“…”
คำพูดสั้นๆ แต่ทำให้ทั้งห้องประชุมตกอยู่ในห้วงแห่งความเงียบ
นักเรียนที่นั่งด้านล่างยังไม่ทันได้สติจากชุมนุมนักปราชญ์สงครามเล่นลิ้นเมื่อครู่ก็ต้องมาตะลึงงันอีกครั้งแล้ว
อาจารย์ฝ่ายวิชาการเงียบไปสองวินาทีแล้วกระซิบถาม “ผู้อำนวยการ คงไม่ใช่ตามความหมายที่ผมคิดนะครับ”
ผู้อำนวยการก็เหมือนเพิ่งได้สติกลับมา เขาดันแว่นตา พูดติดๆ ขัดๆ “นะ…น่าจะมั้ง”
อาจารย์ฝ่ายวิชาการสูดลมหายใจเข้าหนึ่งที “สุดยอดไปเลย”
การถามตอบก่อนหน้านี้ทั้งหมดใช้เวลาไปไม่ถึงสี่สิบนาที แต่แทบจะทดสอบความรู้ครอบคลุมหมดทุกด้าน แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ก็ไม่อาจล้มอิ๋งจื่อจินได้
อีกทั้งนอกจากอาจารย์วิชาภาษาจีนที่ถูกเรียกมาให้ครบจำนวน อาจารย์คนอื่นๆ ที่ร้องเรียนเรื่องการทุจริตต่างหน้าเขียวกันหมด
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนักเรียนเป็นฝ่ายถามอาจารย์
“สุดยอด สุดยอดไปเลย” ศาสตราจารย์หนุ่มออกแรงตบบ่าอาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาฟิสิกส์ ดวงตาเป็นประกาย
“นักเรียนคนนี้ของพวกคุณมีความเป็นตัวของตัวเอง เหมาะที่จะมาเรียนฟิสิกส์ของพวกเรามาก”
อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาฟิสิกส์ที่ถูกตบบ่าจนแทบกระอักเลือด “…”
ให้ตายเหอะ เด็กคนนั้นไม่ใช่แค่เหมาะจะเรียนฟิสิกส์ เขาว่าปรัชญาก็ยังเรียนได้
ดูเหมือนศาสตราจารย์หนุ่มจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพลางครุ่นคิด “ผมต้องโทรหาคณบดีสักหน่อย”
ตรงที่นั่งของผู้ถาม
พวกอาจารย์ที่อยู่ตรงนั้นต่างสีหน้าเปลี่ยน
เฮ่อสวินเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่อยู่ภายใต้แว่นตากรอบทองฉายแววสงสัย
“อิ๋งจื่อจิน เธอคงไม่ได้คิดจะเป็นฝ่ายถามพวกเราใช่ไหม” เดิมทีไป๋เสาซือก็ทั้งโมโหทั้งอายเพราะขายหน้าอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดนี้อีกก็แสยะยิ้มออกมา
“จำไว้นะ การถามตอบครั้งนี้เป็นเพราะผลสอบของเธอผิดปกติ ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น ก็ต้องถามนักเรียนคนอื่นด้วยว่ายอม…”
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ นักเรียนที่อยู่ข้างล่างก็ระเบิดอารมณ์ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเป็นคลาสทดลองวิทยาศาสตร์หรือคลาสทั่วไป จนถึงคลาสเด็กอัจฉริยะ ต่างพร้อมใจตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
‘ถามเลย!’
‘เร็วเข้า! ให้เธอถาม! ให้เธอถาม!’
‘ใช่ ให้เธอถาม พวกเราอยากฟัง’
ไป๋เสาซือหน้าเขียวอีกครั้ง
“จือหว่าน อยู่ๆ ฉันก็ตื่นเต้น” นักเรียนหญิงเพื่อนร่วมโต๊ะจับมือจงจือหว่าน
“อาจารย์เฮ่ออยู่ด้วย อิ๋งจื่อจินยังจะกล้าถาม เด็กคนนี้ร้ายกาจไม่เบาเลยนะ!”
