ไอดีที่ไม่มีผู้ติดตามเป็นคนโพสต์ ใช้ชื่อไอดีอย่างง่ายๆ ว่า ‘เรียกข้าว่าจอมยุทธ์ศัตรูพ่าย’
ในโพสต์ก็ไม่มีบรรยายอะไรไว้ แค่ติดแฮชแท็ก ‘ลูกเลี้ยงตระกูลอิ๋งอกตัญญู’
แต่เนื่องจากเป็นอันดับหนึ่งในประเด็นฮอต ผู้ใช้เวยปั๋วคนไหนก็ตามที่กดเข้าไปจากอันดับประเด็นฮอตก็จะเห็นคลิปนี้ในแวบแรก
หลังจากที่ได้ดูคลิปนี้ แฟนคลับที่ก่อนหน้านี้เป็นเดือดเป็นร้อนก็นิ่งกันหมด รีบลบคอมเมนต์ที่โพสต์ไว้ก่อนหน้านี้กันอย่างบ้าคลั่ง
ถ้าไม่ลบจะให้ทิ้งไว้ตบหน้าตัวเองเหรอ
ปรากฏว่าพอพวกเขาเพิ่งลบ ไอดีที่ชื่อเรียกข้าว่าจอมยุทธ์ศัตรูพ่ายก็โพสต์เวยปั๋วอีกเป็นโพสต์ที่สองอย่างไม่รีบร้อน
แอดเรียกข้าว่าจอมยุทธ์ศัตรูพ่าย : [ในโลกอินเตอร์เน็ตมีความทรงจำนะ]
แนบรูปสิบสี่รูป ทั้งหมดเป็นภาพแคปหน้าจอคอมเมนต์ที่แฟนคลับอิ๋งลู่เวยด่าอิ๋งจื่อจิน
คราวนี้พวกแฟนคลับตัวยงของอิ๋งลู่เวยพากันเลิ่กลั่ก แชทเข้าไปหาเป็นการส่วนตัวไม่หยุด อยากให้เรียกข้าว่าจอมยุทธ์ศัตรูพ่ายลบโพสต์นี้ทิ้ง แต่ก็เงียบ ไม่มีการตอบกลับใดๆ โมโหเสียจนไประบายกันในกลุ่มแฟนคลับในเวยปั๋ว
อีกทั้งเนื่องจากซื้ออันดับประเด็นฮอต ทำให้อยู่ในอันดับสิบเจ็ดอย่างเหนียวแน่นไม่ขยับเขยื้อน คนที่กดเข้าไปอ่านมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็มีคอมเมนต์เสียงแตก
[แฟนคลับสมองเพี้ยน อะไรคือการบริจาคเลือดให้เป็นเรื่องปกติ ข่มขู่ด้วยศีลธรรมเหรอ]
[แฟนคลับสมองเพี้ยนพวกนี้น่าสนใจดีนะ ขนาดเจ้าตัวยังไม่พูดอะไรก็จินตนาการกันไปไกลแล้วว่ามีคนจะทำร้ายคนที่ตัวเองชอบ นิสัยอะไรเนี่ย โรคเพ้อเจ้อระแวงคนเหรอ]
ในบรรดาคอมเมนต์เหล่านี้ยังมีคนพูดแบบอื่นอีก
[ไม่มีใครรู้สึกเหรอว่าท่าทางของอิ๋งลู่เวยเหมือนจงใจสะดุดล้มเอง เธอต้องการอะไรน่ะ]
[คิดแล้วก็น่ากลัว คงไม่ใช่เพราะอยากให้คนอื่นบริจาคเลือดให้หรอกนะ ลูกเลี้ยงยังจะสั่นคลอนตำแหน่งของเธอได้อีกเหรอ]
[แอนตี้แฟนข้างบนนี่มาจากไหน ลู่เวยจิตใจดีขนาดนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะเหยียบมด กดรายงานดีกว่า]
[ลู่เวยไม่รู้อะไรทั้งนั้น ลู่เวยไม่ได้พูดว่าลูกเลี้ยงเป็นคนทำ ทั้งหมดเป็นความผิดของแฟนคลับ พวกเราจะขอโทษทุกคนตรงนี้ กรุณาอย่าลามไปถึงลู่เวย]
[เห็นอิ๋งลู่เวยแล้วขัดตามานานแล้ว เธอไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แต่ความหมายที่แฝงอยู่ใครๆ ก็รู้ ทำเป็นใสซื่อบริสุทธิ์ ทำไมไม่พูดออกมาตรงๆ ล่ะ]
[นั่นสิ อิ๋งลู่เวยเป็นตัวต้นเรื่อง ไม่ออกมาขอโทษหน่อยเหรอ]
[ทำไมลู่เวยต้องขอโทษ บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่ใช่ความผิดของลู่เวยเลยสักนิด!]
