ณ เมืองเทียนยิน หานโม่ฉือและเหมียวเจินเจินก็มุ่งหน้าไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อขอใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายสำหรับการเดินทางไปตามหาฉินอวี้โม่ที่เมืองเทียนหยวน
อีกฟากหนึ่งของดินแดน บรรยากาศ ณ เมืองเทียนหยวนในเวลานี้ก็ตึงเครียดเล็กน้อย
ศิษย์ส่วนใหญ่ของตระกูลเฝิงเลือกที่จะจำนนต่อฉินอวี้โม่และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เลือกออกจากตระกูลไป
เดิมทีเฝิงเตาและเฝิงเยี่ยเองก็วางแผนที่จะจากไปเช่นกัน ทว่าเมื่อตระกูลอยู่ภายใต้การปกครองของฉินอวี้โม่แล้ว พวกเขาจึงเลือกที่จะอยู่ต่อสักระยะ
สาเหตุประการแรกคือเฝิงเยี่ยตั้งใจที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ในรอบสุดท้าย ส่วนประการที่สองคือตอนนี้ตระกูลเฝิงเปลี่ยนกลายเป็นตระกูลฉินแล้วและเฝิงเตาจำเป็นต้องอยู่จัดการดูแลความเรียบร้อยในหลาย ๆ ด้านก่อน
ในฐานะอดีตผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเฝิง แน่นอนว่าเกียรติยศความน่าเชื่อถือของเขาในตระกูลอยู่ในระดับสูงพอสมควรและเขาก็รู้จักตระกูลเฝิงดีที่สุด เฝิงเตาจึงมีข้อตกลงร่วมกับฉินอวี้โม่ว่าเมื่อการคัดเลือกรอบสุดท้ายสิ้นสุดลงและตระกูลเฝิงกลับมาอยู่ในร่องในรอยอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะออกเดินทางไปท่องยุทธภพเพื่อฝึกฝนพัฒนาตนเอง
ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา สถานการณ์ของอดีตตระกูลเฝิงก็คงที่มากขึ้น ฉินอวี้โม่ตั้งกฎระเบียบใหม่ ๆ สำหรับตระกูลฉินเพื่อให้ทุกคนทราบโดยทั่วกันและห้ามมิให้ศิษย์คนใดฝ่าฝืนกฎระเบียบเหล่านี้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้น พวกเขาจะถูกเนรเทศออกจากตระกูลฉินอย่างไม่มีโอกาสแก้ตัว
แน่นอนว่าสมาชิกเหล่านั้นให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามกฎของตระกูลฉินอย่างเคร่งครัดและไม่สร้างปัญหาหรือนำพาความเดือดร้อนมาสู่ฉินอวี้โม่
ภูมิหลังเดิมของตระกูลเฝิงก็ถือว่ามั่นคงดีอยู่แล้ว ฉินอวี้โม่ก็เพียงนำสิ่งของบางอย่างออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวของตนและตั้งระบบรางวัลและการลงโทษแบบใหม่ขึ้นเพื่อกระตุ้นการพัฒนาของศิษย์ในตระกูล
ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ตระกูลเฝิงในอดีตก็ฟื้นฟูความรุ่งเรืองกลับมาอีกคราและในตอนนี้ทุกคนก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากกว่าตอนที่เฝิงรุ่ยเฉิงดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลเสียอีก
ผู้นำตระกูลอื่น ๆ ล้วนส่งของกำนัลมาอย่างต่อเนื่องเพื่อแสดงความยินดีกับฉินอวี้โม่เนื่องในโอกาสที่ได้ขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวน โจวปิ่งฮุยเองก็แสดงทัศนคติที่ดีและสานสัมพันธ์อันดีเพื่อร่วมมือกับตระกูลใหญ่ทั้งหลายในอนาคตข้างหน้า
ผลลัพธ์ของการคัดเลือกในรอบที่สองก็ได้รับการประกาศผลอย่างเป็นทางการแล้วเช่นกันและรายชื่อของทั้งยี่สิบคนที่ผ่านเข้ารอบเพื่อไปสู่การคัดเลือกในรอบสุดท้ายก็อยู่ในมือของจ้าวเหลียงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะเจ้าเมือง เขาก็มีสิทธิพิเศษของตนเองและมีสิทธิ์ห้าตำแหน่งที่จะมอบให้ผู้ใดก็ได้ตามต้องการเพื่อผ่านเข้าไปในรอบสุดท้าย
เนื่องจากเห็นทัศนคติที่ดีของผู้นำตระกูลโจว เขาจึงมอบสี่ตำแหน่งในนั้นให้กับตระกูลโจวและอีกหนึ่งตำแหน่งที่เหลือสำหรับเฝิงเยี่ยซึ่งรวมเป็นห้าตำแหน่งที่เพิ่มเติมจากรายชื่อเดิม นั่นหมายความว่าเมืองเทียนหยวนมีศิษย์ฝีมือดีที่จะเข้าร่วมการแข่งขันในรอบสุดท้ายรวมทั้งหมดยี่สิบห้าคน
ตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จอมยุทธ์ปีศาจที่เคยติดต่อกับเฝิงรุ่ยเฉิงก็ยังคงไม่ปรากฏตัวหรือติดต่อกับผู้ใดจนดูเหมือนว่าพวกเขาออกจากเมืองเทียนหยวนไปแล้วและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่สังหรณ์ใจว่าคนเหล่านั้นยังอยู่ในเมืองนี้ ทว่าเพียงซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดเพื่อรอโอกาสที่เหมาะสม
