ซองจดหมายกับจดหมายที่อยู่ในนั้นต่อให้กันน้ำอย่างไรก็ทำมาจากกระดาษอยู่ดี
เมื่อลอยเข้าไปในเตาก็ถูกเผามอดไหม้ ไม่เหลือแม้เพียงเศษเสี้ยว
แต่ยกเว้นฉบับหนึ่ง จดหมายฉบับนั้นที่โยนเข้าไปเป็นฉบับสุดท้ายยังคงมีสภาพเป็นปกติ รอบซองจดหมายถูกรุมล้อมด้วยเปลวไฟ แต่กลับไม่สามารถทำให้ขอบม้วนขึ้นมาได้ พอเห็นแบบนี้พ่อบ้านก็อึ้งก่อน จากนั้นดูเหมือนจะตระหนักอะไรขึ้นได้ จึงหยิบเครื่องมือมาดับไฟในเตาทันที จากนั้นก็สวมถุงมือ หยิบจดหมายฉบับนั้นออกมาด้วยความระมัดระวัง พ่อบ้านเอามาดูใกล้ๆ ก็พบว่าไม่เพียงแต่ซองจดหมายฉบับนี้จะไม่ได้รับความเสียหายถึงขนาดที่ไม่มีแม้แต่ฝุ่นจับ เขาทั้งสงสัยทั้งหวาดกลัว
เขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลบริเวณรอบนอกของคฤหาสน์ลอเรนท์ ทุกวันจะได้รับจดหมายแบบโบราณหลายสิบฉบับ
จดหมายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นแฟนคลับที่บ้าคลั่งพวกนั้นส่งมาจากข้างนอก เหล่าสมาชิกตระกูลลอเรนท์อ่านอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็ไม่ดูอีกต่อไป
พร้อมทั้งบอกว่าต่อไปถ้ามีจดหมายแบบนี้มาอีกก็เอาไปเผาทิ้งให้หมด
ถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญจริงจะไม่มีทางใช้วิธีที่เก่าแก่แบบนี้ในการส่งข่าว
พ่อบ้านจะทำการเผาจดหมายทุกวันจนกลายเป็นความเคยชินนานแล้ว
ส่วนเรื่องในวันนี้เขากลับพบเป็นครั้งแรก
เขาเองก็ไม่เคยได้ยินว่ามีกระดาษอะไรที่เผาไม่ได้
เกิดเป็นของมีพิษอะไรเข้าล่ะ
เกิดเป็นภัยต่อบรรดาคุณหนูคุณชายในคฤหาสน์แบบนั้นจะยิ่งแย่
ในขณะที่พ่อบ้านลังเลว่าจะเอาจดหมายฉบับนี้ส่งขึ้นไปดีหรือไม่นั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งของคฤหาสน์
ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงพูดดังมาจากด้านหลังของเขา “เอาจดหมายในมือมาให้ผม”
พ่อบ้านได้สติกลับมาทันที เขาหันหน้าไปกลับพบว่าเป็นคนที่ไม่รู้จัก แต่เขาสังเกตเห็นตรงแขนเสื้อของอีกฝ่ายปักเป็นรูปดอกไอริสสีทอง
ดอกไอริสสีทองเป็นสัญลักษณ์ของธนาคารลอเรนท์ มีเพียงบ่าวรับใช้ใกล้ชิดภายในคฤหาสน์เท่านั้นถึงจะมีสัญลักษณ์แบบนี้
พ่อบ้านรีบยื่นจดหมายในมือให้
“ค่อยยังชั่ว” บ่าวรับใช้หนุ่มรับไป ถอนหายใจเบาๆ “รู้เสียด้วยว่าพวกคุณจะเผาจดหมาย เลยจงใจใช้วัสดุนาโน”
พ่อบ้านได้ยินก็ทั้งงงทั้งกลัว เขาลองถาม “คุณหมายความว่า…”
“ไม่เกี่ยวกับคุณ” บ่าวรับใช้หนุ่มส่ายมือ “ไปทำงานเถอะ”
