ณ ลานจัตุรัสของเมืองเทียนหยวน ทุกคนยังคงรออย่างเงียบ ๆ การที่ฉินอวี้โม่มีมิติที่สองมิใช่ความลับอีกต่อไป อย่างน้อยที่สุดบรรดาผู้นำตระกูลใหญ่ในที่นี้ก็ทราบเกี่ยวกับมันดี แม้คนอื่น ๆ จะสับสนกันเล็กน้อยเมื่อเห็นฉินอวี้โม่หายตัวไปอย่างกะทันหัน พวกเขาก็ไม่เอ่ยถามสิ่งใดและเฝ้ารออย่างใจเย็น
“จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่จะไม่เป็นอะไรใช่รึไม่ ?”
หลังจากรอเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปและยังไม่เห็นแม้แต่เงาของฉินอวี้โม่ เฝิงเตาก็ขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรหรอก แม่นางอวี้โม่ไม่เป็นอะไรไปง่าย ๆ แน่”
หลานเผิงคลี่ยิ้มและกล่าวอย่างไม่กังวลใจ การที่ฉินอวี้โม่ยังไม่ปรากฏตัวเช่นนี้คงเป็นเพราะมีบางสิ่งบางอย่างต้องจัดการให้เสร็จสิ้น เขาและทุกคนเพียงต้องรอเวลาสักหน่อยเท่านั้น
ฉื่อไท่หลางและคณะตระกูลฉื่อก็ไม่ได้กังวลสิ่งใดเช่นกัน ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่ นางเป็นผู้ปกครองสูงสุดและมีอำนาจเหนือทุกคน ไม่มีทางที่เฝิงรุ่ยเฉิงจะต่อต้านขัดขืนอะไรนางได้
หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวอีกครั้งในจุดเดิมที่หายตัวไป
“เสี่ยวอวี้โม่ ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ ?”
จ้าวตั๋วกล่าวขึ้นเป็นคนแรก
“เฝิงรุ่ยเฉิงระเบิดตัวเองและคิดจะใช้โอกาสนั้นเพื่อหลบหนีเอาตัวรอดไป ข้าจึงจับเขาไว้ในคฤหาสน์มิติของข้า”
ฉินอวี้โม่กล่าวอธิบายเพียงสั้น ๆ ก่อนกวาดสายตามองทุกคนและกล่าว “ท่านเจ้าเมือง ผู้นำตระกูลทั้งสาม เรารีบจัดการเรื่องของตระกูลเฝิงให้เสร็จสิ้นก่อนเถอะ หลังจากนี้ข้ามีเรื่องบางอย่างที่จะหารือกับทุกท่าน”
ตอนนี้เฝิงรุ่ยเฉิงอยู่ในกำมือของฉินอวี้โม่แล้ว แม้ศิษย์ตระกูลเฝิงที่เหลืออยู่หลายคนเคยมีส่วนร่วมในการหาเรื่องเล่นงานนาง พวกเขาทั้งหมดก็เพียงทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายเท่านั้นและมิได้มีความผิดที่ใหญ่หลวงนัก สำหรับการตัดสินใจว่าจะจัดการลงโทษตระกูลเฝิงอย่างไร ฉินอวี้โม่ก็ไม่ต้องการยื่นมือเข้าไปในเรื่องนี้
“เฝิงเตา ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ?”
จ้าวเหลียงเหลือบมองไปที่เฝิงเตาซึ่งเป็นผู้อาวุโสมาตั้งแต่ตระกูลเฝิงรุ่นก่อนและเอ่ยถามความคิดเห็นของอีกฝ่าย
“ยุบตระกูลขอรับ ไม่มีความจำเป็นที่ตระกูลเฝิงจะต้องดำรงอยู่อีกต่อไป”
เฝิงเตากวาดสายตามองบรรดาศิษย์ของตระกูลเฝิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หลังจากเหตุการณ์ครานี้ เขาได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างกระจ่างชัดมากขึ้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พลังความแข็งแกร่งของเขาหยุดนิ่งไม่มีการพัฒนาเนื่องจากมีปัจจัยภายนอกมากมายที่ต้องจัดการจนไม่มีเวลาให้กับการฝึกฝนพัฒนาตน หลังจากนี้เขาวางแผนที่จะออกไปท่องยุทธภพเพื่อฝึกวิชาและพัฒนาฝีมืออย่างเต็มที่ บางทีเขาอาจจะมีโอกาสทะลวงพลังได้อีกก็เป็นได้…
“การยุบตระกูลก็เป็นการตัดสินใจที่ดีเหมือนกัน เอาล่ะ เว้นเพียงแต่คนเหล่านี้ ท่านก็จัดการกับคนอื่น ๆ ได้ตามความเหมาะสมเลย”
จ้าวเหลียงพยักศีรษะและไม่คัดค้าน เขาเพียงกล่าวพร้อมชี้ไปที่เฝิงต้าเป่าและสมาชิกตระกูลเฝิงคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ต้องให้ฉินอวี้โม่ตัดสินใจจัดการด้วยตัวเอง
“เสี่ยวอวี้โม่ คนพวกนี้คิดร้ายต่อเจ้า หากมิใช่เพราะเจ้าทรงพลังมากพอและปกป้องตนเองได้ เกรงว่าเจ้าคงตกอยู่ในอันตรายแน่ เจ้าจัดการกับพวกเขาตามที่ต้องการเถอะ”
จ้าวเหลียงชี้ไปที่กลุ่มของเฝิงต้าเป่าซึ่งถูกมัดไว้บนพื้นและบอกให้ฉินอวี้โม่จัดการกับพวกเขาด้วยตัวเอง
