แรงเขย่ารุนแรงมาก อิ๋งจื่อจินจึงหยุดเดิน
เธอดึงหูฟังออก “อืม มีอะไรเหรอ”
“ดูสิ เธอดูนั่น!” ซิวอวี่ตื่นเต้นมาก “ด้านหน้าทางขวา ดูเร็ว!”
อิ๋งจื่อจินกดศีรษะ หันไปตามทางที่ซิวอวี่บอก
ทางด้านนั้นเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ ชิงจื้อมักจะเอาไว้ประกาศนักเรียนที่ได้รับรางวัลหรือถูกลงโทษ
แต่เวลานี้กลับเอารูปของใครคนหนึ่งขึ้น
เด็กหนุ่มสวมชุดสูทสีน้ำเงิน อายุประมาณยี่สิบสี่ปี
ด้านข้างมีชื่อกับคำอธิบายโดยย่อ แต่อิ๋งจื่อจินไม่ได้อ่าน
ไม่มีอะไรพิเศษ เธอไม่ค่อยสนใจ
“อ๊ายยย!” ซิวอวี่ยังคงบ้าคลั่ง “ซังเย่าจือ ซังเย่าจือจะมาโรงเรียนของเราแล้ว! กรี๊ดดด ฉันจะตายแล้ว!”
อิ๋งจื่อจินเอามือกดซิวอวี่ เพื่อไม่ให้เธอเป็นลมไป “อืม ใครเหรอ”
“ซังเย่าจือไง! ราชาภาพยนตร์ที่อายุน้อยที่สุดของวงการบันเทิง!” ซิวอวี่ตกใจ “พ่ออิ๋ง เธอเล่นเวยปั๋วไม่ใช่เหรอ นี่เธอไม่รู้จักเขาเหรอ”
อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย
เธอเล่นเวยปั๋ว แต่ส่วนใหญ่จะดูไลฟ์พวกอาหารกับเมนูอาหาร หรือไม่ก็สัตว์เลี้ยง
และก็ถือโอกาสช่วยเพิ่มยอดแชร์ให้คลิปที่ผู้เฒ่าจงตัดต่อเอง
“ว้า ไม่ไหวๆ พ่ออิ๋ง ฉันต้องป้ายยาไอดอลของฉันซะแล้ว” ซิวอวี่ชี้ไปที่หน้าจอนั้น “ซังเย่าจือ ปีนี้อายุยี่สิบสี่ปี เดบิวต์มาเจ็ดปี ปีที่แล้วได้รางวัลโกลด์เด้น ฟลาวเวอร์”
“เด็กหนุ่มที่เกิดหลังปีเก้าห้า เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ได้นั่งบัลลังก์ราชาภาพยนตร์ สุดยอดมากเลยใช่ไหมล่ะ”
อิ๋งจื่อจินไม่เคยสัมผัสเรื่องพวกนี้นัก เธอตอบไปแค่ว่า “ก็สุดยอดดี”
“นึกไม่ถึงว่าเขาจะมาบรรยายที่โรงเรียนของเรา ช่วงนี้ทำไมผู้อำนวยการใจป๋าได้ขนาดนี้เนี่ย” อยู่ๆ ซิวอวี่ก็ตีหน้าผาก “ฉันลืมไปว่าเขาก็จบจากคลาสศิลปะโรงเรียนเรา ต่อมาได้เข้าไปอยู่ที่สถาบันศิลปะการแสดงตี้ตู”
ช่างเถอะ เธอขอถอนคำพูดที่ชมผู้อำนวยการ
“เมื่อก่อนตอนฉันอยู่ตี้ตูไม่เคยเจอเขาเลย” ซิวอวี่พูดต่อ “พ่ออิ๋ง ไว้ถึงเวลาพวกเราไปฟังเขาบรรยายกัน ฉันจะช่วยแย่งตั๋วมาให้”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงัก กลืนคำพูดที่ตัวเองไม่อยากไปลงไป
อย่างไรเสียขณะบรรยายก็หลับได้ ก็แค่ไม่มีหมอนมันนอนไม่สบาย
ซิวอวี่ตื่นเต้น “พ่ออิ๋ง เธอต้องยังไม่รู้แน่ๆ ว่าแท้จริงแล้วซังเย่าจือเป็นดาราซานชี ปิดเทอมหน้าร้อนนี้จะมีละครของเขา ฉันไม่พลาดแน่”
ดาราซานชี หมายถึง ดาราที่มีผลงานทั้งภาพยนตร์ ละคร และร้องเพลง
พอได้ยินแบบนี้อิ๋งจื่อจินก็เหลือบมองบนหน้าจอ
หล่อไม่เท่าฟู่อวิ๋นเซิน
ช่างเถอะ ไม่ดู
…
ณ คฤหาสน์ตระกูลฟู่
ช่วงนี้สุขภาพของผู่เฒ่าฟู่ดีขึ้นไม่น้อย ไม่หมดสติบ่อยๆ อีก
