหญิง ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้ว่าดินแดนมหาเทพแห่งนี้มีมรดกตกทอดบางอย่างของราชินีเหมันต์ หลังจากนี้ ข้าอยากจะออกไปสำรวจดู”
มารยาลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าวเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่ หลังจากมาที่ดินแดนมหาเทพและพลังของมันฟื้นฟูกลับมาจนสมบูรณ์ มันก็สัมผัสได้ถึงสิ่งนี้อย่างชัดเจน
ในดินแดนมหาเทพมีมรดกสืบทอดบางอย่างที่เป็นของราชินีเหมันต์…
แม้ทัณฑ์สายฟ้าครั้งล่าสุดจะช่วยให้มารยาทะลวงพลังได้สำเร็จและช่วยให้พรสวรรค์ของมันพัฒนาขึ้นอย่างเต็มพิกัด ทว่าเดิมทีมันเป็นเพียงก้อนน้ำแข็งเก่าแก่อายุพันปีที่จำแลงร่างมนุษย์ได้โดยบังเอิญเท่านั้น หากต้องการวิวัฒนาการได้สมบูรณ์อย่างแท้จริง มันจะมีโอกาสก็ต่อเมื่อได้สืบทอดมรดกของราชินีเหมันต์ผู้ทรงพลังเท่านั้น
แม้สัมผัสได้ถึงสิ่งนั้น มันก็ไม่ทราบว่ามรดกของราชินีเหมันต์อยู่ที่ใด ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ยังมีเรื่องยุ่งวุ่นวายมากมายที่ต้องจัดการ หลังจากไตร่ตรองพักใหญ่ มารยาจึงตัดสินใจออกเดินทางไปด้วยตัวเอง ด้วยพลังของมันในตอนนี้ การเอาตัวรอดด้วยตัวเองก็คงจะไม่ยากเกินไป
“นายหญิง ข้าจะไปกับมารยา”
หลิวหยาซึ่งเป็นหนึ่งในอสูรตัวแรกๆของฉินอวี้โม่มีความสนิทสนมกับมารยาเป็นอย่างมาก พวกมันใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานที่สุดในบรรดาอสูรทั้งหลาย แน่นอนว่าย่อมเป็นห่วงกันและกันมากที่สุด
ในเมื่อมารยาต้องการออกไปตามหามรดกของราชินีเหมันต์เพียงลำพัง มันทราบดีว่าฉินอวี้โม่ย่อมเป็นกังวลไม่น้อย หากมีมังกรอัสนีไปด้วย ผู้เป็นนายก็จะคลายความกังวลได้มากขึ้น
“เข้าใจแล้ว หลังจากที่สิ้นสุดการคัดเลือกในดินแดนลับนี้ ข้าจะเตรียมบางอย่างให้พวกเจ้า”
ฉินอวี้โม่ไม่คัดค้านแต่อย่างใด แม้ว่านางจะต้องการออกเดินทางไปตามหาสิ่งนั้นกับมารยาด้วยกัน ทว่านางก็เข้าใจลักษณะนิสัยของอสูรของตนเป็นอย่างดี หากฉินอวี้โม่ยืนยันว่าจะออกตามสิ่งนั้นพร้อมกันกับมารยา อสูรสาวก็จะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีกเลยและเดินหน้าตามหามารดาของฉินอวี้โม่อย่างเต็มที่ ทว่าหากปล่อยให้มารยาและหลิวหยาเดินทางไปด้วยกันเช่นนี้ ต่อให้เผชิญกับอันตรายใด พวกมันก็จะหลบหนีออกมาได้และไม่ต้องกังวลถึงความปลอดภัยของพวกมันจนเกินไป
หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ เหล่าอสูรนับร้อยก็กลับเข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัวอีกครั้งจนเหลือเพียงฉินอวี้โม่ มารยาและหานอวี้เท่านั้น
ในเวลานี้ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดสลัวลงแล้วและฉินอวี้โม่ก็กำลังจะเข้าไปพักผ่อนในคฤหาสน์มิติของตน ทว่าจู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาจากระยะไกล
นางพุ่งตรงออกไปทันทีและมุ่งหน้าไปตามทิศทางของต้นเสียงนั้นโดยกังวลว่าอาจจะเป็นมิตรสหายของนางที่กำลังต่อสู้อยู่
ในเวลานี้ ภายในส่วนลึกของป่าหนาทึบ กลุ่มจอมยุทธ์สามคนกำลังต่อสู้กับอสูรมายาฝูงใหญ่
พวกมันคือฝูงอสูรที่ปรากฏตัวเพียงในยามค่ำคืนซึ่งมีขนาดประมาณแมวโตเต็มวัย พวกมันคือค้างคาวสีดำขนาดใหญ่
ค้างคาวเหล่านี้ถือเป็นอสูรที่มีจำนวนมากที่สุดในป่าแห่งนี้ซึ่งกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ พวกมันจะมองหาเหยื่อรอบ ๆ ผืนป่าแห่งนี้และเล็งเป้าหมายไปที่บรรดาจอมยุทธ์ที่อยู่ตัวคนเดียวหรืออยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยเฉพาะ
กลุ่มจอมยุทธ์ทั้งสามคือศิษย์จากตระกูลเล็ก ๆ ภายในเมืองเทียนหยวน พวกเขาโชคดีอย่างมากที่ได้พบกันอย่างรวดเร็วและตัดสินใจเกาะกลุ่มรวมกัน เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะต้องพบกับฝูงค้างคาวทมิฬเหล่านี้
แม้ความแข็งแกร่งของค้างคาวทมิฬจะอยู่ในระดับปกติทั่วไป ทว่าพวกมันก็มักจะรวมกลุ่มกันเป็นจำนวนมาก ด้วยความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ทั้งสาม พวกเขาจะต่อสู้ยื้อเวลาได้เพียงไม่นานเท่านั้นและไม่มีโอกาสเอาชนะฝูงค้างคาวเหล่านี้เลย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย !”
พวกเขาไม่ต้องการถอนตัวออกจากการแข่งขันอย่างรวดเร็วเช่นนี้จึงไม่คิดทำลายป้ายหินวิญญาณในมือ ในทางกลับกัน พวกเขาส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือด้วยหวังว่าจะมีใครสักคนผ่านมาและช่วยเหลือพวกตน
“นายหญิง ท่านอยากจะช่วยคนพวกนี้รึไม่ ?”
มารยากวาดสายตามองค้างคาวเหล่านั้นอย่างเย็นชา สำหรับมันแล้ว ค้างคาวเหล่านั้นมิใช่สิ่งที่ต้องหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ และพุ่งไปปรากฏตัวตรงหน้าคนทั้งสามอย่างรวดเร็วพร้อมเหวี่ยงกระบี่ออกไปสังหารค้างคาวหลายสิบตัวได้ในชั่วพริบตา
และด้วยการโบกมือเบา ๆ ของมารยา ค้างคาวมากกว่าสิบตัวก็ถูกแช่แข็งและขยับเขยื้อนไม่ได้อีก
ภายในชั่วขณะ วิกฤตที่เกิดขึ้นก็ถูกจัดการได้อย่างง่ายดายโดยที่ค้างคาวเหล่านั้นถูกกวาดล้างไปทั้งหมด
ทว่าในขณะที่ฉินอวี้โม่กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง จู่ ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารและสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวหลบออกไปอย่างรวดเร็ว