“นั่นน้องสาวของเธอ เธอตั้งข้อสงสัยถึงขนาดนี้เลยเหรอ ไม่เชื่อเลยสักนิดเหรอ อยากผลักอิ๋งจื่อจินลงกองเพลิงให้ได้งั้นสิ” อาจารย์ฝ่ายวิชาการยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห “เธอไม่มีทางไม่รู้ว่าผลลัพธ์จากการทุจริตในการสอบจะเป็นยังไงหรอกใช่ไหม”
ทุจริตในการสอบจะถูกไล่ออกทันที และจะถูกถอนทะเบียนนักเรียน
อีกทั้งนักเรียนที่ถูกชิงจื้อไล่ออกก็ไม่มีโรงเรียนมัธยมปลายหลักๆ ของประเทศจีนโรงเรียนไหนจะรับไว้แล้ว
ไม่ต่างจากถูกตัดอนาคต
“จงจือหว่าน ครูจะบอกเธอให้นักเรียนอิ๋งจื่อจินทุจริตในการสอบหรือไม่ ครูในโรงเรียนต่างรู้ดี” อาจารย์ฝ่ายวิชาการตบโต๊ะ
“เธอสงสัย เธอไม่มีหลักฐาน และตอนที่เธอตั้งข้อสงสัย เธอก็ต้องนึกถึงผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบด้วย!”
อาจารย์ฝ่ายวิชาการโมโหเลือดขึ้นหน้า ไม่มีความปรานีใดๆ
จงจือหว่านหน้าซีด ริมฝีปากสั่นอย่างรุนแรง
ในฐานะที่หนึ่งของชั้นปี อีกทั้งยังเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลจง เธอยังไม่เคยถูกอาจารย์ตำหนิขนาดนี้
เป็นเพราะอิ๋งจื่อจินอีกแล้ว
อิ๋งจื่อจินช่างเก่งเสียจริง ซื้อได้แม้กระทั่งอาจารย์ฝ่ายวิชาการ
คนทั่วไปใครจะเชื่อว่าจะมีคนสอบข้อสอบของคลาสเด็กอัจฉริยะได้คะแนนเต็ม
นักศึกษาพวกนั้นของมหาวิทยาลัยตี้ตูยังไม่เก่งถึงขั้นนั้นเลยด้วยซ้ำ
เธอสงสัยก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ
“นักเรียนจงจือหว่าน ครูจะไม่ถือสาหาความการร้องเรียนครั้งนี้”
น้ำเสียงของผู้อำนวยการยังถือว่าใจเย็น
“หากเธอยังจะตั้งข้อสงสัยอีก แบบนั้นทางโรงเรียนก็จะต้องลงโทษเธอ เธอยังมีคาบเรียนอีก กลับไปเรียนเถอะ”
จงจือหว่านลุกพรวด ลุกแรงมากจนเก้าอี้ล้มลง
ขอบตาของเธอแดงก่ำ ดวงตามีน้ำตาคลอ ทนไม่ไหวเอามือปิดหน้าวิ่งออกไปแล้ว
“ผู้อำนวยการ มันเกินไปจริงๆ” อาจารย์ฝ่ายวิชาการยังโมโหอยู่ “ผมไม่เชื่อหรอกว่ามีแค่เธอคนเดียวที่คิดแบบนี้ จะต้องยังมีนักเรียนอีกหลายคนแน่นอนที่คิดว่านักเรียนอิ๋งจื่อจินทุจริต”
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องปกติ
นักเรียนที่เคยสอบไม่ผ่านสักวิชาอยู่ๆ ก็สอบได้คะแนนเต็ม ทั้งยังเป็นที่หนึ่งของชั้นปี อย่าว่าแต่นักเรียนเลย แม้แต่เขาก็สงสัย
แต่ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องคุยกันด้วยหลักฐาน
ไม่มีหลักฐาน มีสิทธิ์อะไรไปกล่าวหาว่าคนอื่นทุจริต
“เฮ้อ” ผู้อำนวยการส่ายหน้า “เรื่องของครอบครัวพวกนั้นซับซ้อนเหลือเกิน แต่ก็ยังต้องคุยเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง ขอผมคิดก่อน”
…
ด้านนอกอาคารเรียน
จงจือหว่านไม่ได้กลับห้องเรียน แต่นั่งอยู่ที่บันไดปาดน้ำตาไม่หยุด
โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาเข้าเรียน ข้างนอกมีคนอยู่ไม่เท่าไร
จงจือหว่านยิ่งร้องไห้ก็ยิ่งน้อยใจ ทั้งยังเสียใจมาก
ถ้าอิ๋งจื่อจินไม่ทุจริต การจัดอันดับรวมครั้งนี้ก็ยังคงจะใช้วิธีการคูณคะแนนเพิ่ม
แบบนั้นเธอก็จะยังคงเป็นที่หนึ่งของชั้นปีไม่มีทางจัดอยู่ในอันดับขยะที่พันหนึ่งแบบนี้ในแฟ้มทะเบียนผลการเรียนแบบนี้ เธอเอากลับไปให้คุณนายจงดูที่บ้านไม่ได้หลังสอบกลางภาคก็จะเป็นการประชุมผู้ปกครองแล้ว พอถึงตอนนั้นพวกผู้ปกครองคนอื่นๆ จะมองเธอยังไง
ขณะที่จงจือหว่านกำลังร้องไห้ ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือหัว
“นักเรียนจง?”
