ฉินอวี้โม่เก็บสมบัติทุกอย่างที่ถูกทิ้งไว้ในสุสานมังกรแห่งนี้โดยบรรพบุรุษมังกรอย่างใจเย็น ทว่าในเวลานี้ ภายในดินแดนลับก็โกลาหลวุ่นวายกันไม่น้อย
“ผ่านมาสามวันแล้ว ยังไม่มีเบาะแสจากลูกพี่อีกรึ ?”
เวลานี้ ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ยังรวมตัวกันที่จุดศูนย์กลางของดินแดนลับ พวกเขาทุกคนพูดคุยกันด้วยความกังวลใจ
ฉินอวี้โม่ถูกพลังลึกลับบางอย่างดึงตัวออกไปในวันนั้นและพวกเขาไม่ทันได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการหยุดยั้งหรือขัดขวางมัน
ตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา พวกเขาก็พยายามตามหานางอย่างไม่หยุดหย่อน ทว่าไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์แม้แต่น้อย
ราวกับฉินอวี้โม่หายสาบสูญไปจากดินแดนลับแห่งนี้และไม่หลงเหลือแม้แต่ร่องรอยใด ๆ
“เป็นไปได้รึไม่ว่านางออกไปแล้ว ?”
ซ่างจู๋มู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้รู้สึกว่าวาจาของตนดูจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หากตอนนี้ฉินอวี้โม่กลับออกไปข้างนอกแล้ว มันก็ถือเป็นเรื่องดี ดีกว่าการติดอยู่ในดินแดนลับแห่งนี้
“ข้าก็หวังว่านางจะออกไปจากดินแดนลับแห่งนี้แล้ว ทว่าน่าเสียดายที่ป้ายหินวิญญาณของนางก็ถูกสลับสับเปลี่ยนไปเช่นกัน เว้นแต่ว่าการคัดเลือกจะสิ้นสุดลง ไม่เช่นนั้นนางออกไปไม่ได้แน่”
โหรวรั่วกล่าวอย่างจนปัญญา ดินแดนลับแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องประหลาดเกินคาดเดามากนักและการตามหาฉินอวี้โม่ก็มิใช่เรื่องง่ายเลย
“การคัดเลือกใกล้ที่จะสิ้นสุดเต็มที หากแม่นางฉินอวี้โม่ถูกพลังนั่นดึงตัวไปยังสถานที่พิเศษหรือมิติประหลาด ไม่รู้เลยว่านางจะออกมาได้หรือไม่…”
เฉินหยางชั่วกล่าวอย่างเป็นกังวล หากฉินอวี้โม่ออกไปจากที่นี่ได้ พวกเขาก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนางไม่มีป้ายหินวิญญาณที่ใช้งานได้ หากถูกดึงตัวไปยังมิติประหลาดอื่นดังที่กังวลจริง นางก็อาจจะออกไปจากดินแดนลับนี้ไม่ได้ ซึ่งสถานการณ์ของนางในตอนนี้ก็เรียกได้ว่าน่าเป็นห่วงไม่น้อย
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หากฉินอวี้โม่ยังไม่ออกไปในตอนที่การคัดเลือกจบลง เราก็ได้เพียงบอกท่านเจ้าเมืองและบรรดาผู้นำตระกูลทั้งหลายเพื่อให้พวกเขาช่วยตามหานาง”
ซ่างจู๋มู่ตัดสินใจในทันที ตราบใดที่ไม่เกิดอันตรายใดกับฉินอวี้โม่ในดินแดนลับแห่งนี้ ทุกคนจะตามหานางได้พบอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ การคัดเลือกใกล้ที่จะจบลงแล้ว แต่ละเมืองจะส่งคนเข้าร่วมรอบต่อไปเพียงยี่สิบคนและตอนนี้เราต้องหารือเรื่องนี้กันก่อน”
แม้ไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่อยู่ที่ใด แต่ทว่าการคัดเลือกก็ยังต้องดำเนินต่อไป…
ตระกูลเฝิง ตระกูลโจวและอีกหลายคนที่ร่วมมือกับพวกเขาถูกจอมยุทธ์จากทั้งสามตระกูลใหญ่ควบคุมไว้แล้ว และผู้ผ่านเข้ารอบทั้งยี่สิบคนจะต้องคัดเลือกจากพวกเขาในที่นี้