แต่เนื่องจากยังไม่ได้กำจัดพิษ ก็ยังคงมีอาการแฝงอยู่มาก
ตอนที่อิ๋งจื่อจินทำการรักษาให้ผู้เฒ่าฟู่ เขาหลับอยู่ จึงไม่รู้เรื่องการรักษานี้
เจตนาเดิมของฟู่อวิ๋นเซินก็ต้องการปิดบังผู้เฒ่าฟู่อยู่แล้ง เพื่อที่เขาจะได้ไม่กังวลมากเกินไป
ทุกวันที่สิบห้าจะเป็นวันรวมญาติของตระกูลฟู่
ในวันนี้ต่อให้ภายนอกจะไม่ถูกกันแค่ไหนก็ต้องกลับมากินข้าวที่คฤหาสน์กับผู้เฒ่าฟู่
ถึงแม้ผู้เฒ่าฟู่จะไม่แข็งแรง แต่ในมือยังมีกิจการใหญ่ๆ กับสิทธิ์ผู้ถือหุ้นของฟู่ซื่อกรุ๊ปอยู่ไม่น้อย
ทำให้คนที่ไม่ประสงค์ดีต่อให้อยากแตะต้องก็จำต้องแอบเล่นตุกติกลับหลังเอา แต่ต่อหน้าก็ยังต้องทำตัวสงบเสงี่ยม
ผู้เฒ่าฟู่มีลูกชายทั้งหมดสี่คน ลำพังแค่สายเขา รุ่นฟู่อวิ๋นเซินก็มีพี่น้องสิบคนแล้ว
นี่ยังไม่รวมคนในครอบครัวพี่น้องของผู้เฒ่าฟู่อีก
ดังนั้นการรวมตัวครอบครัวในทุกเดือน คฤหาสน์ตระกูลฟู่ก็จะมีคนมารวมตัวหลายสิบคน
ฟู่หมิงเฉิงเกลียดวันรวมญาติมาก เพราะทุกครั้งที่ญาติๆ บ้านอื่นมาคฤหาสน์ตระกูลฟู่ก็จะลากเขามาถามนั่นถามนี่ ต้องคอยปั้นหน้าเอาอกเอาใจ ยิ้มแย้มต้อนรับทักทาย
แต่เขาเป็นลูกชายคนโตของผู้เฒ่าฟู่จึงจำเป็นต้องต้อนรับคนพวกนี้
“หมิงเฉิง ลูกชายของนายอนาคตดีกันทุกคนเลยนะ” คนที่พูดเป็นสตรีไฮโซ น้ำเสียงชื่นชม “ฉันได้ยินมาว่าอี้หันตั้งบริษัทของตัวเองด้วย แถมไม่เล็กด้วยนะ ได้ยินว่าไปรู้จักกับตระกูลใหญ่ทางตี้ตูด้วยเหรอ”
ฟู่อี้หันเป็นลูกชายคนโตของฟู่หมิงเฉิง และยังเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลฟู่ หลานชายสายตรงคนโตของผู้เฒ่าฟู่
ฟู่หมิงเฉิงรู้สึกรำคาญมาก แต่ก็พูดไม่ได้
แต่ชมฟู่อี้หัน เขาได้ประโยชน์ จึงแค่พยักหน้านิ่งๆ “ชมเกินไปแล้ว อี้หันก็แค่ทำไปเรื่อยเปื่อย บริษัทของเขาเป็นแค่โรงงานเล็กๆ อวดใครไม่ได้หรอก”
“เอ๋ ชมเกินไปที่ไหนกัน” สตรีไฮโซยิ้ม “อี้หันเก่งขนาดนี้ ต่อไปฟู่ซื่อกรุ๊ปอยู่ในมือเขาจะต้องยิ่งใหญ่แน่นอน ท่านผู้เฒ่าก็จะดีใจ ไม่เหมือนคนบางคน…”
ขณะเธอพูดได้เปลี่ยนเรื่องขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “วันๆ เอาแต่ทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย ไปเที่ยวสถานที่อย่างว่า ก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะทำเรื่องเสื่อมเสีย สร้างความอับอายให้ตระกูลฟู่ขึ้นมา”
“น่าแปลกจริงๆ นะ พ่อเดียวกัน แม่เดียวกัน ทำไมถึงต่างกันได้ขนาดนี้”
พอคำพูดนี้ออกมา คนที่อยู่ในห้องรับแขกต่างหยุดสิ่งที่ทำอยู่ในมือทันที
พวกเขาไม่มีทางไม่รู้ว่าสตรีไฮโซหมายถึงใคร
นอกจากฟู่อวิ๋นเซินแล้วจะเป็นใครได้
ตอนแรกที่ฟู่หมิงเฉิงได้ยินประโยคแรกก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร
แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายสีหน้าก็เปลี่ยน กลายเป็นบึ้งตึงจนน่ากลัว
“ฉันพูดผิดน่ะ พูดผิด” สตรีไฮโซใจหายวาบ รีบแก้ตัว “หมิงเฉิง ฉันเป็นคนพูดตรงๆ อย่าถือสาเลยนะ”
ฟู่หมิงเฉิงมองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา คราวนี้ไม่ได้สนใจอีก
สตรีไฮโซสีหน้าไม่ค่อยดี
เมื่อใกล้ได้เวลาอาหาร คนตระกูลฟู่ต่างนั่งที่โต๊ะอาหารเรียบร้อย รอผู้เฒ่าฟู่ลงมา
เวลาหกโมงตรงก็มีเสียงฝีเท้ามาจากด้านบน
ผู้เฒ่าฟู่จับราวบันไดค่อยๆ เดินลงมา ฟู่อวิ๋นเซินอยู่ข้างๆ เขา คอยช่วยพยุงอยู่ใกล้ๆ
พอเห็นภาพนี้ฟู่อีเฉินก็ทำเสียงฮึดฮัด “เก่งแต่ประจบคุณปู่ ไม่ได้เรื่องเลยสักนิด”
คุณนายฟู่ที่อยู่ข้างกันได้ยินแบบนี้ก็บอกให้เขาหยุดพูด
ฟู่อีเฉินไม่ได้พูดอะไรอีก มองฟู่อวิ๋นเซินนั่งลงตรงด้านขวาของผู้เฒ่าฟู่ด้วยสายตาเย็นชา
ตำแหน่งตรงนั้น ตราบใดที่ฟู่อวิ๋นเซินอยู่ ฟู่หมิงเฉิงก็จะนั่งไม่ได้
ขณะกินกันไปได้ครึ่งทาง ทันใดนั้นผู้เฒ่าฟู่ก็ได้วางตะเกียบลง
ทุกการกระทำของเขาล้วนถูกจับตามอง พอเขาหยุด ทุกคนก็ย่อมหยุดตาม
“วันนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า จะได้พูดเรื่องบางอย่างพอดี” ผู้เฒ่าฟู่ไอเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “สุขภาพของฉันแย่ลงเรื่อยๆ ดังนั้นช่วงนี้ฉันจะสั่งการเรื่องบางอย่างลงไป”
พอได้ยินคำพูดนี้ คนตระกูลฟู่ที่อยู่บนโต๊ะอาหารต่างก็สีหน้าเปลี่ยนอย่างควบคุมไม่ได้
แต่ก็มีหลายคนที่แสดงสีหน้าดีใจ
“คุณพ่อพูดอะไรแบบนั้นครับ” ฟู่หมิงเฉิงขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คุณพ่อก็ยังนั่งอยู่ดีๆ ตรงนี้ พูดเป็นลางไม่ดีทำไมล่ะครับ”
“ใช่ลางไม่ดีไหม ตัวฉันรู้ดี” ผู้เฒ่าฟู่เหลือบมองเขา “วันนี้จะประกาศเรื่องหนึ่งก่อน”
เขากวักมือ ผู้จัดการมืออาชีพที่รออยู่นานแล้วก็เข้าใจ รีบก้าวขึ้นหน้ามายื่นเอกสารให้ฉบับหนึ่ง
ผู้เฒ่าฟู่สวมแว่นสายตายาว เปิดเอกสารแล้วพูดขึ้น “ฉันเตรียมแบ่งพวกกิจการออกไป”
ฟู่หมิงเฉิงได้ยินแบบนั้นก็เริ่มตื่นเต้น แต่ยังคงเก็บอาการไว้
ผู้เฒ่าฟู่ต้องการแบ่งกิจการ ก็ย่อมต้องเริ่มจากเขาที่เป็นลูกชายคนโต
แต่ประโยคถัดมาของผู้เฒ่าฟู่ได้ทำให้สีหน้าของฟู่หมิงเฉิงแย่ลงในชั่วพริบตา
“อวี้เซียงฟัง ยกให้อวิ๋นเซิน”
อย่าว่าแต่ฟู่หมิงเฉิง สีหน้าของคนอื่นๆ ในตระกูลฟู่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน
ฟู่อีเฉินโวยวายขึ้นมาทันที “คุณปู่ เลอะเลือนไปแล้วเหรอครับ อวี้เซียงฟังเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของตระกูลฟู่เรา คุณปู่ยกให้คนไม่เอาไหนนี่เหรอครับ ไม่กลัวเขาทำล่มจมเหรอ”