แน่นอนว่าอาจารย์เหล่านั้นต่างอายุไม่เกินสามสิบห้าปี แต่ถูกชิงจื้อเชิญมาเป็นอาจารย์ได้ ต่อให้การศึกษาต่ำก็ต่ำได้ไม่เท่าไร
โดยเฉพาะเฮ่อสวิน คำว่ามหาวิทยาลัยนอร์ตันทำให้สถานะของเขาสูงยิ่งขึ้นในชิงจื้อ ท้าทายเฮ่อสวิน นั่นจะต่างอะไรจากท้าทายมหาวิทยาลัยนอร์ตัน
ช่างกล้าเสียจริง!
จงจือหว่านฝืนยิ้มต่อไปไม่ไหวแล้ว
เธอจ้องอิ๋งจื่อจินที่อยู่ตรงกลางห้องประชุมเขม็ง มือกำกระโปรงชุดนักเรียนแน่น เหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง ตัวเย็นไปหมด
อิ๋งจื่อจินไม่ได้ทุจริตจริงเหรอ
งั้นเธอใช้ชื่อจริงร้องเรียนทางโรงเรียน อีกทั้งยังทำการร้องเรียนเป็นครั้งที่สองโดยไม่เชื่อผู้อำนวยการกับอาจารย์ฝ่ายวิชาการ สุดท้ายคนที่โดนลงโทษก็ต้องเป็นเธอน่ะสิ!
ทันใดนั้นจงจือหว่านก็นึกถึงประกาศนั่น ถึงตระหนักได้ว่า ‘ลงโทษอย่างไม่รอช้า’ ที่ในประกาศว่าไว้ ไม่ได้หมายถึงอิ๋งจื่อจิน แต่หมายถึงพวกเขาที่ร้องเรียนโดยไม่มีหลักฐาน
“จือหว่าน?” นักเรียนหญิงหน้าซีด อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “จือหว่าน เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ปะ…เปล่า” จงจือหว่านฝืนยิ้ม “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอไปห้องพยาบาลก่อนนะ”
พูดจบเธอก็ก้มหน้า ไม่กล้ามองคนรอบตัวรีบร้อนออกจากห้องประชุม
ตรงกลางห้องประชุม
“ในเมื่อพูดถึงกลศาสตร์ควอนตัมแล้ว ฉันก็มีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ” อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย พยักหน้า
“ดังนั้นอยากขอถามคุณเฮ่อว่า เราจะวัดการยุบตัวของฟังก์ชันคลื่นได้อย่างไร”
พวกนักเรียนต่างจับข้อสังเกตได้ว่า อิ๋งจื่อจินเรียก ‘คุณเฮ่อ’ ไม่ใช่ ‘อาจารย์เฮ่อ’
เจียงหรานเงียบไปชั่วขณะ หันหน้าไปอย่างยากลำบาก “การยุบตัวคืออะไร”
“ตลกน่า” ซิวอวี่ยักไหล่ “ถ้านายฟังเข้าใจนายก็เป็นพระบิดาแล้ว”
ซิวอวี่สะกิดพุงของตูตู “ตูตู ใช่ไหมจ๊ะ”
ตูตูส่งเสียงงื้ดๆ เหมือนดูถูก
เจียงหราน “…”
เฮ่อสวินสีหน้าเย็นชาลงทันทีที่ได้ยินคำถามนี้
เขาไม่ได้อยู่สาขาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตัน แค่มีบางวิชาที่เกี่ยวข้องกับฟิสิกส์บ้างนิดหน่อย
ส่วนเรื่องกลศาสตร์ควอนตัม นั่นเป็นเรื่องที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างทุ่มเทศึกษากันมาตลอด หลายปีมานี้ยังมีจุดที่หาคำตอบไม่ได้อีกมากมาย กลศาสตร์ควอนตัมหากว่ากันในเชิงลึกที่สุด ถึงขั้นที่เกี่ยวพันถึงการมีอยู่ของจักรวาลคู่ขนาน
เขาเคยได้ยินการยุบตัวของฟังก์ชันคลื่น แต่กลับไม่เคยศึกษาอย่างละเอียด
“เดิมทีควอนตัมมีทวิภาคของคลื่นและอนุภาค วัดได้ยาก” เฮ่อสวินเม้มริมฝีปาก