จงจือหว่านรีบเช็ดน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้น “อาจารย์เฮ่อ”
เฮ่อสวินเห็นดวงตาเธอที่ร้องไห้จนปูดบวมก็อดอึ้งไปไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะอาจารย์เฮ่อ หนูก็แค่…ไม่เข้าใจว่าคุณปู่ยังแคร์หนูอยู่หรือเปล่า หาแม้กระทั่งเฉลยข้อสอบมาให้น้องสาวหนูได้” ขณะที่จงจือหว่านพูดอยู่น้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้งเธอพูดเสียงสะอื้น
“ก็แค่ขอโทษไม่ใช่เหรอ มันยากเหรอ อิ๋งจื่อจินเสียหน้าไม่ได้ แต่หนูได้งั้นเหรอคะ”
ข้อสอบถูกปิดผนึกมาก็จริง แต่เฉลยมันมีอยู่ก่อนแล้ว
ผู้เฒ่าจงก็รู้เรื่องสัญญาท้าทายในเว็บบอร์ดโรงเรียน มีเหรอจะไม่หาเฉลยมาให้อิ๋งจื่อจิน ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของเธอเลยสักนิด
เฮ่อสวินขมวดคิ้ว
เขาเองก็มาหาผู้อำนวยการโรงเรียนเพราะผลสอบของอิ๋งจื่อจิน คะแนนสอบนั่นพูดตามตรงมันดูหลอกลวงมาก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า เขาเห็นอิ๋งจื่อจินเขียนส่งเดชตอนคุมสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ยังจะได้คะแนนเต็มงั้นเหรอ
น่าตลก
“นักเรียนจง กลับขึ้นไปเรียนก่อนดีกว่าครูจะไปหาผู้อำนวยการโรงเรียน” เฮ่อสวินเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ สีหน้าของเขาเย็นชา
“ความยุติธรรมย่อมไม่มีทางมาช้าเกินไป”
…
อีกด้านหนึ่ง
ห้องพักครูกลุ่มวิชาชีววิทยา
ตอนบ่ายไป๋เสาซือถึงจะมีสอน ดังนั้นตอนเช้าเธอถึงไม่ได้มา
หยุดยาววันแรงงานเธอกลับตี้ตู ไม่ได้เป็นคนตรวจข้อสอบ จึงยังไม่รู้ผลอันดับคะแนนสอบกลางภาคในครั้งนี้ พอมาถึงห้องพักครูไป๋เสาซือก็เห็นอาจารย์คนอื่นมองเธอด้วยสายตาพิลึก
เธอขมวดคิ้ว ไม่ค่อยพอใจ “ทำไมพวกคุณมองฉันแบบนี้คะ?”
อาจารย์ชีวะคนหนึ่งกระแอมเสียง ถามขึ้น “อาจารย์ไป๋รู้อันดับคะแนนครั้งนี้หรือยังครับ”
“ยังไม่ได้ดูค่ะ ก็น่าจะเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอคะ” ไป๋เสาซือตอบอย่างไม่ใส่ใจ “คะแนนเฉลี่ยของคลาสเราก็ต้องเป็นที่หนึ่งของชั้นปีอยู่แล้ว”
เด็กในคลาสทดลองวิทยาศาสตร์ที่เธอดูแลอยู่ขยันหมั่นเพียรกันทั้งนั้น เธอรับเงินรางวัลจนมือไม้อ่อน
“อาจารย์ไป๋ ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วครับ” อาจารย์ชีวะคนนั้นส่ายหน้า “คะแนนเฉลี่ยวิชาชีวะ ห้องสิบเก้าต่างหากที่เป็นที่หนึ่งของชั้นปี”
ฝีเท้าของไป๋เสาซือหยุดชะงัก เธอยิ้ม “คุณบอกว่าห้องไหนนะคะ”
อาจารย์ชีวะคนนั้นเห็นเธอไม่เชื่อจึงหันคอมพิวเตอร์มาตรงหน้าเธอ
“ดูเอาครับ คะแนนเฉลี่ยของห้องสิบเก้าคือ แปดสิบจุดเก้าสิบสาม คลาสทดลองวิทยาศาสตร์ที่คุณสอนได้แค่ เจ็ดสิบห้าจุดเก้าแปด”
สีหน้าของไป๋เสาซือชะงัก “เป็นไปได้ยังไง!”
นักเรียนห้องสิบเก้ากากขนาดนั้นเธอยังจะไม่รู้อีกเหรอ ตอนเธอสอนห้องสิบเก้ามีคนตั้งใจฟังอยู่ไม่กี่คน แต่อันที่จริงไป๋เสาซือรู้ว่าห้องสิบเก้าสามัคคีกันมาก เธอคิดว่าพวกเขาจะต้องไล่อิ๋งจื่อจินออกจากห้องสิบเก้าแล้วมาขอร้องเธอแน่นอนเพื่อนักเรียนยากจนที่ต้องตั้งใจเรียนพวกนั้น แต่ไม่มี!
“อาจารย์ไป๋ น่าเสียดายเหลือเกิน” อาจารย์ชีวะอีกคนหนึ่งพูดขึ้น บอกไม่ถูกว่าเสียดายจริงหรือสะใจ
“คุณว่าถ้าคุณยังสอนห้องสิบเก้าอยู่ เงินรางวัลที่คุณได้ครั้งนี้จะมากมายถึงขนาดไหน”
ชิงจื้อไม่ตระหนี่แม้แต่น้อยเพื่อรั้งอาจารย์เก่งๆ ไว้ หากนักเรียนมีพัฒนาการติดหนึ่งในร้อยอันดับไม่ใช่แค่นักเรียนที่ได้เงินรางวัลของอาจารย์ก็มีด้วย
คะแนนเฉลี่ยของคลาสก้าวหน้าขึ้นหนึ่งอันดับ อาจารย์จะได้ห้าหมื่น ซึ่งครั้งนี้คะแนนเฉลี่ยนวิชาชีววิทยาของห้องสิบเก้าเป็นอันดับหนึ่งของชั้นปี คราวก่อนมีไม่กี่คนที่เข้าร่วมการสอบ ย่อมเป็นที่หนึ่งจากข้างท้าย คลาสเด็กอัจฉริยะไม่ถูกนับรวมอยู่ด้วย ห้องสิบเก้าขึ้นมารวดเดียวสิบแปดอันดับ คำนวณเงินรางวัลออกมาไม่ว่ายังไงก็ได้ต่ำๆ เก้าแสนแล้ว
ไป๋เสาซือหน้าเขียวทันที เกือบหายใจไม่ทัน
พวกอาจารย์กลุ่มวิชาชีววิทยาก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเธอเท่าไร พอเห็นแบบนี้ก็ไม่พูดอะไร แยกย้ายไปเตรียมทำเรื่องของตัวเอง
…
ภายในโรงพยาบาลเอกชน
อิ๋งจื่อจินถือชาร้อนที่ฟู่อวิ๋นเซินชงให้เธอพลางครุ่นคิด โทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอเหลือบมองแล้วกดรับ สายจากผู้อำนวยการโรงเรียน เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟังคร่าวๆ
“นักเรียนอิ๋ง วิธีแก้ปัญหาของพวกอาจารย์คือประกาศยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ยังไงซะกระทู้ในเว็บบอร์ดก็เยอะมาก ทั้งยังมีอาจารย์หลายคนที่ต้องบอบช้ำต่อชื่อเสียงของเธอ”
อิ๋งจื่อจินไม่แปลกใจ เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่ต้องหรอกค่ะ แก้ปัญหาซึ่งหน้าเลยดีกว่า”
ผู้อำนวยการอึ้ง “นักเรียนอิ๋งหมายความว่า”
“ทำตามที่พวกเขาต้องการ” อิ๋งจื่อจินหาวออกมา “หนูจะยอมให้พวกเขาตั้งคำถาม ถามได้ตามสบาย”
ผู้อำนวยการคิด ดูเหมือนจะไม่มีวิธีไหนที่ดีไปกว่านี้แล้ว แต่นี่ถือเป็นการลงโทษอย่างเปิดเผยสำหรับคนที่ตั้งข้อสงสัยพวกนั้น ผู้อำนวยการรับปาก “ได้ นักเรียนอิ๋ง แล้วเธอจะกลับมาโรงเรียนเมื่อไร”
“วันมะรืนแล้วกันค่ะ”
หลังจบสายสนทนา อิ๋งจื่อจินก็นึกได้ว่าที่หนึ่งของชั้นปีมีทุนการศึกษาให้
อืม ถือว่าใช้ได้
ฟู่อวิ๋นเซินที่อยู่ข้างๆ ขอกระดาษคำตอบของอิ๋งจื่อจินมาจากชิงจื้อ กำลังดูอยู่ แต่เขายังคงหยุดอยู่ที่วิชาภาษาจีนไม่ได้พลิกต่อไป สายตาละจากกระดาษเขียนเรียงความที่ว่างเปล่าไปหยุดอยู่ที่เธอ
เขานึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับเธอเมื่อไม่กี่วันก่อน
‘เยาเยา มั่นใจว่าผ่านไหม’
‘อืม มั่นใจภาษาจีน’
มั่นใจจริงๆ ด้วยสินะ ไม่ขาดสักคะแนนเดียว
ส่วนนี้ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะเด็กน้อยขี้เกียจเขียนเรียงความ ในที่สุดอิ๋งจื่อจินก็สังเกตเห็นสายตาของเขา ดวงตาดอกท้อคู่นั้นแฝงรอยยิ้ม ยามมองคนราวกับมีความหมายที่ลึกซึ้ง อ่อนโยนมีเสน่ห์
มือของเธอชะงัก “มีอะไรเหรอ”
“เปล่า ก็แค่รู้สึกว่า…” ฟู่อวิ๋นเซินละสายตาออกจากเธอ สีหน้าเรื่อยเปื่อย “เด็กน้อยของเราเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ”
ควรค่าให้คนทะนุถนอม เก็บรักษาเอาไว้
…
เวลาหกโมงเย็น
บรรดานักเรียนคลาสเด็กอัจฉริยะกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน
แต่กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญมาที่ห้องเรียนของพวกเขา เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินด้วยความรีบร้อน ทั้งยังหายใจหอบ ดูรีบอย่างเห็นได้ชัด
เดิมทีจงจือหว่านก็ไม่มีอารมณ์ เธอก้มหน้า ไม่ได้หันไปมอง
“จือหว่าน นั่นมันคนของมหาวิทยาลัยตี้ตูนี่!” ทันใดนั้นนักเรียนหญิงที่นั่งข้างกันก็ตื่นเต้นดีใจ
“เธอดูบนตัวเขาสิติดตรามหาวิทยาลัยด้วย!”
จงจือหว่านเงยหน้ารู้สึกตกใจ มุมขวาบนของชุดที่ชายหนุ่มใส่ติดตราที่ทำจากแพลตตินัม ไม่มีทางที่ไม่มีนักเรียนคนไหนไม่รู้จัก นี่เป็นตราของมหาวิทยาลัยตี้ตู
มหาวิทยาลัยตี้ตู เป็นมหาวิทยาลัยรัฐชั้นนำที่นักเรียนทุกคนใฝ่ฝัน
“จือหว่าน เขาต้องมาหาเธอแน่เลย” นักเรียนหญิงตื่นเต้นมาก “หลายรุ่นก่อนก็เคยมีพวกรุ่นพี่ถูกมหาวิทยาลัยตี้ตูจองตัวตั้งแต่อยู่มอห้าไม่ใช่เหรอ”
จงจือหว่านเม้มริมฝีปากยิ้ม “พูดอะไรน่ะ มาหาฉันที่ไหนกัน”
“จือหว่าน อย่าถ่อมตัวไปเลยน่า” นักเรียนหญิงพูด “ถ้าจะให้บอกว่าใครในคลาสอัจฉริยะที่คนของมหาวิทยาลัยตี้ตูถึงกับต้องมาหาด้วยตัวเอง นอกจากเธอแล้วยังจะเป็นใครได้”
จงจือหว่านไม่ตอบ
ถือเป็นการยอมรับ
“จือหว่าน รีบไปสิ” นักเรียนหญิงไม่ปล่อยให้ปฏิเสธ ดึงจงจือหว่านเดินไปทางประตู
จงจือหว่านหยุดยืนตรงหน้าชายหนุ่ม ท่าทางประหม่า
“สวัสดีค่ะ ฉันคือจงจือหว่าน ไม่ทราบว่าคุณมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอคะ”
ชายหนุ่มกลับไม่มองเธอ แต่มองเข้าไปในห้องเรียนแล้วพูดขึ้น
“ไม่ทราบว่านักเรียนอิ๋งจื่อจินอยู่ไหมครับ”