“ข้าขอสละสิทธิ์”
เฝิงเยี่ยกล่าวแสดงจุดยืนเป็นคนแรก ด้วยความแข็งแกร่งของเขา โอกาสในการผ่านเข้าไปถึงรอบสุดท้ายของการคัดเลือกถือว่ามีมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนลับและด้วยการที่เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลเฝิง รวมถึงในตอนแรกเขาก็คิดที่จะกำจัดฉินอวี้โม่และอีกสามตระกูลเช่นกัน ต่อให้จะแปรพักตร์เปลี่ยนใจในท้ายที่สุด เขาก็ละอายใจเกินกว่าจะเดินหน้าแข่งขันต่อไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ของอาจารย์ของเขาก็ยังไม่ชัดเจน หากรากฐานพลังของอาจารย์ถูกทำลายไปโดยสมบูรณ์ เขาก็จะต้องคอยอยู่ดูแลอาจารย์และไม่มีเวลาเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้าย
ซ่างจู๋มู่ไม่กล่าวสิ่งใดและเข้าใจในการตัดสินใจของเฝิงเยี่ย
“ถ้าอย่างนั้นก็มอบสิทธิ์ให้กับคณะเจ็ดคนของแม่นางฉินอวี้โม่ ส่วนสิบสามคนที่เหลือ พวกเราจะแบ่งอย่างเท่าเทียมกันระหว่างเราทั้งสามตระกูล”
ฉินอวี้โม่ช่วยพวกเขาทุกคนไว้และทั้งสามตระกูลย่อมให้สิทธิ์ส่วนใหญ่กับนาง โหรวรั่วจึงกล่าวขึ้นเพื่อแสดงความคิดเห็นของตน
“ข้าไม่คัดค้าน”
เฉินหยางชั่วลังเลเล็กน้อยทว่าไม่คัดค้านสิ่งใด
“ไม่…”
อย่างไรก็ตาม ฉื่อไท่หลางและคณะศิษย์ตระกูลฉื่อคนอื่น ๆ มองหน้ากันก่อนกล่าวปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“สำหรับความแข็งแกร่งของพวกเรา…พวกเรารู้ดีที่สุด การได้ผ่านมาถึงรอบที่สองและเอาตัวรอดมาได้จนถึงตอนท้ายเช่นนี้เป็นเพราะโชคช่วยแท้ ๆ ต่อให้ได้เข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้าย เราก็คงไม่มีบทบาทอะไรโดดเด่นและไม่สามารถบรรลุสิ่งใดได้ ทว่าพรสวรรค์ของทุกท่านล้วนอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมและมีโอกาสในการคัดเลือกรอบสุดท้ายมากกว่าเรา เพราะฉะนั้น พวกเราจะไม่แย่งโอกาสเหล่านั้นไปจากพวกท่าน”
สิ่งที่ฉื่อไท่หลางกล่าวคือความคิดที่แท้จริงของพวกเขาทุกคน เพียงได้เอาตัวรอดมาจนถึงตอนนี้ก็ทำให้พวกเขามีความสุขมากแล้ว แม้ต้องการเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายและสั่งสมประสบการณ์ต่อไปอย่างเต็มที่ ทว่าคณะศิษย์ตระกูลฉื่อก็รู้จักขีดจำกัดของตนเองดี อีกทั้งพวกเขาก็ทราบความหมายของทั้งสามตระกูลว่าไม่ต้องการติดค้างความช่วยเหลือของฉินอวี้โม่ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายจริง ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งในปัจจุบัน เรียกได้ว่าพวกเขาแทบไม่มีโอกาสที่จะเข้าตาสามสำนักและเก้านิกายได้เลย ซึ่งพวกเขาตระหนักถึงความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี
“นายน้อยพูดถูกแล้ว สิทธิ์เหล่านี้ควรที่จะถูกสำรองไว้ให้กับทั้งสามตระกูล พวกเราไม่ต้องการมัน”
หลายคนกล่าวเน้นย้ำเป็นเสียงเดียวกันและยืนยันการตัดสินใจของพวกตน
“ถ้าเช่นนั้นเราก็จะไม่คัดค้าน เราจะสำรองสิทธิ์สองที่นั่งให้กับพวกเจ้า และพวกเราจะจัดสรรสิทธิ์ที่เหลือสำหรับแต่ละตระกูลของเราเอง”