“ทำลายรากฐานพลังของพวกเขาทั้งหมดและจับเฝิงต้าเป่าไปโยนไว้ข้างถนน ที่ผ่านมานี้เขาทำให้ผู้คนมากมายต้องขุ่นเคืองใจและคนเหล่านั้นคงจะอยากระบายความแค้นที่มีเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่ชี้ไปที่เฝิงต้าเป่าและกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ สำหรับคนประเภทนี้ การสังหารพวกเขามีแต่จะทำให้มือต้องแปดเปื้อนเสียเปล่า ๆ
ในอดีตที่ผ่านมา เฝิงต้าเป่าก่อกรรมทำชั่วมามากมายและสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ในเมืองเทียนหยวนแห่งนี้มีคนไม่น้อยเลยที่โกรธแค้นไม่พอใจเขา หากตระกูลเฝิงถูกยุบสลายไปและรากฐานพลังของเฝิงต้าเป่าถูกทำลายไป เขาจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตายอย่างแน่นอน
“ไม่ ! อย่าทำลายรากฐานพลังของข้าเลย ! ฉินอวี้โม่ ก่อนหน้านี้ข้าเพียงทำตามคำสั่งของท่านพ่อเท่านั้นและไม่เคยคิดอยากเป็นศัตรูกับเจ้าเลย โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ…”
ใบหน้าของนายน้อยตระกูลเฝิงซีดเผือดและรู้สึกหวาดกลัวต่อชะตากรรมของตนเองที่กำลังจะมาถึง หากรากฐานพลังของเขาถูกทำลายไป แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปก็จะสั่งสอนเขาได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาถูกโยนไว้ข้างถนนในสภาพเช่นนั้น ทุกคนที่เขาเคยหาเรื่องและเป็นศัตรูด้วยจะไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน…
“มันสายไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่โบกมือและกล่าวเพียงสั้น ๆ จากนั้นพลังมายาทั้งหมดในร่างของเฝิงต้าเป่าก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยทันที จุดตันเถียนของเขาถูกทำลายไปและไม่มีทางที่จะฝึกวิชาได้อีกในอนาคต ตอนนี้นายน้อยตระกูลเฝิงผู้หยิ่งยโสกลายเป็นเพียงขยะไร้ค่าเท่านั้น
“ขอให้โชคดีล่ะ !”
หลังจากโบกมืออีกครั้ง ร่างของเฝิงต้าเป่าก็กระเด็นออกไปด้านข้างและล้มกองอยู่บนพื้นที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง
“เหอะ เฝิงต้าเป่า ในช่วงเวลาที่เจ้าเป็นนายน้อยของตระกูลเฝิง เจ้ารังแกข้ามาโดยตลอด วันนี้ข้าจะชำระความแค้นทุกอย่างอย่างสาสม !”
ทันทีที่ร่างของเขาถูกโยนออกไป ใครคนหนึ่งที่สั่งสมความคับแค้นใจต่อเฝิงต้าเป่ามานานก็อดกล่าวเสียงดังไม่ได้
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าวางอำนาจอวดเบ่งโดยอาศัยสถานะนายน้อยของตระกูลเฝิงและคิดจะจับตัวน้องสาวข้าไปเป็นนางสนม หากมิใช่เพราะข้าส่งน้องสาวของข้าออกไปจากเมืองนี้ได้ทัน เกรงว่านางคงจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าแล้ว…เจ้าคนสารเลวน่ารังเกียจ !”
ใครอีกคนกล่าวขึ้นมาและมองเฝิงต้าเป่าตาเขม็ง
คนอื่น ๆ อีกมากมายที่เคยมีเรื่องบาดหมางใจหรือถูกรังแกโดยเฝิงต้าเป่าต่างก็เดินออกมาจากฝูงชนทีละคน ๆ เพื่อต่อยตีและเตะเขาอย่างโกรธแค้น
“ฉินอวี้โม่ เราผิดไปแล้ว เราไม่ควรตั้.งตัวเป็นศัตรูกับเจ้าเลย..ไม่ควรคิดสั้นเช่นนั้นเลย ไว้ชีวิตพวกเราเถอะ…”
เมื่อเห็นจุดจบของเฝิงต้าเป่า สีหน้าของจูโหย่วจ้วงและคนตระกูลจูก็ถอดสีและบิดเบี้ยวเหยเก พวกเขารีบโค้งคำนับต่อฉินอวี้โม่และร้องขอความเมตตาอย่างไม่ละอายใจ
“ข้าไม่คิดจะฆ่าพวกเจ้าหรอก”
ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองคนเหล่านั้นด้วยความรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง
นางเพียงโบกมือเบา ๆ อีกคราและพลังทั้งหมดในร่างของพวกเขาก็สลายหายไปจนกลายเป็นเพียงคนไร้พลังในชั่วพริบตา
“หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปที่อำเภอซ่างหยวน ไม่มีความจำเป็นที่ตระกูลจูจะต้องดำรงอยู่อีกต่อไป !”