หลังจากที่เขานำจดหมายเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อด้วยความระมัดระวังเสร็จก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ เดินผ่านสวนที่อยู่ข้างๆ ไปยังด้านในสุดของของสวนคฤหาสน์แห่งนี้
พ่อบ้านย่อมไม่กล้าตามไป
เขาเองก็ถือเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลลอเรนท์แล้ว ทำงานมาสิบสามปี แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบริเวณสำคัญที่สุดของคฤหาสน์ ได้ยินว่าผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของตระกูลลอเรนท์พักอยู่ที่นั่น อย่าว่าแต่เขาเลย ขนาดสมาชิกคนอื่นในตระกูลก็ยังไม่สามารถเข้าไปโดยพลการได้หากไม่ได้รับอนุญาต
งั้นจดหมายฉบับนั้นก็จะต้องเป็นที่ต้องการของผู้กุมอำนาจแท้จริงอย่างแน่นอน
พอนึกถึงตรงนี้พ่อบ้านก็เหงื่อแตกท่วมตัว
ค่อยยังชั่วที่จดหมายฉบับนั้นไม่ได้รับความเสียหาย ไม่อย่างนั้นเขามีกี่ชีวิตก็ไม่พอชดใช้
…
ประเทศจีนเมืองฮู่เฉิง
เวลาบ่ายสองโมง
ภายในร้านเสริมสวยระดับหรู
ร้านเสริมสวยแห่งนี้บริการเฉพาะเหล่าคุณหนูตระกูลไฮโซเท่านั้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่ถูกเหมาปิดร้าน
ช่างประจำภายในร้านเดินกันหัวหมุน มีทั้งช่างแต่งหน้า ช่างทำหน้า ช่างทำผม เป็นต้น ถืออุปกรณ์อยู่มากมายหลายชิ้น
อิ๋งจื่อจินนั่งอยู่หน้ากระจกแต่งหน้า ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ด้านหลังของเธอเป็นพวกนักเรียนห้องสิบเก้ารวมถึงผู้เฒ่าจง
เธอไม่อยากคุยกับพวกเขาไม่ว่าคนไหนทั้งนั้น ถึงขั้นที่ไม่อยากนึกว่าเธอถูกลากมาที่นี่ได้ยังไง
ตอนเช้าเธอสอนวิชาชีวะให้ห้องสิบเก้าเสร็จ ตอนเที่ยงกำลังฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะ ยังไม่ทันตื่นก็ถูกซิวอวี่กับนักเรียนหญิงอีกคนในห้องลากออกมา บอกว่าจะเลี้ยงของหวานที่เพิ่งออกใหม่
จากนั้นอิ๋งจื่อจินไม่เห็นร้านของหวาน เห็นแต่ผู้เฒ่าจงที่ยืนยิ้มตาหยีให้เธอ รวมถึงช่างเสริมสวยที่เตรียมพร้อมกลุ่มหนึ่ง
หลังจากนั้นเธอก็ถูกลากมานั่งที่เก้าอี้ตัวนี้
“คุณจื่อจินคะ ผิวดีมากเลยค่ะ” ช่างแต่งหน้ามองเด็กสาว ทั้งตะลึงทั้งอิจฉา “เดิมทีคิดว่าจะทำสครับผิวกับเลเซอร์หน้าใสให้ก่อน เห็นทีจะไม่จำเป็นแล้วล่ะค่ะ”
เธอหยิบแผ่นมาร์คหน้าที่อยู่ข้างๆ แทบทนรอไม่ไหว “ฉันจะเติมความชุ่มชื้นให้ผิวคุณก่อนนะคะ จะได้แต่งหน้าง่ายๆ”
อิ๋งจื่อจินหาวออกมา นึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เธอมักนอนดึกบ่อยๆ จึงพยักหน้า