ซ่างจู๋มู่ตัดสินใจทันทีและรู้สึกประทับใจในตัวฉื่อไท่หลางไม่น้อย ไม่แปลกใจเลยที่ฉินอวี้โม่จะยอมรับพวกเขาเหล่านี้เป็นสหาย คนเหล่านี้มีกระดูกสันหลังที่ดีทีเดียว
“นายน้อย ท่านไปกับลูกพี่อวี้โม่เถอะ”
เมื่อศิษย์ตระกูลฉื่อแยกตัวออกมาพูดคุยหารือกันเอง พวกเขาก็กล่าวบอกให้ฉื่อไท่หลางเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายไปกับฉินอวี้โม่
ในบรรดาพวกเขาทุกคน นอกเหนือจากฉินอวี้โม่แล้วผู้ที่ฝีมือดีที่สุดก็คือฉื่อไท่หลางและจางเหิง ทว่าในเมื่อจางเหิงไม่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงในตอนนี้และพวกเขาต่างก็คิดกันไปว่าอีกฝ่ายน่าจะเผชิญสิ่งที่คาดไม่ถึงและออกจากดินแดนลับไปก่อนแล้ว ฉื่อไท่หลางจึงเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
ในฐานะนายน้อยของตระกูลฉื่อ ไม่ว่าฉื่อไท่หลางจะผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้ายหรือไม่ การได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันก็จะส่งผลดีต่อตระกูลฉื่อแห่งอำเภอซ่างหยวนอย่างมาก พวกเขาทุกคนเป็นศิษย์ของตระกูลฉื่อและจงรักภักดีต่อตระกูลอย่างที่สุด แน่นอนว่าพวกเขาจะสนับสนุนให้ฉื่อไท่หลางรับโอกาสนี้โดยไม่คิดลังเล
“แต่ว่า…”
เมื่อเห็นสหายทุกคนที่เติบโตและฝึกฝนมาด้วยกันยืนยันเช่นนั้น ฉื่อไท่หลางก็ลังเลใจขึ้นมาเล็กน้อย
“นายน้อย อย่าปฏิเสธไปเลย หากท่านไม่ไป พวกเราก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ใหญ่”
คนอื่น ๆ ยิ้มและกล่าวยืนยันโดยไม่มีความรู้สึกอึดอัดใด ๆ ในหัวใจ พวกเขาต่างก็เต็มใจที่จะมอบโอกาสนี้ให้กับฉื่อไท่หลาง
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่คัดค้าน เมื่อกลับไปที่ตระกูลฉื่อ ข้าจะตอบแทนพวกเจ้าทุกคนอีกครา”
ในที่สุดฉื่อไท่หลางก็พยักศีรษะและตอบตกลงพร้อมกล่าวคำมั่นกับสหายตรงหน้า
“นายน้อยจริงจังเกินไปแล้ว พวกเราทั้งหมดเป็นสมาชิกของตระกูลฉื่อและยินดีทำเพื่อตระกูลของเราขอรับ เหตุใดจะต้องมีการขอบคุณหรือตอบแทนกันด้วยเล่า”
พวกเขาต่างก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีและไม่ต้องการสิ่งตอบแทนจากฉื่อไท่หลาง
เวลานี้ สามตระกูลใหญ่ก็หารือกันและเลือกศิษย์ฝีมือดีเป็นตัวแทนจากแต่ละตระกูลเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายได้แล้วเช่นกัน
“เมื่อหมดเวลาการแข่งขัน คงจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นมา พวกเจ้าออกไปก่อนและผู้ที่เข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายจะตามออกไปในทีหลัง”
ซ่างจู๋มู่กล่าวบอกทุกคนตามข้อมูลที่ได้รับมาจากซ่างสี่ซาน ตอนนี้พวกเขาทุกคนไม่มีป้ายหินวิญญาณที่ใช้งานได้จึงทำได้เพียงรอจนกระทั่งค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นและเข้าไปทีละคน
“โยนพวกคนตระกูลเฝิงและตระกูลโจวออกไปก่อน หลังจากนี้เราจะไปหาทั้งสองตระกูลเพื่อคิดบัญชีกับพวกเขา !”