ในวันนี้ ฉินอวี้โม่ก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อสอบสวนข้อมูลจากเฝิงรุ่ยเฉิงอีกครั้งทว่าไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ เฝิงรุ่ยเฉิงในตอนนี้ก็ได้ฟื้นคืนชีพใหม่ในร่างของหมาป่าสามตาและได้จำแลงร่างมนุษย์โดยกลายเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์ประหลาดน่าขันอย่างมาก
ในขณะที่ถูกอสูรมายาทั้งหลายของฉินอวี้โม่กลั่นแกล้งรังแกอย่างน่าเวทนา เขาก็จำต้องทนเดินหน้าและพยายามกลบหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดจากแรงระเบิดของตน ฉินอวี้โม่ก็พยายามเข้าไปสอบสวนข้อมูลจากเขาหลายคราทว่ากลับไม่ได้สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เพราะเหตุนั้นนางจึงเชื่อได้พอสมควรว่าเขาไม่ทราบเกี่ยวกับจอมยุทธ์ปีศาจมากนัก
ในช่วงเย็นของวัน ฉินอวี้โม่ก็กลับออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวและกลับไปที่เรือนที่พักของตนในจวนตระกูลเฝิง
เนื่องจากเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ นางจึงพักอยู่ในเรือนหลักซึ่งเป็นที่อยู่เดิมของเฝิงรุ่ยเฉิงและป้ายจารึกด้านหน้าจวนตระกูลเฝิงก็ถูกเปลี่ยนกลายเป็น ‘ตระกูลฉิน’ แล้วเช่นกัน
ต้องกล่าวเลยว่าเฝิงหยางเป็นบุคคลที่มีความสามารถและพึ่งพาได้มาก เขาไม่เพียงแต่จัดการดูแลความเรียบร้อยของตระกูลเฝิงเป็นอย่างดีเท่านั้น ทว่ายังให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในทุกด้าน
เรือนที่พักส่วนตัวของฉินอวี้โม่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งภายในและภายนอก รวมถึงสวนเล็ก ๆ ที่ได้รับการตกแต่งไปด้วยบุปผานานาพรรณซึ่งแตกต่างจากรูปแบบสวนเดิมของเฝิงรุ่ยเฉิงอย่างสิ้นเชิง
ทันทีที่กลับเข้าไปในเรือน นางก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง…
“ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว ออกมาเถอะ”
สายตาของนางกวาดมองไปและหยุดลงในทิศทางหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“หึ มีพลังวิญญาณที่แกร่งกล้าจริง ๆ ไม่คาดคิดว่าจะสัมผัสถึงตัวตนของข้าผู้นี้ได้ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าขยะเฝิงรุ่ยเฉิงจะมิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า !”
ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันที่ดังขึ้นมา บุรุษคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากมุมมืด
บุรุษผู้นั้นสวมอาภรณ์สีดำสนิทและสวมหน้ากากบดบังใบหน้าซึ่งปิดบังสัดส่วนใบหน้าเกือบทั้งหมด เว้นเพียงแต่ดวงตาของเขาเท่านั้น
คลื่นพลังของบุรุษผู้นี้แกร่งกล้าอย่างมากและมีพลังอยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงเป็นอย่างต่ำ อีกทั้งพลังมายาของเขาก็เหมือนจะพิเศษอยู่เล็กน้อยโดยที่ฉินอวี้โม่ไม่ทราบเลยว่ามันคือพลังมายาประเภทใด
“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงจะเป็นจอมยุทธ์ปีศาจที่ติดต่อกับเฝิงรุ่ยเฉิงในก่อนหน้านี้สินะ !”
ฉินอวี้โม่นั่งลงอย่างสบาย ๆ และมองบุรุษผู้นั้นด้วยแววตาเรียบเฉยโดยไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
“ข้าเฝ้ารอเจ้ามานานหลายวัน เหตุใดไม่นั่งลงและจิบชากันก่อนล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่โบกมือเบา ๆ และถ้วยน้ำชาหลายถ้วยปรากฏขึ้นบนโต๊ะซึ่งมีน้ำชาร้อน ๆ อยู่ข้างในถ้วยเหล่านั้นแล้ว
“นับว่าเจ้ากล้าหาญทีเดียว”
บุรุษผู้นั้นนั่งลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยอมรับในตัวฉินอวี้โม่เล็กน้อย
“โอ้ ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน ? การที่สวมหน้ากากบดบังใบหน้าเช่นนี้ เจ้าคงจะจิบชาไม่สะดวกเท่าใดนัก ทว่าเชิญสวมหน้ากากต่อไปเถอะ เจ้าจะได้ไม่แสดงใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวให้คนอื่นได้เห็น”
ฉินอวี้โม่หยิบถ้วยน้ำชาและจิบอย่างช้า ๆ พลางกล่าวเย้ยหยันอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่เกรงกลัวข้าผู้นี้เลยสินะ !”