“อีเฉิน!” คุณนายฟู่ตวาดเสียงดุ “ว่าน้องชายแบบนี้ได้ยังไง”
หันไปพูดกับฟู่อวิ๋นเซิน “อวิ๋นเซิน อย่าถือสาเลยนะ แม่ช่วยดุให้แล้ว”
ผู้เฒ่าฟู่มองมาด้วยสายตาเรียบเฉย
“ไม่เป็นไรครับคุณปู่” ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้า ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ น้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย “ผมไม่เอาครับ คุณปู่ยกให้คนอื่นเถอะครับ”
ฟู่อีเฉินแสยะยิ้ม กล้าแค่พูดประชดเสียงเบา “นายก็พอจะรู้ตัวอยู่บ้างนะ”
“เจ้าเจ็ดไม่เอา งั้นก็ปล่อยไว้ก่อนชั่วคราว” เหนือความคาดหมายของคนอื่น ผู้เฒ่าฟู่ไม่คิดจะยกอวี้เซียงฟังให้คนอื่น “งั้นวันนี้ก็กินข้าวก่อนแล้วกัน วันอื่นค่อยว่ากัน”
อาหารมื้อนี้แต่ละคนคิดในใจแตกต่างกันไป หลังกินเสร็จญาติคนอื่นๆ ก็กลับกันไปอย่างรีบร้อน
ฟู่อีเฉินเดินตามฟู่หมิงเฉิงเข้าไปในห้องทำงาน ระเบิดความไม่พอใจทันที
“พ่อ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ พี่ใหญ่แย่กว่าฟู่อวิ๋นเซินตรงไหน อีกอย่าง ทำไมคุณปู่ถึงได้ข้ามหน้าข้ามตาพ่อ ยกอวี้เซียงฟังให้มัน”
ฟู่หมิงเฉิงไม่พูด ขมวดคิ้วแน่น
“พ่อ พ่อว่าทำไมคุณปู่ถึงได้ชอบไอ้เสเพลนั่นนักหนา” เขาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ที่มากกว่าคือความโมโห “คุณปู่ตาบอดหรือเปล่า มองไม่เห็นความดีของพี่ใหญ่เลยเหรอ”
“ต่อไปห้ามพูดแบบนี้อีก” ฟู่หมิงเฉิงพูดเสียงดุ “โดยเฉพาะต่อหน้าคุณปู่ แกก็อายุไม่น้อยแล้ว พูดจาหัดคิดก่อนจะได้ไหม”
ฟู่อีเฉินยังโมโหไม่หาย “ผมก็แค่เหม็นขี้หน้ามัน”
ฟู่หมิงเฉิงส่ายมือ “อย่างน้อยวันนี้คุณปู่ก็ไม่ได้ยกอวี้เซียงฟังให้ใคร”
หยุดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “แกไปโทรหาพี่ใหญ่ของแก”
ฟู่อีเฉินดวงตาเป็นประกาย ออกไปด้วยความดีใจ
ฟู่หมิงเฉิงยังคงนั่งอยู่ในห้องทำงาน ผ่านไปสักพักก็หยิบกุญแจออกมาไขลิ้นชัก หยิบกระดาษใบหนึ่งออกมา สีหน้าค่อยๆ เย็นชาลง
…
หลังจากที่ผู้เฒ่าฟู่พักผ่อน ฟู่อวิ๋นเซินก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านนั้นนาน
เขาขึ้นรถมาเซราติ เตรียมกลับคอนโดส่วนตัวที่อยู่ในตัวเมือง
มือเพิ่งจะวางที่พวงมาลัยรถ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนเบาะก็ดังขึ้น
ไม่ใช่โทรศัพท์สมาร์ทโฟน แต่เป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นโบราณสีดำสนิท
ไม่แสดงเบอร์ที่โทรเข้า
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองแล้วกดรับสาย “มีอะไร”
ปลายสายลมหายใจถี่เร็ว ผ่านไปนานไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินขรึมลง รอยยิ้มจางหาย “พูด”