เฉินหยางชั่วชำเลืองมองไปยังเฝิงต้าเป่าและคนอื่น ๆ ที่ถูกมัดรวมกันและถูกปิดผนึกพลังไว้จนพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ หลังจากกลับออกไปยังโลกภายนอก พวกเขาจะไปหาตระกูลเฝิงและตระกูลโจวเพื่อคิดบัญชีเกี่ยวกับสิ่งที่คนเหล่านี้ทำไว้
“เฝิงเยี่ย ไม่ต้องห่วง ท่านอาจารย์ของเจ้าจะต้องปลอดภัย เราจะหาทางช่วยเขาอย่างแน่นอน”
โหรวรั่วตบไหล่เฝิงเยี่ยเบา ๆ เพื่อมิให้เขากังวลจนเกินไป หากทั้งสามตระกูลร่วมมือกันเพื่อกดดัน แม้ว่าตระกูลเฝิงจะอาจหาญเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าประจันหน้ากับสามตระกูลอย่างซึ่ง ๆ หน้าแน่และการช่วยชีวิตคนเพียงคนเดียวจะต้องสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณทุกคนมาก”
เฝิงเยี่ยประกบกำปั้นทั้งสองเข้าด้วยกันและกล่าวอย่างจริงใจ ทว่าสิ่งที่เขากังวลในตอนนี้คือความปลอดภัยของฉินอวี้โม่ ในเมื่อเวลาของการคัดเลือกรอบนี้ใกล้สิ้นสุดลงเต็มที ทว่านางยังไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่เงา มันก็เป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะไม่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของนาง
จากนั้นเวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไปและเมื่อถึงช่วงเย็น ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“พาตัวพวกเขาออกไปกันก่อนเถอะ”
หนึ่งในศิษย์ตระกูลซ่างกล่าวก่อนพาตัวเฝิงต้าเป่ามุ่งหน้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย คนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายต่างก็จับตัวคนตระกูลเฝิงและตระกูลโจวมุ่งหน้าผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายเข้าไปเช่นกัน
“ข้าขอตัวก่อน”
เฝิงเยี่ยก็ชำเลืองมองไปยังส่วนลึกของดินแดนลับอีกคราก่อนก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายขณะวิงวอนในใจว่าฉินอวี้โม่จะมาทันเวลาและออกไปจากดินแดนลับแห่งนี้ได้
“นายน้อย พวกเราขอตัวก่อนนะขอรับ”
ศิษย์ตระกูลฉื่อที่เหลือซึ่งไม่ได้คิดเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายต่างก็กล่าวออกไปเช่นกัน พวกเขาไม่อาจรอฉินอวี้โม่ได้อีกและได้เพียงหวังว่านางจะปลอดภัยดี
“เอาล่ะ ข้าจะเฝ้ารอสักประเดี๋ยว เมื่อพวกเจ้าออกไป รีบตามหาจางเหิงให้พบก่อนล่ะ”
ฉื่อไท่หลางพยักศีรษะและกล่าวกับทุกคน
“พวกเราทราบดีขอรับ”
พวกเขาพยักศีรษะยืนยันความเข้าใจก่อนก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย
สมาชิกสามตระกูลใหญ่ที่เหลือก็มุ่งหน้าเข้าในค่ายกลเคลื่อนย้ายทีละคน ๆ เช่นกัน และภายในเวลาเพียงไม่นาน หน้าประตูค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ก็เหลืออยู่เพียงสี่คนซึ่งก็คือหัวหน้าของทั้งสามตระกูลและฉื่อไท่หลาง
“ดูเหมือนว่าแม่นางฉินอวี้โม่จะมาไม่ทันจริง ๆ ”
ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้จะคงอยู่เป็นเวลาเพียงสองก้านธูปเท่านั้น หากฉินอวี้โม่มาได้ทันเวลา นางก็จะออกไปได้ ทว่าหากมาไม่ทันละก็ มันก็จะเป็นปัญหาไม่น้อยเลย