“นี่ยังคงเป็นโจทย์ยากที่วงการฟิสิกส์แก้กันไม่ได้”
อิ๋งจื่อจินเอียงศีรษะเล็กน้อย ยิ้มบาง “เยี่ยมค่ะ ก่อนหน้านี้ที่คุณเฮ่อถามฉันก็มีโจทย์ยากที่วงการคณิตศาสตร์ยังแก้กันไม่ได้เหมือนกัน”
เฮ่อสวินเงยหน้ามองเธอทันที ลำคอแห้งผาด หน้าเสียไปชั่วขณะ
นักเรียนคนอื่นๆ เริ่มฟังไม่เข้าใจตั้งแต่กลศาสตร์ควอนตัม ต่างทำสีหน้าแบบที่ว่า
‘ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไรกัน แต่ก็รู้สึกว่าสุดยอดมาก’
แต่พวกเขาเข้าใจคำพูดนี้ หันขวับทันที
“อาจารย์เฮ่อหมายความว่าไง ถามนักเรียนมอปลายด้วยโจทย์ยากที่วงการคณิตศาสตร์ก็ยังแก้กันไม่ได้งั้นเหรอ”
“ฉันได้ยินพวกอาจารย์ฝ่ายวิชาการพูดกันว่า พวกเขาส่งประกาศไปล่วงหน้าเพื่อให้พวกอาจารย์เฮ่อเตรียมคำถาม ฉันคิดว่าต่อให้พวกเขารู้สึกว่าอิ๋งจื่อจินทุจริตในการสอบครั้งนี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องถามในขอบเขตของเนื้อหาข้อสอบหรือเปล่า”
“แบบนี้…ไม่เท่ากับจงใจกลั่นแกล้งเหรอ ฉันรู้สึกรับไม่ได้”
สถานะของเฮ่อสวินภายในใจของนักเรียนถูกดึงลงต่ำอีกครั้ง
“น่าเสียดายจริงๆ” อิ๋งจื่อจินลุกขึ้น “จบจากมหาวิทยาลัยนอร์ตัน แต่วุฒิภาวะไม่ได้เรื่อง”
เธอทำความเข้าใจสถานการณ์ในช่วงหลายปีมานี้ของมหาวิทยาลัยนอร์ตันมาแล้ว นักเรียนของคณะที่อยู่ต่ำกว่าระดับ เอ ไม่ต่างจากนักศึกษาที่ไม่ใช่ของมหาวิทยาลัยนอร์ตัน
ทางมหาวิทยาลัยนอร์ตันให้เวทีศึกษาอบรมแก่นักเรียนเหล่านี้ แต่พวกเขาจะก้าวหน้าต่อไปได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้ว เธอยังคิดอยู่ว่าคนสติเฟื่องเล่นแร่แปรธาตุบางคนต้องการทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็เลยลดมาตรฐานการรับนักศึกษา
คราวนี้สีหน้าของเฮ่อสวินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
คำพูดนี้เหมือนเป็นการตบหน้าเขา
เรียกได้ว่ามหาวิทยาลัยนอร์ตันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของการศึกษาหาความรู้ ถึงแม้มหาวิทยาลัยตี้ตูจะสอบติดยาก แต่อย่างน้อยก็พอเอื้อมถึง สอบไม่ติดก็ไปเดินชมมหาวิทยาลัยได้ ส่วนมหาวิทยาลัยนอร์ตัน ได้ยินว่าไม่มีใครรู้ว่ามหาวิทยาลัยตั้งอยู่ที่ใดยกเว้นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เพราะลึกลับถึงได้ชวนให้ใฝ่ฝัน
“พูดได้เยี่ยม!” ศาสตราจารย์หนุ่มออกแรงตบบ่าอาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาฟิสิกส์อีกครั้งพอใจมาก
“ยังไงมหาวิทยาลัยตี้ตูของเราก็ดีกว่า”
อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาฟิสิกส์แอบคิดในใจขณะที่กำลังจะกระอักเลือดตาย
พอเถอะพ่อคุณ
“ฉันไม่มีคำถามแล้วค่ะ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าให้อาจารย์คนอื่นเป็นการแสดงความเคารพ “ขอบคุณค่ะ”