หลังจากเติมความชุ่มชื้นให้ผิวเสร็จ ช่างแต่งหน้าก็เข็นเครื่องสำอางมาแล้วถาม
“คุณจื่อจินอยากแต่งหน้าสไตล์ไหนคะ แนวธรรมชาติ หรือว่าแนวโบฮีเมียนดีคะ”
อิ๋งจื่อจิน “แต่งแนวพังค์ให้หน่อยแล้วกันค่ะ”
ช่างแต่งหน้า “…”
ผู้เฒ่าจงที่ตั้งใจฟัง “…”
อิ๋งจื่อจินมองผ่านกระจกเห็นผู้เฒ่าจงเอามือจับหน้าอก สีหน้าเจ็บปวด เธอจึงชะงักเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนคำพูด “บาโรก”
การแต่งหน้าสไตล์บาโรกมีความเป็นวินเทจสูง และได้รับความนิยมแค่ที่ยุโรป
เนื่องจากต่อให้ใบหน้าจะแค่แบนราบหรือมีริ้วรอยเพียงเล็กน้อย การแต่งหน้าสไตล์บาโรกจะทำให้สภาพดูไม่จืด
ช่างแต่งหน้าทำงานที่นี่มาหลายปี เคยเจอคนที่ขอให้แต่งหน้าสไตล์บาโรกอยู่แค่สองคน ทำให้เธอลืมสไตล์นี้ไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับการแต่งหน้าสไตล์บาโรกเท่าเด็กสาวตรงหน้าอีกแล้ว
ถ่อมตัว หรูหรา สง่างาม ลึกลับ
ช่างแต่งหน้าดวงตาเปล่งประกาย เกิดแรงบันดาลใจจึงเริ่มลงมือทันที
“ชุดออกงาน! ชุดออกงานมาแล้ว!” ครึ่งชั่วโมงต่อมาซิวอวี่ก็ยกลังใบใหญ่มาจากด้านนอก
“พ่ออิ๋ง ดูสิ ฉันซื้อมาให้หลายชุดเลยนะ เธอเลือกเอา”
ขณะพูดก็เปิดลังออก หยิบออกมาให้อิ๋งจื่อจินดูทีละชุด
มีกระโปรงเจ้าหญิงสีน้ำเงินคราม กระโปรงดำแนววินเทจ และยังมีกี่เพ้าตะเข็บข้าง
แต่ละชุดถูกสั่งตัดมาโดยเฉพาะ ราคาเกินล้าน
อิ๋งจื่อจินถอนหายใจช้าๆ “มีแบบไม่โชว์แขนไม่โชว์ขาไหม จะให้ดีเอาแบบที่ปิดคอมิดด้วย”
ลูกน้องเกาหัว ทำหน้างง “หา? งั้นก็มีแค่ชุดคนอาหรับแล้วล่ะ”
ซิวอวี่ “…”
อยากปกปิดหุ่นดีของตัวเองให้มิดชิด เธอที่เป็นผู้หญิงเห็นแล้วยังปวดใจ
แต่ต่อให้พ่ออิ๋งของพวกเขาจะใส่ชุดอาหรับ บุคลิกหน้าตาก็ยังคงเอาอยู่
ซิวอวี่จำต้องเก็บชุดพวกนั้นกลับเข้าลังอย่างจนปัญญา
ทันใดนั้นก็มีพนักงานในร้านวิ่งเข้ามา ในมือมีกล่องสวยใบหนึ่ง “คุณจื่อจินคะ มีคนส่งมาให้ค่ะ”
อิ๋งจื่อจินกำลังแต่งหน้าอยู่ ซิวอวี่จึงช่วยแกะให้
ในนั้นเป็นชุดออกงานสีดำ แต่ไม่ใช่ชุดกระโปรง
ซิวอวี่มองออกตั้งแต่แวบแรกว่าชุดนี้เอาแค่เสื้อตัวบนก็ราคาเกินสิบล้านแล้ว
รวมกับเพชรและวัสดุอื่นๆ ที่อยู่บนตัวชุด ทั้งหมดต้องเกินร้อยล้านแน่นอน
ราคาขนาดนี้ใครส่งมา
ถึงแม้ซิวอวี่จะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถาม “พ่ออิ๋ง บังเอิญจริง ชุดนี้เหมือนที่เธอต้องการ เดี๋ยวเธอแต่งหน้าเสร็จฉันช่วยใส่”
…
ณ หอประชุมใหญ่ฮู่เฉิง
