นี่เป็นโพสต์แรกของอิ๋งจื่อจินหลังจากที่เกิดเรื่องฟ้องร้องคราวก่อน
อีกหนึ่งวันจะเป็นวันคอนเสิร์ต พวกแฟนคลับอิ๋งลู่เวยต่างจับตาดูแอคเคาท์นี้ อยากรอดูว่าอิ๋งจื่อจินจะรู้กาลเทศะเป็นฝ่ายถอนตัวจากคอนเสิร์ตไปเองไหม
แต่นึกไม่ถึงว่าไม่เพียงแต่เธอจะไม่ถอนตัว ยังโพสต์ข้อความแบบนี้ออกมาด้วย
[ทำไมต้องเอาเงินค่าบัตรให้เธอด้วย คอนเสิร์ตนี้เปิดให้เธอหรือไงหรือว่าเธอเล่นได้ดีกว่าลู่เวยไม่ทราบ]
[ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าแบบไหนที่เรียกว่าหน้าหนา…นี่ไงล่ะ]
[ไม่ไปก็ไม่ต้องไป คิดว่าพวกเราจะง้อเหรอ ลู่เวย ไม่ต้องให้นางไป]
[ฉันตัดสินใจแล้ว พอถึงตอนนั้นฉันจะไม่กดข้ามแล้ว ฉันจะรอดูว่านางจะเล่นได้ดีแค่ไหน ถึงพูดแบบนี้ได้อย่างไม่อาย]
เหล่าแฟนคลับก็ได้ไปคอมเมนต์ที่เวยปั๋วของอิ๋งลู่เวย บอกเธอว่าอย่าไปตามใจ
แต่พวกเขาไม่รู้ว่า เดิมทีคอนเสิร์ตครั้งนี้อิ๋งลู่เวยเตรียมไว้ให้อิ๋งจื่อจินโดยเฉพาะ
ถ้าอิ๋งจื่อจินไม่ไป แผนของเธอทั้งหมดก็จะพังลง
เธอยังต้องไปขอร้องอิ๋งจื่อจินจริงๆ
หลังจากที่เห็นเวยปั๋วโพสต์นี้ อิ๋งลู่เวยก็โกรธจนตัวสั่น หน้าเขียวขึ้นมาทันที
“ฉันกะแล้วว่าเด็กนี่จะต้องไม่ว่าง่าย ที่แท้ก็ยังมีจุดประสงค์นี้อีก”
คอนเสิร์ตนี้ของเธอ บัตรชมออนไลน์ และที่งานแสดงจริงถูกขายไปได้เกือบแปดสิบล้านหยวนแล้ว พอให้เธอใช้ไปได้อีกนาน
อิ๋งจื่อจินคิดจะกินคำใหญ่ อยากแย่งไปทั้งหมดงั้นเหรอ
ผู้จัดการส่วนตัวกลับไม่โกรธ หัวเราะเสียด้วยซ้ำ
“ลู่เวย คุณก็ให้ไปเถอะ ยังไงซะคุณก็พูดอยู่ไม่ใช่เหรอว่า เดี๋ยวพอถึงตอนนั้นเด็กคนนั้นก็จะขายหน้าต่อหน้าพวกอาจารย์เก่งๆ เกิดหนักเข้าก็อาจอับอายจนฆ่าตัวตาย”
“อีกอย่าง เธอพูดขนาดนี้แล้ว คนที่ดูร้ายก็คือเด็กคนนั้น คุณกลับจะเป็นผู้ถูกกระทำ”
พอได้ยินแบบนี้อิ๋งลู่เวยถึงฝืนทำใจให้สงบลงได้ “ก็จริงนะ”
เธอเองก็รู้ว่า ถ้าเธอไม่ยอมตกลง อิ๋งจื่อจินก็จะไม่มาจริงๆ
อิ๋งลู่เวยแชร์โพสต์นี้ด้วยความอัดอั้นตันใจ เร็วจนถึงขั้นที่ผู้จัดการส่วนตัวยังไม่ทันได้ห้าม
แอทอิ๋งลู่เวย : [ได้จ้ะ อาจะรอนะ]
พอเห็นเธอกดโพสต์ไปแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวก็กลืนคำพูดที่กำลังจะออกจากปากลงไป จนปัญญา
“ลู่เวย คุณตอบเป็นการส่วนตัวก็พอแล้ว แบบนี้ยังพอเหลือที่ให้กลับคำบ้าง”
“ไม่ต้อง” อิ๋งลู่เวยไม่คิดแบบนั้น “คุณคิดว่าเด็กนั่นจะเล่นได้ดีกว่าฉันจริงเหรอ”