[แฟนคลับสมองเพี้ยนของอิ๋งลู่เวยเยอะจริงๆ หนีเร็วทุกคน ระวังติดเชื้อนะ]
ในเวยปั๋วเกิดสงครามระหว่างแฟนคลับกับแอนตี้แฟน ต่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งยังดึงดูดคนมามุงดูได้มากมาย ขณะนั้นภายในคฤหาสน์ตระกูลอิ๋งกลับเงียบอย่างน่าประหลาด
คลิปจากกล้องวงจรปิดนี้ได้เปิดเผยความจริงทั้งหมด ประหนึ่งตบหน้าจงมั่นหวากับคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งฉาดใหญ่เสียงดังสนั่น
โหดเหี้ยม ไร้ความปรานี
จงมั่นหวาหน้าแดงด้วยความอับอาย
ริมฝีปากสั่น พูดด้วยความยากลำบาก “จื่อจิน ถ้าลูกบอกแม่ แม่คงไม่…”
เมื่อสบตากับดวงตาดำขลับสุกใสที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย คำพูดที่เหลือของเธอก็หยุดชะงัก รู้สึกหนาวไปทั้งตัว พูดไม่ออกสักคำ
แม้แต่คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งเวลานี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
เดิมทีเธอยังไม่ขายหน้าขนาดนี้ คิดอยากกู้หน้าคืนมาบ้าง ปรากฏว่าใครจะรู้กลับกลายเป็นขายหน้ายิ่งกว่าเดิม
เห็นๆ อยู่ว่าตอนแรกแค่ต้องการคำขอโทษ ก่อนจะกลายเป็นแบบนี้ไป คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งจึงโมโหมาก แต่ก็ไม่มีหน้าจะพูดอะไรได้อีก
“นิสัยขี้เหยียดของตระกูลอิ๋งดูท่าจะสืบทอดต่อกันมา” อิ๋งจื่อจินถอดหูฟังออกข้างหนึ่ง พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ดีมาก รักษาไว้นะคะ”
ประโยคเดียว เหมือนเป็นการตบหน้าอีกครั้ง
สีหน้าของคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งบึ้งตึง ลมหายใจถี่เร็วขึ้น เห็นได้ชัดว่าโกรธมาก
แต่เด็กสาวได้เปิดประตูออกไปแล้ว ไม่สนใจใครทั้งนั้น
ลมเย็นพัดเข้ามาจากนอกประตู เล่นเอาจงมั่นหวารู้สึกหนาวสั่น
เธออดกอดอกไม่ได้ มองตามหลังลูกสาว ทันใดนั้นภายในใจได้เกิดความรู้สึกหวาดกลัว
คล้ายกับอะไรบางอย่างได้จากไปแล้วโดยสิ้นเชิง จับไว้ไม่อยู่
มารร้ายมากวนใจ
จงมั่นหวาสะบัดหน้า แสยะยิ้มให้ตัวเองที่คิดมากไป
วันนี้จะไปก็ไปสิ ยังไงก็ต้องกลับมา ตระกูลอิ๋งต่างหากที่เป็นบ้านของเธอ ยังจะไปที่ไหนได้
เป็นไปไม่ได้ที่จะหายไป
อิ๋งลู่เวยที่อยู่ข้างๆ เม้มริมฝีปาก อ่านคอมเมนต์ในเวยปั๋วที่ชวนหงุดหงิด
สีหน้ายังคงเรียบเฉย แต่มือที่สั่นเล็กน้อยกลับบอกถึงความกระวนกระวายภายในใจของเธอ
ไม่ว่าอย่างไรอิ๋งลู่เวยก็นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เธอปูทางไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมดจะถูกเวยปั๋วสองโพสต์นี้ทำลายไปได้
ไม่เพียงแต่จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของเธอ กลับเล่นเธอจนแผลเหวอะหวะเสียด้วยซ้ำ เธอยังเห็นแฟนคลับถอนตัวออกจากกลุ่มแฟนคลับในเวยปั๋วด้วย ถึงแม้จะแค่ไม่กี่คน แต่ก็ทำให้เธอหงุดหงิดไม่น้อยเลย
ไอดีเล็กๆ นี่เป็นใครกัน
อิ๋งจื่อจินเหรอ
อิ๋งลู่เวยไม่คิดแบบนั้น
เด็กบ้านนอกที่มาจากชนบท ไร้อำนาจไร้อิทธิพล จะไปเอาคลิปจากกล้องวงจรปิดมาได้ยังไง
หรือช่วงนี้เธอไปล่วงเกินใครเข้า
อิ๋งลู่เวยขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นานก็ยังคิดไม่ออก
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก จำต้องโพสต์เวยปั๋วอีกครั้ง
แอดอิ๋งลู่เวย : [ทุกคนเลิกทะเลาะกันเถอะค่ะ ฉันไม่ทันระวังสะดุดตกเองจริงๆ เลยทำให้คนที่รักฉันเข้าใจผิด ฉันต้องขอโทษ แอดอิ๋งจื่อจิน แทนแฟนคลับของฉันด้วย ขอโทษนะ]
หลังจากโพสต์แบบนี้ออกไปบรรดาแฟนคลับก็พากันเห็นใจเหลือเกิน
[ลู่เวย เป็นความผิดของพวกเราเอง ไม่ต้องโทษตัวเองนะ]
[ก่อนหน้านี้คนที่ด่าหลานสาวของลู่เวยไม่ใช่พวกเราลู่สุ่ย พวกเราไม่ยอมรับ!]
[แฟนคลับบางคนคำพูดรุนแรง แต่แฟนคลับส่วนใหญ่รักลู่เวย โปรดอย่าเอาพฤติกรรมของแฟนคลับบางส่วนมาเหมารวมแฟนคลับทั้งหมด หลานสาวของลู่เวยเป็นคนดี]
พอเห็นในที่สุดคลื่นลมก็สงบลง อิ๋งลู่เวยถึงได้ปิดเวยปั๋ว รู้สึกโล่งอก
โชคดีที่เธอเตรียมการไว้ก่อน เรื่องถึงไม่ได้เลวร้ายเกินไป แต่เรื่องที่เธอถูกบังคับให้ขอโทษก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากยอม
นับตั้งแต่คืนนั้นที่โรงพยาบาล ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด
อิ๋งลู่เวยหลุบตาลง สีหน้าหม่นหมอง เธอจับมือของคุณนายผู้เฒ่า พูดอย่างอ่อนโยน “แม่คะ หนูไปหามั่วหย่วนนะคะ”
“ได้จ้ะ” คุณนายผู้เฒ่าพอได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าไม่หยุด ดีใจมาก “ไปใช้เวลาอยู่กับมั่วหย่วนให้มากหน่อย ช้าเร็วพวกลูกก็ต้องแต่งงานกัน”
“หนูรู้ค่ะ” พอพูดถึงเรื่องนี้ในที่สุดอิ๋งลู่เวยก็อารมณ์ดีขึ้น เธอยิ้ม “แม่คะ เมื่อวานมั่วหย่วนยังถามอยู่ว่าหนูอยากเลื่อนงานแต่งให้เร็วขึ้นไหม”
คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งตบมือลูกสาวเบาๆ “เลื่อนเร็วขึ้นก็ดี คนบางคนจะได้ล้มเลิกความคิด ลูกก็อย่าดีกับคนอื่นให้มากเกินไป แม่ดูแล้วลูกเลี้ยงคนนั้นไม่ธรรมดา”
อิ๋งลู่เวยเม้มริมฝีปากยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก
…
ณ คอนโดส่วนตัวแห่งหนึ่งใจกลางเมือง
ฟู่อวิ๋นเซินถือแก้วอยู่ในมือ ภายในแก้วบรรจุชาพุทราเมล็ดเก๋ากี้ ควันโชยกรุ่นๆ
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ฟึ่บ’ เขาหันไป เห็นคอมพิวเตอร์ตัวเองอยู่ๆ ก็หน้าจอดับ เขาขมวดคิ้ว เคาะแป้นไปสองสามที
“ทำอะไรน่ะ”
บนหน้าจอที่ดำมืด ไม่นานก็มีข้อความปรากฏขึ้นมาบรรทัดหนึ่ง อักษรสีแดง น่ากลัวพอตัว
“ใครน่ะ ถึงต้องให้ฉันออกหน้า”
“เด็กน้อยของฉัน”
“?”
“?”
“?”
อีกฝ่ายส่งเครื่องหมายคำถามมาสามครั้งต่อกัน
ฟู่อวิ๋นเซินวางแก้วลง ยิ้มมุมปาก เคาะแป้นต่อ “ฉันก็ต้องเอาใจอยู่แล้ว”
“…”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดอะไรมาก “ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม”
หน้าจอนิ่งไปสิบวินาทีแล้วถึงมีข้อความปรากฏ
“มีคนวานให้ฉันสืบเรื่องนาย”