คอนเสิร์ตเริ่มหนึ่งทุ่ม บ่ายสี่โมงก็มีแฟนคลับจำนวนมากมาต่อแถวแล้ว
แฟนคลับส่วนใหญ่มาฟังคอนเสิร์ตของอิ๋งลู่เวยเป็นครั้งแรก ตอนหกโมงที่ปล่อยให้เข้าไปต่างก็แทบทนรอไม่ไหว
ด้านหลังเวที
อิ๋งลู่เวยกำลังส่องกระจกแต่งหน้า แต่สีหน้ากลับดูแย่
เดิมทีเธอนัดร้านเสริมสวยไว้แล้ว แต่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนทางร้านกลับแจ้งเธอว่าบริการเธอไม่ได้แล้ว
เธอจะเพิ่มเงินให้แต่ทางร้านก็ไม่เปลี่ยนใจ
เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เธอหาช่างแต่งหน้าคนอื่นไม่ได้ก็เลยต้องแต่งหน้าเอง
จงมั่นหวาอยู่ข้างๆ นั่งไม่เป็นสุข ร้อนใจเหลือเกิน
เธอเจตนาเลี่ยงเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอิ๋งจื่อจินมาตลอด
ระยะนี้ชิงจื้อไม่โทรหาเธอ เธอเองก็รู้สึกโล่งอก
นึกไม่ถึงว่าอิ๋งลู่เวยจะโยนระเบิดแบบนี้มาให้เธอ
จงมั่นหวามาถึงหอประชุมใหญ่แล้วถึงได้รู้เรื่องทั้งหมด อยากกลับก็ทำไม่ได้แล้ว
พอเธอนึกได้อีกว่ายังจะมีคนดังจำนวนไม่น้อยมางานด้วย แถมมีถ่ายทอดสดออนไลน์ภายในอกของเธอก็ปั่นป่วนเหลือเกิน
เดิมทีจงมั่นหวาคิดว่าอิ๋งลู่เวยใจดีอยากให้โอกาสอิ๋งจื่อจินได้ทำความรู้จักกับคนดัง ถ้าเป็นแบบนั้นตอนนี้เธอก็สามารถปฏิเสธได้โดยตรง
นึกไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินจะเป็นฝ่ายต้องการมาเอง
“พี่สะใภ้ใหญ่ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ” อิ๋งลู่เวยใช้หางตาเหลือบมองจงมั่นหวาอยู่ตลอด แสร้งทำเป็นเหมือนไม่สนใจ “ไปโรงพยาบาลไหมคะ”
“ก็แค่ปวดท้องนิดหน่อยตามเคย” จงมั่นหวาย่อมไม่มีทางบอกความคิดตัวเองที่ไม่อยากดูอิ๋งจื่อจินแสดง “ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“พี่สะใภ้ใหญ่ต้องรักษาสุขภาพให้มากๆ นะคะ” อิ๋งลู่เวยแต่งหน้าเสร็จก็ลุกขึ้น “คอนเสิร์ตจะเริ่มแล้ว ฉันพาพี่สะใภ้ไปนั่งดีกว่าค่ะ”
พอได้ยินแบบนี้จงมั่นหวาก็กำสายกระเป๋าแน่น
ทั้งสองคนเดินออกไปนอกห้อง เจอกับชาวต่างชาติคนหนึ่ง
“คุณคือคุณบาร์ตใช่ไหมคะ” อิ๋งลู่เวยอึ้งก่อน จากนั้นก็ตื่นเต้นดีใจพูดเป็นภาษาอังกฤษ
“คุณให้เกียรติมางานคอนเสิร์ตของฉัน ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะ พอคอนเสิร์ตจบรบกวนช่วยชี้แนะฉันหน่อยได้ไหมคะ”
“ผมรู้จักมักคุ้นกับคุณเหรอ” ถูกเบิร์กลากมา เดิมทีบาร์ตก็ไม่พอใจอยู่แล้ว จึงยิ่งไม่มีความอดทนพูดดีกับอิ๋งลู่เวย มองข้ามเธอทันทีมองไปด้านหลัง “นักเปียโนอีกคนล่ะ ยังไม่มาเหรอ”