บุรุษผู้นั้นไม่ได้แสดงความโกรธเคืองออกมา ทว่ากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดิม
“ฉินอวี้โม่ เรามาคุยเรื่องการร่วมมือกันจะดีกว่า”
เขากล่าวตรงเข้าประเด็นทันที สำหรับสตรีที่ฉลาดและมีไหวพริบอย่างฉินอวี้โม่ เขาไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา
“ร่วมมืออย่างไรรึ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่รีบร้อนขณะนั่งนิ่งอย่างใจเย็นและจิบน้ำชาหอมกรุ่นต่อไป
“ฉินอวี้โม่…ข้าทราบดีว่าเจ้ามาจากดินแดนที่มีระดับต่ำกว่าที่นี่และไม่มีภูมิหลังใด ๆ ในดินแดนนี้ ข้าผู้นี้จะช่วยเจ้ายึดอำนาจของเมืองเทียนหยวนและกลายเป็นผู้ปกครองแต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งข้ายังจะสนับสนุนให้เจ้ากลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนอีกด้วย”
บุรุษชุดดำกล่าวด้วยความมั่นใจราวกับบรรดาจอมยุทธ์ระดับสูงของดินแดนไม่มีค่าในสายตาของเขา
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใดตอบแทน ?”
ฉินอวี้โม่ไม่สงสัยในวาจาของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ในเมื่อเขากล่าวออกมาเช่นนั้น เขาก็ต้องมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จอมยุทธ์ปีศาจเป็นขุมกำลังที่ลึกลับที่สุดในดินแดนมหาเทพและแม้แต่ขุมกำลังใหญ่อันดับต้น ๆ ของดินแดนก็ไม่อาจทราบได้ว่าคนเหล่านั้นมีไพ่ตายใดซ่อนไว้บ้าง
“หึหึ รู้มากเกินไปก็มิใช่เรื่องดีสำหรับเจ้าหรอก…เจ้ามีหน้าที่เพียงเลือกที่จะตกลงหรือปฏิเสธเท่านั้น”
บุรุษผู้นั้นหัวเราะในลำคอและกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่
“ฉินอวี้โม่ แม้พรสวรรค์ของเจ้าจะยอดเยี่ยม แต่ตอนนี้ตัวเจ้าก็ยังอ่อนแอเกินไป ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้อย่างง่ายดายไม่ต่างจากการบีบมดตัวเล็ก ๆ การที่เจ้าอุตส่าห์ดั้นด้นมาจากดินแดนระดับต่ำ เจ้าก็คงไม่อยากตายไปง่าย ๆ เช่นนี้แน่ หากเจ้ายอมตกลงร่วมมือกับข้า…ข้าจะมอบอนาคตที่สดใสให้กับเจ้าและรับประกันว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไปตลอดกาล”
ในขณะกล่าววาจาข่มขู่พร้อมกับมอบข้อเสนอที่ล่อตาล่อใจ น้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นอกมั่นใจและเชื่อว่าฉินอวี้โม่จะตอบรับข้อเสนอของตนอย่างแน่นอน
ทว่าฉินอวี้โม่เพียงยักไหล่และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าเชื่อคำพูดของเจ้า ทว่าน่าเสียดายที่ข้าไม่สนใจข้อเสนอพวกนั้น การที่จะกลายเป็นผู้ปกครองของเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ ตราบใดที่ข้าต้องการ ข้าสามารถทำได้ด้วยความสามารถของตัวเอง อย่างไรก็ตาม การเป็นผู้ปกครองของเมืองเทียนหยวนมิใช่สิ่งที่ข้าต้องการและไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเช่นนั้น สำหรับอนาคตสดใสที่ว่านั่น การใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุก ๆ วันย่อมดีกว่า อย่างไรก็ตาม หากเจ้าต้องการจะฆ่าข้า…เจ้าก็ลองดูเถอะ”
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นและไม่สนใจคำข่มขู่หรือข้อเสนอที่ควรจะดึงดูดใจของเขาแม้แต่น้อย
โลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี ๆ การที่จอมยุทธ์ปีศาจเสนอผลประโยชน์มากมายเช่นนี้ เขาย่อมต้องการสิ่งตอบแทนกลับคืนมากกว่า ฉินอวี้โม่หาใช่คนโง่เขลาและไม่มีทางหลงกลอีกฝ่ายง่าย ๆ อย่างแน่นอน
“เจ้าแน่ใจรึว่าอยากจะให้ข้าลองดู ?”
จู่ ๆ บุรุษชุดดำก็ยืนขึ้นและจ้องหน้าฉินอวี้โม่ แรงกดดันอันทรงพลังแผ่ตรงไปที่นางทันทีและน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนกลายเป็นเยือกเย็น