ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้สนใจอะไร “หืม?”
ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับตอบมาอย่างรวดเร็ว
“สามคน ทั้งหมดอยู่ในอันดับนักล่าฆ่าหัว เดี๋ยวฉันส่งข้อมูลให้”
“เดี๋ยว…ไม่ใช่ว่าฉันยังไม่เจอนาย นายก็จะตายแล้วนะ”
ขนตาฟู่อวิ๋นเซินขยับและแสดงใบหน้าแสยะยิ้ม “วางใจได้ เจอสักครั้งยังพอไหว”
ตัวอักษรสีแดงหายไป หน้าจอถึงกลับมาเป็นปกติ บนหน้าจอที่เดิมทีไม่มีอะไรเลย ทันใดนั้นได้ปรากฏแฟ้มเอกสาทั้งสามแฟ้ม โดยแบ่งเป็นชื่อดังนี้
‘ชาร์พชูทเทอะอันดับสี่, คิลเลอะอันดับห้า, ฮิพนะทิสท์อับดับเจ็ด’
ฟู่อวิ๋นเซินกวาดตามอง แต่ไม่ได้กดเปิดแฟ้มดู
เขาพับหน้าจอคอมพิวเตอร์ลง ยืนขึ้น หลังจากยกข้อมือดูเวลาก็ออกไปข้างนอก
…
วันนี้เป็นวันที่สิบห้าเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติ บนถนนมีขายโคมไฟอยู่ไม่น้อย ถึงแม้แสงแดดในยามเที่ยงครึ่งจะเจิดจ้า ไม่ทำให้แยงตา แต่กลับกันให้ความอบอุ่นแบบกำลังดี
อิ๋งจื่อจินเอียงหน้า มองเด็กน้อยหลายคนที่กำลังกระโดดเชือกอยู่ไม่ไกลมากนัก สีหน้าผ่อนคลายลง เคยชินกับการสู้รบปรบมือทุกวัน พอได้อยู่อย่างเงียบสงบ ก็ทำให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
สองมือของเธอล้วงกระเป๋า ยืนพิงรั้ว ท่าทางสบายๆ มองทิวทัศน์พลางจัดระเบียบความทรงจำของตัวเองใหม่
ตระกูลเจียงมีมูลนิธิช่วยการศึกษา ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลโดยเฉพาะ
เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้นพอดี เดิมทีก็เป็นประเภทที่ไม่สะดุดตา
เมื่อหนึ่งปีก่อน เจียงมั่วหย่วนต้องการรับเธอมาอยู่ที่เมืองฮู่เฉิงโดยให้เหตุผลว่าจะสนับสนุนให้เธอเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมชิงจื้อ
เป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน
ตอนนั้นเธอไม่ได้ยินยอมอะไร เพราะเวินเฟิงเหมียนพ่อเลี้ยงของเธอเป็นโรคหอบหืด ป่วยหนักมาก จำเป็นต้องมีคนดูแล
แต่เวินเฟิงเหมียนบอกว่า ทั้งชีวิตเขาคงต้องเป็นแบบนี้เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว ดังนั้นเขาหวังว่าเธอจะได้เดินออกไปมีอนาคตที่ดีกว่านี้
แต่ใครก็นึกไม่ถึงว่า พอเดินออกไปจะมีผลลัพธ์แบบนี้ ตระกูลอิ๋งรับเธอกลับไป แต่กลับเป็นในรูปแบบลูกเลี้ยง เนื่องจากอิ๋งเจิ้นถิงจัดการกลบข่าวไม่ดีเรื่องที่คุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋งหายไป จึงให้ลูกเลี้ยงแทนที่ตัวตนเดิมของเธอ รวมถึงชื่อและวันเกิด
ตอนแรก จงมั่นหวากับอิ๋งเจิ้นถิงก็ยังดีกับเธออยู่ จนกระทั่งอิ๋งลู่เวยบาดเจ็บครั้งแรก จนกระทั่งเธอเป็นข่าวเสียหายในแวดวงไฮโซครั้งแล้วครั้งเล่า บวกกับมีอิ๋งลู่เวยที่เป็นคุณหนูไฮโซอันดับหนึ่งกับคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋งเป็นตัวเปรียบเทียบ ลูกเลี้ยงที่มาจากชนบทเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย
อิ๋งจื่อจินหรี่ตาลง ความทรงจำในสมองมีเพียงด้านเดียว ไม่สามารถแอบดูเรื่องราวทั้งหมดได้ และน่าเสียดาย ด้วยความสามารถในการพยากรณ์ของเธอตอนนี้ ยังไม่เพียงพอให้เธอมองเห็นอดีต และอนาคตอันสมบูรณ์ของเธอที่นี่ได้
แต่โดยทั่วไปแล้ว คนทำนายจะไม่ดูให้ตัวเอง
ความทรงจำบอกเธอว่า นับตั้งแต่กลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลอิ๋ง ตระกูลอิ๋งก็ไม่ให้เธอไปยุ่งกับครอบครัวเก่าของเธอแม้แต่น้อย ทั้งยังกลัวว่าเธอจะทำขายหน้าเสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับวงตระกูลอีก จึงให้ตัดขาดการติดต่อของเธอกับครอบครัวเวินอย่างสิ้นเชิง
จงมั่นหวากลัวเธอหนีไป เอาบัตรประชาชนของเธอไปล็อกไว้ในตู้ เตือนเธอหลายครั้งว่าเธอเป็นคุณหนูตระกูลอิ๋ง ห้ามไปที่อำเภอชิงสุ่ยให้ถูกคนจนพวกนั้นเกาะ
ส่วนเวินเฟิงเหมียน พวกเขาได้ให้เงินไปแล้วหนึ่งแสน ครอบครัวเวินควรรู้จักพอแล้ว
เป็นคนอาศัยในอำเภอเล็กๆ คงไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนั้น
ถึงแม้อำเภอชิงสุ่ยจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองฮู่เฉิง ระยะทางแค่สองร้อยกว่ากิโลเมตร แต่ในฐานะที่เป็นคลังเลือดมีชีวิตของอิ๋งลู่เวย เธอถูกจับตาอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นหนึ่งปีแล้วที่เธอยังไม่ได้กลับอำเภอชิงสุ่ยเลยสักครั้ง นี่ต่างหากคือการอกตัญญู
อิ๋งจื่อจินหยิบบัตรประชาชนในกระเป๋าออกมาดู รู้สึกปวดหัว
เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน ทำอะไรก็มีข้อจำกัด
แต่เธอจำเป็นต้องกลับอำเภอชิงสุ่ยสักครั้ง เวินเฟิงเหมียนสุขภาพไม่ดี บุญคุณที่เคยเลี้ยงดูเธอหนักหนาเหลือเกิน เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่ดูแล
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด หยิบโทรศัพท์ออกมาเริ่มเสิร์ชหาร้านยาแผนจีนที่อยู่ใกล้ที่สุดในแผนที่
…
สามนาทีต่อมา
ณ ถนนจงซานใต้
พอลงจากรถแท็กซี่อิ๋งจื่อจินก็ได้กลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ ทำให้จิตใจขุ่นมัวที่หลับไม่สบายสงบลงไปมาก
เธอกดศีรษะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตายมาแล้วครั้งหนึ่งหรือเปล่า เธอตื่นมาครั้งนี้ควบคุมอารมณ์ได้แย่ไปหน่อย
เห็นทีจะต้องปรุงยาระงับประสาท
อิ๋งจื่อจินเข้าไปที่ธนาคารแห่งหนึ่งก่อน ช่วงบ่ายคนน้อยช่องให้บริการจะว่าง เธอยังคงสวมเสื้อเชิ้ตสีดำเรียบง่าย ติดกระดุมครบ สวมเสื้อกันหนาวสีกากี กางเกงขายาวสีดำเข้ม รองเท้าบู๊ทหนัง มัดผมครึ่งหัว รัดกุมและเย็นชา
ภาพลักษณ์นี้โดดเด่นดึงดูดสายตาคนผ่านไปผ่านมา
ตอนหยิบบัตรคิว อิ๋งจื่อจินหันหน้าเหลือบไปเห็นดอกไอริสสีทองที่บนผนัง ทำให้สีหน้าชะงักไปชั่วขณะ
ผ่านไปสักพักเธอถึงค่อยๆ นึกออกว่าสัญลักษณ์นี้เป็นภาพที่เธอวาดเล่นในตอนนั้น
นึกไม่ถึงว่าผ่านมาหลายปี ตระกูลลอเรนท์ได้ขยับขยายธนาคารของพวกเขาจากยุโรปไปทั่วโลกแล้ว