ผู้จัดการส่วนตัวหมดคำจะพูด
เขาทำงานวงการนี้มาหลายปี ถึงขั้นที่อยู่ในวงการบันเทิงด้วยความระมัดระวังรอบคอบ ต้องเหลือทางรอดไว้ให้ตัวเองบ้าง
การกระทำหลายครั้งของอิ๋งลู่เวยแทบจะเป็นการปิดทางรอดของตัวเองไว้
แต่ก็จริงเด็กที่มาจากอำเภอบ้านนอกจะเล่นเปียโนอะไรได้
ผู้จัดการส่วนตัวรับได้ แต่พวกแฟนคลับไม่ยอม
[อ๊ากกก โมโหจะตายอยู่แล้ว ทำไมลู่เวยต้องไปรับปากด้วย อย่าใจดีขนาดนั้นจะได้ไหม]
[ลู่เวยไม่ได้ถูกข่มขู่ใช่ไหม]
[โกรธ โกรธมาก]
ครั้งนี้อิ๋งลู่เวยไม่ซื้ออันดับคำค้น ชาวเน็ตที่ให้ความสนใจมีไม่มาก
[แฟนคลับสมองกลวงกลุ่มนี้น่าขำเป็นบ้า แต่ละคนพูดว่าน้องเขาไม่คู่ควร แต่กลับไม่รู้ว่าคนของตัวเองไปขอร้องเขาเฉย]
[จากการที่ฉันวิเคราะห์อย่างมีสติ เรื่องอาจจะเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร อิ๋งลู่เวยจำเป็นต้องให้น้องคนนี้มา แม้จะต้องยกเงินที่หามาได้ให้ทั้งหมดก็ตาม มีแผนชั่วแน่ๆ]
[ไม่รู้ล่ะ ฉันแคปหน้าจอไว้แล้ว ฉันจะรอดูว่าพอถึงตอนนั้นอิ๋งลู่เวยจะให้เงินจริงหรือเปล่า]
…
ภายในห้องสิบเก้า อิ๋งจื่อจินไม่ได้อ่านคอมเมนต์บนเวยปั๋ว
ลูกน้องเป็นกลุ่มแรกที่ไปมุง ย่อมเห็นเวยปั๋วโพสต์นี้ เขาเริ่มร้อนใจ “โอ้โห พ่ออิ๋ง โพสต์แบบนี้ทำไม ถ้าร้อนเงินนะพวกเราให้ได้”
“ไม่เอา” อิ๋งจื่อจินเปิดฝาขวดน้ำดื่ม พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่อยากสิ้นเปลืองเงินของพวกนาย”
เธอยืนขึ้นแล้วพยักหน้า “ฉันจะไปห้องเปียโน”
ชิงจื้อมีคลาสศิลปะ ห้องเปียโน ห้องจิตรกรรม ต่างมีพร้อมหมด
เปียโนที่อยู่ในห้องเปียโนยังเป็นแบรนด์ระดับแนวหน้าที่ส่งมาจากต่างประเทศ หนึ่งหลังราคาเกินล้าน
อย่างไรเสียคุณภาพของเปียโนก็ส่งผลต่อคุณภาพเสียงและด้านอื่นๆ อีกมากมาย
ตอนที่อิ๋งจื่อจินมาถึงห้องเปียโน ฟู่อวิ๋นเซินได้มารอเธออยู่ก่อนแล้ว
เขายืนหันข้าง ร่างกายโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อย นิ้วเรียวยาววางบนแป้น แต่ไม่ได้กดลงไป แต่อิ๋งจื่อจินมองออกตั้งแต่แวบแรก เขาเคยฝึกเปียโนอีกทั้งฝีมือยังไม่ธรรมดา พอได้ยินเสียงฝีเท้าฟู่อวิ๋นเซินก็หันไปมอง ดวงตาดอกท้อโค้งมน เวลานี้กลิ่นอายความโหดเหี้ยมจางๆ ที่อยู่รอบตัวเขาได้จางหายไป ยังคงมีความอ่อนโยนเช่นเคย ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้วยังคงมีท่าทางเสเพล
“เด็กน้อยเธอเป็นถึงประธานบริษัทแล้วนะ ทำไมยังจะเห็นแก่เงินอีก”