เธอออกจากห้องประชุม บรรดาอาจารย์ที่เป็นฝ่ายถามยังคงนั่งหน้าเสียไม่ขยับอยู่ที่เดิม
ผู้อำนวยการถอนหายใจ ยืนขึ้น “การถามตอบครั้งนี้จบลงเท่านี้ ทุกคนกลับไปเข้าเรียนได้”
การถามตอบอย่างเปิดเผยเพียงพอเป็นเครื่องยืนยันความยุติธรรม ถึงเวลาที่ต้องประกาศการลงโทษแล้ว
…
ด้านนอกห้องประชุม
อิ๋งจื่อจินโยนขวดน้ำเปล่าลงถังขยะ
เธอจับเสาไฟข้างทาง ถอนหายใจ
เธอประเมินร่างนี้สูงเกินไป
เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวนี้ เรี่ยวแรงที่ยังฟื้นคืนกลับมาไม่เท่าไรก็ถูกใช้หมดแล้ว
อิ๋งจื่อจินหยิบยาสีขาวหนึ่งเม็ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วกินเข้าไป เตรียมลาป่วยต่อเพื่อกลับไปพักผ่อน พอหันไปกลับถูกขวางไว้
เธอเงยหน้าขึ้น
“นักเรียนอิ๋งจื่อจินสวัสดีครับ “ ศาสตราจารย์หนุ่มยื่นมือออกไป
“ผมเป็นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยตี้ตู ชื่อจั่วหลี ครั้งนี้ตั้งใจมาหานักเรียนอิ๋งจื่อจินโดยเฉพาะ ไม่ทราบว่าพอมีเวลาคุยกันหน่อยไหมครับ”
“ฉันไม่ค่อยสบาย วันนี้คงไม่ได้ค่ะ” อิ๋งจื่อจินปฏิเสธ
“ฉันยังเป็นนักเรียนมอห้าอยู่ คุยเรื่องมหาวิทยาลัยยังเร็วไป”
“เร็วเหรอ ไม่เร็วหรอก” จั่วหลีไม่คิดแบบนั้น “ด้วยความสามารถของนักเรียน อย่าว่าแต่เข้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายๆ เลย ผมช่วยยื่นขอตำแหน่งรองศาสตราจารย์กับทางมหาวิทยาลัยตี้ตูให้ยังได้ แต่ถ้าตำแหน่งศาสตราจารย์ต้องไต่ขึ้นไปเอง”
วันนี้ถือว่าเขาได้มาเห็นงานประลองความรู้แล้ว
อิ๋งจื่อจินได้ฟังก็ครุ่นคิด “รองศาสตราจารย์ต้องดูแลนักศึกษา?”
“แน่นอนครับ”
“แถมยังต้องเขียนงานวิจัยด้วย?”
“ก็ใช่”
“อ่อ งั้นช่างเถอะค่ะ”
“…”
จั่วหลีทำหน้าใจสลาย จำต้องประนีประนอม “นักเรียนอิ๋ง เอาจริงนะ เธอไม่ต้องเรียนหรอกมอปลาย เป็นรองศาสตราจารย์ต้องดูแลนักศึกษามหาวิทยาลัยตี้ตูเถอะ พวกเรายินดีต้อนรับให้เงินเยอะกว่าชิงจื้ออีก”
ล้อเล่นน่ะ
เขามีเซ้นส์ว่า เขาเป็นคนแรกที่มาหาเธอไม่อย่างนั้นเจ้าพวกสาขาคณิตศาสตร์จะต้องมาแย่งเขาแล้ว
เพื่อเป็นการป้องกันเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น จั่วหลีจึงพูดต่อ
“งั้นเอาแบบนี้นะนักเรียนอิ๋ง ต่อให้ตอนนี้เธอไม่อยากมา ผมสามารถเอาชื่อนักเรียนอิ๋งเข้าสาขาฟิสิกส์ของเราก่อนได้ อีกหน่อยถ้าอยากเข้าก็มาได้ตลอดเวลา”
“นี่เป็นรายการให้งบในแต่ละปีของสาขาฟิสิกส์เรา” ขณะพูดเขาก็หยิบเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง
“นักเรียนอิ๋งสามารถ…” ไม่รู้ว่าสังเกตเห็นอะไร ดวงตาหงส์ของอิ๋งจื่อจินหรี่ลง เธอยกมือขึ้น
“ศาสตราจารย์จั่ว รบกวนรอเดี๋ยวนะคะ”
เธอเงยหน้าเพ่งตรงไปยังจุดหนึ่ง