อิ๋งจื่อจินหาวออกมา ค่อยๆ เดินไปที่เคาน์เตอร์ ดวงตาหงส์ของเธอเปล่งประกายดุจแสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนกิ่งไม้ ขับให้ผิวพรรณที่ขาวนวลตรงคอเสื้องดงามเสียจนพาให้ใจสั่น พนักงานหญิงที่เคาน์เตอร์หน้าแดง รีบเบนสายตาไปทางอื่น “สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง”
“ถอนเงินก่อนสองพันค่ะ” อิ๋งจื่อจินยื่นบัตรสีดำกับบัตรประชาชนให้
“จากนั้นก็ทำบัตรอีกใบแล้วโอนเงินเข้าหนึ่งล้าน ขอบคุณค่ะ”
เงินหนึ่งล้านถ้าเอาฝากไว้ธนาคารอื่นเป็นยอดที่สูงมาก แต่กลับไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับธนาคารลอเรนท์ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทำขั้นตอนอะไรมาก
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ” พนักงานเคาน์เตอร์รับไปแล้วเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว
อิ๋งจื่อจินคิดแล้วถามขึ้น “ฝากเงินไว้ที่นี่ฝากได้นานแค่ไหนเหรอคะ”
พนักงานอึ้งไปชั่วขณะแล้วถึงตอบ “ตราบใดที่มีหลักฐานแสดง จะนานเท่าไรก็ได้ค่ะ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า นั่งพิงหาวด้วยความอ่อนเพลีย
ไม่แน่ทองของเธออาจยังสามารถกลับมาอยู่ในมือเธอได้
…
ณ ร้านยาแผนจีนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ลู่ฟั่งกำลังหมอบเขียนการบ้านอยู่ที่โต๊ะแคชเชียร์ เขียนอยู่นานก็ยังตอบคำถามเรื่องอนุพันธ์ข้อสุดท้ายไม่ได้สักที โยนหนังสือทิ้งด้วยความหงุดหงิด
เขายืนขึ้นเตรียมจะไปหาขนมกินพอเงยหน้าขึ้น เหมือนกลับถูกเงาที่อยู่หลังหน้าต่างกระจกสะกดสายตา
“พี่ นั่นไม่ใช่คนนั้นเหรอ” ลู่ฟั่งกึ่งสงสัยกึ่งดูถูก “เธอมาจากชนบท ไปทำอะไรที่ธนาคารลอเรนท์ มีเงินหรือไง”
ธนาคารลอเรนท์เป็นธนาคารใหญ่ระดับสากลเพียงหนึ่งเดียวทั่วโลก คนที่เข้าไปมีแต่เศรษฐี
อิ๋งจื่อจินเป็นคนของตระกูลอิ๋งนั้นถูกต้อง แต่ก็เป็นแค่ลูกเลี้ยงที่ไม่มีตำแหน่งอะไร ผลการเรียนก็รั้งท้ายในคลาสเด็กอัจฉริยะของพวกเขา
“ใคร” ลู่จื่อกำลังเขียนรายการอยู่ พอได้ยินก็แค่หันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ
แต่พอเห็นสีหน้าก็บึ้งลง
ลู่ฟั่งพูดขึ้นมาอีก “พี่ พี่บอกว่าเมื่อวานเธอยังชักสีหน้าใส่พี่เลยไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
ลู่จื่อแสยะยิ้ม “ความสามารถก็ไม่มี แถมนิสัยอวดดีอีก คิดว่าฉันอยากช่วยบำรุงร่างกายให้หรือไง”
ถ้าไม่ใช่เพราะอิ๋งลู่เวยเชิญเธอไป เธอคงไม่ปรนนิบัติลูกเลี้ยงให้หรอก
ลู่ฟั่งกำลังเตรียมปลอบลู่จื่อ แต่กลับเห็นอิ๋งจื่อจินเดินออกจากธนาคารลอเรนท์ ทั้งยังเดินมาทางพวกเขา จึงอดตกใจไม่ได้ “พี่ ทำไมเธอมาทางนี้ล่ะ คงไม่ได้มาซื้อยาหรอกนะ”
ยาแผนจีนสมัยนี้ไม่ได้รับความนิยมเท่าแผนปัจจุบัน ร้านของพวกเขาเป็นร้านขายสมุนไพรแผนจีนโดยเฉพาะ โดยทั่วไปมีแค่โรงพยาบาลมาสั่งซื้อ น้อยมากที่จะมีลูกค้าขาจร
“มาซื้อยาเหรอ” ลู่จื่อแสยะยิ้ม “ไม่ขายให้หรอก”