อิ๋งจื่อจินนั่งลงบนเก้าอี้เล่นเปียโนที่อยู่ข้างเขา ลองกดแป้นเล็กน้อย
“ต่อให้ต้องโยนทิ้งถังขยะก็ไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นหรอก”
“เยาเยา อันนี้ให้” ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เขาหยิบของที่เตรียมไว้ก่อนแล้วออกมา “เอาไว้ใช้ตอนขึ้นคอนเสิร์ตได้”
“อะไรเหรอ”
อิ๋งจื่อจินรับมาดู สายตาหยุดชะงัก
นี่เป็นโน้ตเพลงตะวันกับจันทรา
ไม่ใช่เวอร์ชันไม่สมบูรณ์ที่แพร่หลายในเน็ต แต่เป็นเวอร์ชันเต็ม
โน้ตเพลงที่เธอเคยเขียนด้วยตัวเอง เธอย่อมไม่มีทางลืม
“ลองเติมไปหลายโน้ต” ฟู่อวิ๋นเซินพิงเปียโน ยิ้มอย่างมีเสน่ห์
“อาจมีจุดที่ผิด แต่เล่นดูแล้วก็ราบรื่นดี”
“พอถึงเวลาเธอไม่ต้องเล่น แค่เอาโน้ตฉบับนี้ออกมา”
เขาอยู่ยุโรปมานานขนาดนั้น ย่อมเคยทำความรู้จักนักเปียโนที่ชื่อ วีร่า โฮลท์ซ
เขาเติมโน้ตครั้งนี้ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ได้เกิดในยุคสมัยนั้น เขายังอยากจะลองเจอ วีร่า โฮลท์ซดู
อิ๋งจื่อจินหลุบตาลง “ไม่มีจุดผิด”
ไม่ผิดแม้แต่โน้ตเดียว
โน้ตเพลงที่แพร่หลายนั้นขาดพวกโน้ตหลายสิบตัวนี้ ทำให้นักเปียโนที่เล่นเพลงตะวันกับจันทราได้อย่างต่อเนื่องมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินยกมือลูบศีรษะของเธอ “ของถึงมือแล้ว พี่ชายยังมีธุระ ฝึกไปก่อนนะ”
…
ยุโรป
มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัล
นักศึกษาที่ผ่านไปผ่านมาเห็นสองศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในมหาวิทยาลัยของพวกเขากำลังดึงๆ ลากๆ กันอยู่
“เบิร์ก เพี้ยนไปแล้วเหรอ!” บาร์ต เฮเบอร์ นักเปียโนที่มีชื่อเสียงของยุโรปกำลังโมโห “ทำไมฉันต้องตามนายไปประเทศจีนด้วย ทำไมนายถึงไปตกปากรับคำเชิญแทนฉันล่ะ”
อิ๋งลู่เวยอะไรกัน เขาไม่เคยได้ยิน
แสดงเพลงตะวันกับจันทรางั้นเหรอ
เจอคนแอบอ้าง วีร่า โฮลท์ซอีกแล้ว ไม่รู้จักดูตัวเองเสียบ้างว่าคู่ควรหรือเปล่า
“เอาน่า นายไปก็รู้เอง” เบิร์กแรงเยอะมาก มือข้างหนึ่งลากสัมภาระ มืออีกข้างดึงบาร์ต
“เพื่อน ฉันจะบอกนายให้นะ ปรมาจารย์คนนั้นที่ฉันเล่าให้นายฟังเมื่อคราวก่อน เธอจะแสดงในคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย”
ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่ไปหรอก