จากนั้นนางก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้กับฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ซึ่งทราบว่าควรทำอย่างไรและก้าวออกมาจับตัวจูโหย่วจ้วงและคนอื่น ๆ ไว้อย่างรวดเร็ว
“ทุกคน ตระกูลเฝิงมิใช่ตระกูลเฝิงที่เราเคยรู้จักอีกต่อไป ในเมื่อผู้นำตระกูลสิ้นชื่อไปแล้วและข้าวางแผนที่จะออกไปท่องยุทธภพฝึกวิชาเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่ง หลังจากนี้ พวกเจ้าจงกลับไปที่จวนตระกูลเพื่อเก็บข้าวของสัมภาระของตนและย้ายออกไปจากที่นั่นเสีย”
อีกฟากหนึ่ง เฝิงเตาและเฝิงเยี่ยก็ตัดสินใจร่วมกันว่าจะจัดการกับตระกูลเฝิงต่อไปอย่างไร
“ท่านผู้อาวุโส เมื่อย้ายออกจากจวนตระกูลเฝิง…พวกเราจะไปอยู่ที่ใดกัน ?”
ศิษย์หลายคนที่ผูกพันกับตระกูลเฝิงกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ พวกเขาอาศัยอยู่ในจวนตระกูลเฝิงมาตั้งแต่ยังเด็กและผูกพันกับทุกคนที่นั่นมาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็คุ้นชินกับตัวตนในฐานะศิษย์ของตระกูลเฝิงแล้ว จู่ ๆ ตระกูลเฝิงกลับยุบสลายไปเช่นนี้ พวกเขาไม่ทราบเลยว่าจะต้องไปที่ใดต่อ…
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ เหตุใดท่านจึงไม่รับตำแหน่งผู้นำตระกูลเฝิงและปกครองพวกเราต่อไปเล่า ? เราให้คำมั่นว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของท่านทุกอย่างและไม่คิดหาเรื่องกวนใจตระกูลใหญ่อีกเลย พวกเราจะฝึกวิชาอย่างสงบเสงี่ยมและไม่สร้างปัญหาหรือก่อความวุ่นวายใด ๆ”
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของตระกูลเฝิงก็กล่าวขึ้น หากตระกูลเฝิงสลายตัวไปจริง ๆ พวกเขาก็ไม่มีที่ให้ไปเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทั้งหมดก็ล้วนไว้วางใจและเชื่อมั่นในตัวผู้อาวุโสใหญ่อย่างไร้ข้อกังขาและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปได้
“ไม่ ข้าไม่สนใจตำแหน่งผู้นำตระกูลเฝิงหรอก”
เฝิงเตาปฏิเสธทันทีและกล่าวตามความจริงว่าเขาไม่สนใจตำแหน่งดังกล่าว
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ หากไม่มีทางอื่นก็ให้เฝิงเยี่ยขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเฝิงคนใหม่เถอะ คงน่าเสียดายเกินไปหากว่าตระกูลเฝิงที่มีสมาชิกมากถึงหลายร้อยคนต้องสลายตัวไปง่าย ๆ เช่นนี้ อีกอย่าง…พวกเราก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่ตระกูลยุบตัวลง”
ผู้อาวุโสเหล่านั้นยังคงกล่าวต่อไปและมองเฝิงเยี่ยด้วยแววตาคาดหวัง พวกเขาหวังว่าศิษย์อันดับหนึ่งของตระกูลผู้นี้จะแบกรับความรับผิดชอบในฐานะผู้นำตระกูลเฝิงได้
“ข้าก็ไม่สนใจเช่นกัน ข้ายังต้องเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบต่อไปและไม่อาจทราบได้ว่าข้าจะได้มีโอกาสเข้าร่วมกับสามสำนักและเก้านิกายหรือไม่”
เฝิงเยี่ยส่ายศีรษะและปฏิเสธด้วยน้ำเสียงแน่วแน่เช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้น…ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ท่านมาเป็นผู้นำตระกูลเฝิงคนใหม่ของเราเถอะ ตระกูลเฝิงมีศิษย์มากมายนัก หากตระกูลเฝิงยุบตัวลงไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ พวกเราคงไม่มีที่ให้ไปอย่างแน่นอน แม้ตระกูลเฝิงจะไม่แข็งแกร่งหรือทรงอิทธิพลนัก พวกเราก็ยังมีส่วนช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อย…”
จู่ ๆ ใครคนหนึ่งก็กล่าวเสนอและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาวิงวอน