เนื่องจากตื่นเต้นมากเกินไป ลู่จื่อยังได้ตั้งใจเอามือจัดปกเสื้อ
เวลาสัมภาษณ์ การสร้างความประทับใจแรกให้กรรมการสัมภาษณ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ก็ไม่รู้ว่าหมอเทวดาคนนี้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
ขณะที่ลู่จื่อคิดแบบนี้ก็เห็นอิ๋งจื่อจินเดินเข้ามา
ถึงขนาดที่เธอยังคงสวมชุดนักเรียนของชิงจื้อ สีน้ำเงินสลับขาว ดูธรรมดามาก
รอยยิ้มของลู่จื่อหายไปทันที สีหน้าเย็นชา “ฉันก็ว่าเมื่อกี้ทำไมเธอถึงไม่พูดสักคำที่แท้ก็มารอฉันที่นี่สินะ ทำไม คิดว่าเข้ามาที่นี่แล้วจะทำลายการสอบสัมภาษณ์ของฉันได้เหรอ”
เธอกะแล้วว่าหมาที่กัดคนจะไม่เห่า
ลู่จื่อหันหน้าไปด้วยท่าทางร้อนใจ “พวกเรารอคุณหมอเทวดาไม่ใช่เหรอคะ แล้วเธอมาหมายความว่ายังไง พวกคุณต้องการผู้สมัครที่ไม่มีความสามารถอะไรแบบนี้เหรอคะ”
ถ้าเป็นแบบนี้ โรงพยาบาลเซ่าเหรินก็ไม่คู่ควรให้เธอมาสมัครงาน
หัวหน้าฝ่ายบุคคลกลับไม่สนใจเธอ ลุกขึ้นทันที ขยับเก้าอี้ออก ท่าทางนอบน้อม “คุณอิ๋ง มาได้เวลาพอดีครับ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ เชิญนั่งครับ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้าแล้วนั่งลงตรงที่นั่งตรงกลาง
หมอเฉพาะทางสองคนนั้นก็ขยับไปข้างๆ ให้ เพื่อให้แน่ใจว่ามีที่ว่างมากพอ
ลู่จื่อมองเด็กสาวที่นั่งลงตรงข้ามเธอ สมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ “…”
หูของเธอก็อื้ออึง สมองตื้อไปหมด ไม่อาจเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าได้ หยุดนิ่งไปทั้งตัว
พอเห็นเธอเป็นแบบนี้ หัวหน้าฝ่ายบุคคลก็ขมวดคิ้ว
แต่ติดเรื่องมารยาท สุดท้ายเขาก็แนะนำให้ลู่จื่อรู้จัก “คุณลู่จื่อ นี่ก็คือคุณหมอเทวดาของโรงพยาบาลเซ่าเหรินครับ พวกคุณ…เคยเจอกันมาก่อนเหรอครับ”
ประโยคนี้ประหนึ่งสายฟ้าฟาดระเบิดสมองของลู่จื่อ สูญเสียแม้กระทั่งความสามารถในการคิดวิเคราะห์
เห็นกับตายังไม่สะเทือนเท่าหัวหน้าฝ่ายบุคคลบอกด้วยตัวเอง
ลู่จื่อมองอิ๋งจื่อจินอย่างไม่เชื่อสายตา มือไม้สั่นไปหมด
อิ๋งจื่อจินเป็นหมอเทวดาของโรงพยาบาลเซ่าเหรินงั้นเหรอ
เป็นหมอเทวดาคนนั้นที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยที่แม้แต่โรงพยาบาลอันดับหนึ่งยังจนปัญญางั้นเหรอ
หมอเทวดาที่แม้แต่อาจารย์ของเธอยังชื่นชมไม่หยุด รู้สึกเลื่อมใสมาก
จะเป็นไปได้ยังไง!
ปีนี้อิ๋งจื่อจินเพิ่งจะอายุเท่าไร!
เพิ่งจะผ่านวันเกิดอายุครบสิบเจ็ดปี คะแนนแย่กว่าลู่ฟั่งน้องชายเธอเกือบสามร้อยคะแนน เป็นถึงนักเรียนของชิงจื้อ แต่กลับสอบไม่ติดแม้กระทั่งมหาวิทยาลัยสองร้อยสิบเอ็ดอันดับ
แล้วอยู่ๆ จะกลายมาเป็นหมอเทวดาได้ยังไง
ลู่จื่อนั่งตัวแข็ง สมองสับสน ลืมแสดงปฏิกิริยาตอบสนองไปอย่างสิ้นเชิง
หัวหน้าฝ่ายบุคคลขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “คุณลู่จื่อครับ”
ลู่จื่อใช้เวลาหนึ่งนาทีเต็มๆ ถึงฝืนตั้งสติขึ้นมาได้
เธอเม้มริมฝีปาก ยื่นเอกสารในมือไปข้างหน้า พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “สวัสดีค่ะ ดิฉันลู่จื่อ นี่เป็นประวัติของฉันค่ะ”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลไม่รับ เขามองอิ๋งจื่อจิน ความหมายชัดเจนมาก
การสัมภาษณ์รอบเย็นของวันนี้ อิ๋งจื่อจินเป็นคนตัดสินใจ
ลู่จื่อกลับรู้สึกอับอายมาก มือกำเสื้อผ้าแน่น
ตอนนี้เธอก็ยังรับไม่ได้ เธอหางานทำ แต่กลับต้องได้รับความยินยอมจากลูกเลี้ยงแค่คนเดียว
อิ๋งจื่อจินไม่แม้แต่จะเปิดดูประวัติของลู่จื่อ เธอนั่งพิงเก้าอี้ เงยหน้าขึ้น พูดออกไปสั้นๆ “ไม่รับคุณค่ะ”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลกับหมอเฉพาะทางสองคนต่างตกใจ
พวกเขารู้ว่าลู่จื่อจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนตี้ตู ประวัติการศึกษาแบบนี้ถือว่าดีมากแล้ว
ลู่จื่อรู้สึกอายมาก ที่มากกว่าคือความโมโห “คุณยังไม่แม้แต่จะอ่านประวัติของฉัน ทำไมถึงพูดว่าไม่รับฉัน ไม่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวเลยเหรอคะ!”
เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ไม่รู้จักแยกแยะเลยเหรอ
ยิ่งไปกว่านั้น เธอเองก็ไม่เคยทำเรื่องคอขาดบาดตายเสียหน่อย
พอได้ยินแบบนี้ ในที่สุดอิ๋งจื่อจินก็มองลู่จื่อตรงๆ
“คิดมากแล้วค่ะ” เธอหัวเราะเสียงเบา ค่อยๆ พูดขึ้น “คุณยังไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
ความหมายก็คือ อย่าสำคัญตัวเองผิด
ประโยคนี้ทำให้หัวใจของลู่จื่อรับไม่ไหว ริมฝีปากสั่นอย่างรุนแรง
เธออับอายจนสั่นไปทั้งตัว ประคองน้ำเสียงไม่อยู่ “อิ๋งจื่อจิน เธอ เธอ…”
แต่ลู่จื่อกลับพูดต่อออกมาไม่ได้
“ลู่จื่อ ปีสองพันสิบสอง สอบติดมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนตี้ตู จบการศึกษาในปีสองพันสิบเจ็ด” น้ำเสียงของอิ๋งจื่อจินเย็นชา “เรียนต่อปริญญาโทในปีเดียวกัน สอบจบในปีสองพันยี่สิบ แต่คัดลอกทีสิสอย่างรุนแรงทำให้ไม่ได้รับใบปริญญา”
“ระหว่างนั้นเคยฝึกงานที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนอันดับสามในตี้ตู เข้าใจผิดคิดว่าเห็ดฝู่ทั่นที่มีพิษเป็นเห็ดที่ไม่มีพิษ ใส่ปะปนลงไปในสมุนไพร นอกจากนี้คุณยังเป็นตัวการที่นำมาซึ่งอุบัติเหตุในการรักษาถึงหกรายการ”
คราวนี้ลู่จื่อสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าซีดเผือด “เธอ…เธอรู้ได้ยังไง!”
ในประวัติของเธอไม่ได้เขียนเรื่องพวกนี้ไว้
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ สีหน้าเรียบเฉย “เชิญคนต่อไปเข้ามาค่ะ”
“ไม่…ไม่ได้!” เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ลู่จื่อตัวสั่น เริ่มอ้อนวอน “อิ๋งจื่อจิน ขอร้องล่ะ ฉันขาดงานนี้ไม่ได้”
“ฉันเริ่มจากหมอทั่วไปได้ ฉันไม่เอาเงินเดือนช่วงทดลองงานก็ได้ ให้ฉันได้ลองทำเถอะนะ”
ลู่จื่อร้อนใจจนอยากร้องไห้ “เมื่อก่อนฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันก็ไม่ได้อยากประชดประชันเธอจริงๆ นะ ได้โปรดเมตตาฉัน อย่าถือสาฉันเลยได้ไหม”
ถ้าเธอรู้มาก่อนว่าอิ๋งจื่อจินรักษาคนได้ แถมยังเป็นหมอเทวดา เป็นไปได้เหรอที่เธอจะไม่เข้าหา
อิ๋งจื่อจินไม่มองลู่จื่ออีก พูดแค่สั้นๆ “ออกไป”
รู้สึกอับอายอย่างรุนแรง ทำให้ในที่สุดลู่จื่อก็หมดความอดทน
ต่อให้เธอจะหน้าหนากว่านี้ก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้อีกแล้ว
ลู่จื่อหยิบกระเป๋า ไม่แม้แต่จะหยิบแฟ้มประวัติ รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าฝ่ายบุคคลที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วยังสะพรึง แอบปาดเหงื่อ
เขารู้สึกว่า หมอเทวดาคนนี้ของพวกเขาไม่เพียงแต่จะรักษาคนได้ ยังมีอย่างอื่นด้วย
แต่ก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร
ยังคงสงสัย หัวหน้าฝ่ายบุคคลเชิญคนต่อไปเข้ามา
…
หลังจากที่เรื่องตระกูลอู๋จบไป อาจารย์ของลู่จื่อถึงได้หลุดพ้น พอมีเวลาว่างก็นั่งเครื่องบินมาที่ฮู่เฉิง
เมื่อมาถึงเขาก็ตรงไปยังโรงพยาบาลอันดับหนึ่งของฮู่เฉิง
คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งถูกย้ายออกจากห้องไอซียูมาอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยธรรมดาแล้ว แต่เนื่องจากยังไม่หายดี ในหนึ่งวันจึงหลับไปแล้วสิบห้าชั่วโมง
อิ๋งลู่เวยรออยู่นานกว่าอาจารย์ของลู่จื่อจะออกมา
เธอรีบเข้าไปถาม “ไม่ทราบว่าอาการของคุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ”
“ไม่สู้ดีนัก” อาจารย์ส่ายหน้า ถอนหายใจ รู้สึกผิด “ขออภัยที่ฝีมือการรักษาของผมไม่ดี หาสาเหตุที่คุณนายผู้เฒ่าปวดหัวไม่เจอ”
แพทย์แผนตะวันตกหาไม่เจอ แพทย์แผนจีนก็หาไม่เจอ
งั้นก็น่าแปลกแล้ว
“งั้นจะทำไงดี…” อิ๋งลู่เวยเริ่มลนลาน “คุณแม่ต้องเป็นแบบนี้ต่อไปเหรอคะ”
“คุณลู่เวยไม่ต้องกังวลมากเกินไปครับ” อาจารย์ถอดแว่นป้องกันดวงตา “ผมใช้เข็มเงินปิดจุดลมปราณให้คุณนายผู้เฒ่าไปหลายจุดแล้ว เธอจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเป็นการชั่วคราวครับ”
“แต่นี่ไม่ใช่การรักษาระยะยาว จำเป็นต้องหาสาเหตุที่คุณนายผู้เฒ่าปวดหัวให้เจอโดยเร็ว”
อิ๋งลู่เวยเม้มริมฝีปาก หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
อาการปวดหัวของคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งมีมาไม่นาน แต่เริ่มตั้งแต่สองปีก่อน
จนกระทั่งช่วงนี้ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
อิ๋งลู่เวยรู้สึกหงุดหงิดใจมาก ถามด้วยความร้อนใจ “งั้นตอนนี้ควรทำยังไงดีคะ”
“ขอโทษด้วยครับคุณลู่เวย ผมจนปัญญาจริงๆ” อาจารย์พูด “พวกคุณก็หาหมอท่านอื่นในตี้ตูแล้ว พวกเขาเองก็จนปัญญา นี่ก็แสดงว่าโรคนี้ไม่ใช่หมอธรรมดาที่จะรักษาได้”
“เกรงว่าต้องเชิญตระกูลเมิ่งครับ”
อิ๋งลู่เวยสูดลมหายใจเข้าลึก แสยะยิ้ม “พูดเหลวไหลอะไรคะ”
ตระกูลเมิ่งเป็นตระกูลใหญ่ในตี้ตู
คนของตระกูลเมิ่งเชิญได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน
อาจารย์เองก็ลำบากใจ เขามองลู่จื่อที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “เสี่ยวจื่อ ช่วงสองวันนี้เป็นอะไรไป”
ลู่จื่อจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้ยินคำพูดนี้
“เสี่ยวจื่อ เสี่ยวจื่อ!”
ลู่จื่อสะดุ้งตกใจหลุดออกจากห้วงความคิด “อาจารย์”
“เสี่ยวจื่อ เป็นอะไรไป” อาจารย์ไม่ค่อยพอใจ “คนเป็นหมอถือที่สุดคือการใจลอย หางานได้หรือยัง”
พอพูดถึงเรื่องงาน ลู่จื่อก็กัดริมฝีปาก ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
“ช่างเถอะ สีหน้าเธอก็ไม่ค่อยดี ไปพักผ่อนให้ดีก่อนเถอะ” อาจารย์โบกมือไล่ จากนั้นก็หันไปพูดกับอิ๋งลู่เวย “คุณลู่เวยครับ ผมจะสั่งยาให้คุณนายผู้เฒ่า คุณตามผมมาเอาใบสั่งยานะครับ”
…
สามวันสัมภาษณ์ผู้สมัครไปเกือบห้าร้อยคน สุดท้ายโรงพยาบาลเซ่าเหรินได้เลือกไว้ยี่สิบคน
ยี่สิบคนนี้ยังต้องผ่านช่วงทดลองงานสามเดือนถึงจะได้เป็นพนักงานเต็มตัว
อิ๋งจื่อจินกวาดตามองรายชื่อ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดแล้วจึงยื่นให้หัวหน้าฝ่ายบุคคล
พอคนเยอะขึ้น เธอก็จะทิ้งงานไปได้อย่างสิ้นเชิง
อย่างไรเสียโรคที่ซับซ้อนก็ไม่ได้มีทุกวัน
นอกจากต้องสอนพวกเด็กทึ่มห้องสิบเก้า อิ๋งจื่อจินพอใจชีวิตเกษียณในตอนนี้มากทีเดียว
หมดคาบชีวะก็เป็นคาบพละ
มือข้างหนึ่งของเจียงหรานถือลูกบาส ไปสนามกีฬาพร้อมพวกลูกน้องก่อนแล้ว
อิ๋งจื่อจินใส่หูฟัง เดินตามหลังอย่างเอ้อระเหย
ตอนแรกๆ ซิวอวี่ยังดึงเอามาฟังข้างหนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่แล้ว
เพราะเธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ พ่ออิ๋งของพวกเขาไม่ได้ฟังเพลง แต่ฟังวิทยุภาษาอังกฤษ
พูดเร็วมาก ฟังแล้วปวดหัว
บอสไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ สินะ
ซิวอวี่ไม่รู้ว่าอันที่จริงอิ๋งจื่อจินไม่ได้ฟังภาษาอังกฤษ แต่เป็นภาษาละติน
ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนได้ภาษาละตินแล้ว เพราะภาษานี้ยากถึงขั้นวิปริต เว้นเสียแต่อยากคิดสั้นไปเสวนากับพระสันตะปาปา
แต่ในยุคโบราณของยุโรป ภาษาละตินเป็นต้นกำเนิดของหลายภาษา
ตำราโบราณมากมายล้วนเขียนด้วยภาษาละติน เนื่องจากมีความยากเกินกว่าจะเรียน หนังสือหลายเล่มจึงไม่ถูกแปลออกมา
รวมถึงความลับบางอย่างของโลก
“เอ๊ะๆ!” ทันใดนั้นซิวอวี่ก็จับบ่าของอิ๋งจื่อจินแล้วออกแรงเขย่าอย่างบ้าคลั่ง “พ่ออิ๋ง ดูนั่น รีบดูนั่นสิ”