“คนที่วาดรูปเก่งกว่านายน่ะเหรอ” ถึงแม้บาร์ตจะสงสัย แต่เขาก็ยิ่งไม่อยากยุ่ง “ไม่ไปๆ วาดรูปเก่ง เล่นเปียโนไม่เก่งแน่นอน ศิลปะน่ะ เก่งสักอย่างก็เยี่ยมแล้ว ฉันไม่ใช่จิตรกรสักหน่อย”
“ไม่ได้ให้นายไปฟังคอนเสิร์ตเสียหน่อย” เบิร์กไม่ปล่อยมือ “ก็แค่ไปเสริมกำลัง จะได้เชิญเธอมามหาวิทยาลัยของเราได้ไง”
คิดว่าเขาไม่รู้เหรอว่า ตาแก่หัวรั้นของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนนั่นอยากมาแย่งชิงกับเขา แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกันแล้ว รวมบาร์ตเข้าไป ทางเขาก็มีสองคนแล้ว ข่มเซิ่งชิงถังในเรื่องจำนวน และเขาก็จะถือโอกาสไปเป็นกำลังใจให้ปรมาจารย์อิ๋งด้วย
…
หลังจากที่ฟู่อวิ๋นเซินออกจากชิงจื้อก็กลับไปที่บ้านตระกูลฟู่
ฟู่อีเฉินไม่ได้ถูกคุณนายฟู่ขังอยู่ในห้องนอนแล้ว แต่ก็ยังคงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกบ้าน
พอเห็นฟู่อวิ๋นเซินเขาก็โมโหจนเนื้อเต้น “ฟู่อวิ๋นเซิน แกมันจงใจ แกต้องรู้อยู่ก่อนแล้วแน่ว่า พ่อกับแม่ไม่มีทางเชื่อฉัน ถึงได้ทำแบบนี้!”
ช่วงหลายวันมานี้เขาถูกบังคับให้ไปแผนกประสาทของแต่ละโรงพยาบาล
คุณนายฟู่ยังได้ติดต่อหมอที่ตี้ตูให้เป็นการเฉพาะอีกด้วย เตรียมให้เขาได้รับการตรวจอีกครั้ง
แต่เขาไม่ได้ป่วย สมองก็ไม่ได้มีปัญหา
เขาพูดความจริงอยู่ทนโท่ แต่กลับไม่มีใครเชื่อ
ฟู่อีเฉินโมโหจะตายอยู่แล้ว
ฟู่อวิ๋นเซินหันหน้าไป เขายิ้ม “หืม?”
ฟู่อีเฉินรู้สึกขนลุกกับสายตานี้ เขาหดคอ ไม่กล้าขยับแล้ว
ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา ถ้าถูกฟู่อวิ๋นเซินจับตัวไปอีก ชีวิตคงได้ปลิวจริงแน่
ฟู๋อวิ๋นเซินไม่สนใจเขา เดินขึ้นชั้นบน
ฟู่อีเฉินมองตามหลัง กัดฟันด้วยความแค้นใจ
เขาอดทนสักวันหนึ่งเขาจะหาหลักฐานให้ได้ในไม่ช้า พอถึงตอนนั้นเขาจะรอดูว่าฟู่อวิ๋นเซินจะถูกไล่ออกจากตระกูลฟู่ยังไง
…
ที่ชั้นบน
ผู้เฒ่าฟู่กำลังเล่นเดินหมากอยู่คนเดียว ร่างกายของเขาโดยรวมดีขึ้นแล้ว จิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่า หลังจากที่ฟู่อวิ๋นเซินพูดคุยกับผู้เฒ่าฟู่อยู่สักพักก็ออกจากคฤหาสน์ตระกูลฟู่
จากนั้นเขาได้ขับรถไปที่สวนสาธารณะศูนย์กลางออกกำลังกาย ยังคงเป็นต้นไม้ต้นนั้น เด็กหนุ่มรออยู่ที่นั่น ฟู่อวิ๋นเซินเดินเข้าไปพยักหน้าให้ “ว่ามา”
“คุณชาย” เด็กหนุ่มหยุดเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “สืบพบความจริงที่ตอนนั้นคุณจื่อจินหายตัวไปแล้วครับ”