“รออีกสักหน่อยเถอะ”
ซ่างจู๋มู่แผ่พลังวิญญาณออกไปค้นหารอบตัวอีกครั้งเพื่อตามหาเบาะแสของฉินอวี้โม่
อีกสามคนไม่รอช้าและปล่อยพลังวิญญาณของตนเพื่อออกสำรวจหานางเช่นกัน
น่าเสียดายที่พวกเขายังไม่พบสิ่งใดเช่นเดิม
“ไปกันเถอะ ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว”
เมื่อเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายเริ่มสลายไปอย่างช้า ๆ ซ่างจู๋มู่ก็ดึงพลังวิญญาณของตนกลับคืนมาและกล่าวอย่างจนปัญญา
“ไปกันเถอะ บางทีแม่นางฉินอวี้โม่อาจจะออกไปแล้วก็เป็นได้”
โหรวรั่วมุ่งหน้าข้ามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายเข้าไปหลังจากกล่าวปลอบใจตัวเอง
ฉื่อไท่หลาง ซ่างจู๋มู่และเฉินหยางชั่วก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายเช่นกัน และหวังในใจว่าฉินอวี้โม่จะออกจากดินแดนลับไปแล้วจริง ๆ
อึดใจต่อมา ทุกคนก็ปรากฏตัวเหนือลานจัตุรัสของเมืองเทียนหยวนอีกครา
หลังจากเรียกสติกลับคืนมาและปรับตัวเล็กน้อย พวกเขาก็พยายามตามหาร่องรอยของฉินอวี้โม่เพื่อยืนยันว่านางออกมาจากดินแดนลับแล้วหรือไม่ น่าเสียดายที่ยังไม่มีแม้แต่เงาของฉินอวี้โม่เช่นเดิม
“ลูกพี่อวี้โม่ล่ะ ?”
จางเหิงเดินตรงเข้าไปหาฉื่อไท่หลางและรีบเอ่ยถามอย่างกังวลใจ
ก่อนหน้านี้เขาเผชิญหน้ากับฝูงอสูรทรงพลังในดินแดนลับและรับมือกับพวกมันไม่ได้ เขาจึงทำลายป้ายหินวิญญาณโดยตรงและถูกส่งตัวออกมา อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้คนตระกูลเฝิงละเลยเกินไปและลืมสลับสับเปลี่ยนป้ายหินวิญญาณของจางเหิง ป้ายของเขาจึงยังใช้งานได้ตามปกติ ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์ตระกูลฉื่อคนอื่น ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ก็บอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนลับให้เขาทราบแล้ว เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่หายไปอย่างไร้ร่องรอย จางเหิงจึงเป็นห่วงและกังวลอย่างยิ่ง และเมื่อฉื่อไท่หลางกลับออกมาโดยที่ไร้ฉินอวี้โม่ข้างกาย เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
“น้องอวี้โม่ล่ะ ?”
โหรวฉิงสังเกตเห็นเช่นกันว่าฉินอวี้โม่ยังไม่ออกมาและสีหน้าของนางเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“พี่รอง ท่านทำให้ค่ายกลนี้คงอยู่ต่อไปอีกสักพักได้รึไม่ ?”
จ้าวตั๋วมีสีหน้ากังวลในทันทีขณะมองค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ค่อย ๆ สลายไปตรงหน้า
“ดินแดนลับแห่งนี้มีพลังที่อยู่เหนือกว่าการควบคุมของมนุษย์ ข้าทำอะไรไม่ได้หรอก”
จ้าวเหลียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา แม้ต้องการทำอะไรสักอย่าง เขาไม่อาจคิดหาหนทางใดได้
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเข้าไปตามหาเสี่ยวอวี้โม่เอง”
จ้าวตั๋วกล่าวขณะพุ่งตรงไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วและต้องการเข้าไปตามหาฉินอวี้โม่ข้างใน