ชาวต่างชาติมีนิสัยพูดตรงไปตรงมา
โดยเฉพาะคนทำงานศิลปะ ใครที่ทำให้พวกเขาหมดความสนใจ แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย
สีหน้าของอิ๋งลู่เวยแดงก่ำขึ้นมาทันที
เธอยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น ใบหน้าร้อนผ่าว
นอกจากหน้าเสีย ที่มากกว่านั้นคือความตะลึง
ไหนผู้จัดการส่วนตัวของเธอบอกว่า บาร์ต เฮเบอร์ ตอบรับคำเชิญของเธอ แต่นี่ทำไมมาเพราะอิ๋งจื่อจินล่ะ
อิ๋งจื่อจินมีความสามารถมีคุณสมบัติถึงขั้นทำให้นักเปียโนที่มีชื่อเสียงระดับโลกเดินทางมาจากยุโรปเป็นการเฉพาะเลยเหรอ
เธอไม่มีทางเชื่อ
จงมั่นหวากลับอึ้ง “คุณบาร์ตว่าอะไรนะคะ”
“อีกคนล่ะ! นักเปียโนอีกคนล่ะ!” บาร์ตมองหาที่ด้านหลังหนึ่งรอบแต่ก็ไม่เห็นใคร จึงหันกลับไปตะโกนด้วยความโมโห “เบิร์ก เจ้าโง่ นักเรียนหญิงที่นายบอกว่าวาดภาพได้ดีกว่านายไม่ได้อยู่ที่นี่”
ตรงทางเลี้ยว เบิร์กเดินถือไอศกรีมมาถ้วยหนึ่ง ท่าทางมีความสุข “ขอบคุณที่ช่วยหานะ”
บาร์ต “…”
เขากะแล้ว พวกจิตรกรน่ะแล้วแต่อารมณ์!
จงมั่นหวาทั้งมึนหัวทั้งงง ไม่ค่อยเข้าใจว่าบาร์ตพูดอะไร
นักเรียนหญิงที่เก่งกว่าเบิร์กงั้นเหรอ
อิ๋งจื่อจินเหรอ
จะเป็นไปได้ยังไง
“ไปๆ” บาร์ตไม่อยากอยู่ตรงนี้แม้แต่วินาทีเดียว เหลือบมองอิ๋งลู่เวยแวบหนึ่ง
“บาร์ต อย่าลืมนะ เดี๋ยวช่วยฉันเกลี้ยกล่อมอาจารย์อิ๋งด้วย”
“รู้แล้วๆ น่ารำคาญ”
“คุณเบิร์กคะ รอเดี๋ยวค่ะ รบกวนรอก่อนค่ะ” จงมั่นหวารีบวิ่งตามไป “คราวก่อนคุณเบิร์กไปที่ชิงจื้อไม่ใช่เพราะเรื่องมีคนทุจริตเหรอคะ”
“ทุจริตเหรอ” เดิมทีเบิร์กก็ไม่อยากสนใจ แต่พอได้ยินประโยคนี้ก็จำต้องหยุดเดิน โมโหควันออกหู “คุณกล้าดูถูกอาจารย์อิ๋งเลยเหรอ ถ้าอย่างอาจารย์อิ๋งทุจริต ผมก็ไม่คู่ควรวาดภาพแล้ว!”
“ไม่ต้องมาคุยกับผม ออกไปๆๆ”
เขาโมโหมาก ผลักจงมั่นหวาออก
อิ๋งลู่เวยรีบเข้าไปช่วยประคอง “พี่สะใภ้!”
จงมั่นหวากลับยังไม่ได้สติกลับมา ยืนงงอยู่ตรงนั้น
อาจารย์อิ๋ง!
ศาสตราจารย์ชื่อดังของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลเรียกอิ๋งจื่อจินว่าอาจารย์อิ๋ง!
ถึงแม้ภาษาอังกฤษของเธอจะถึงระดับแค่สื่อสารในชีวิตประจำวันได้ แต่ก็ไม่มีทางฟังผิด
จงมั่นหวานึกถึงตอนนั้นที่มีคนบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนโทรมาหาเธอ นั่นก็เรียกแบบนี้เหมือนกัน เธอยังคิดว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋น
ปรากฏว่าตระกูลอิ๋งของพวกเธอมีอาจารย์อิ๋งจริงๆ!
จงมั่นหวาไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก เธอลนลานรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วค้นเบอร์ที่เธอเคยบล็อกไว้ จากนั้นก็กดโทร
หลังจากเสียงสัญญาณดังสามครั้งก็มีคนรับ
หัวใจของจงมั่นหวาเต้นแรง “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ ฉันเป็นแม่ของอาจารย์อิ๋ง ก่อนหน้านี้พวกคุณ…”
ตู๊ดๆๆ
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบอีกฝ่ายก็วางสายทันที
พอจงมั่นหวากดโทรไปอีกครั้งกลับสายไม่ว่าง
เธอถูกบล็อกเบอร์แล้ว
จงมั่นหวามองโทรศัพท์มือถืออย่างอึ้งๆ ใบหน้าเริ่มแดงด้วยความอับอาย
ความเสียใจที่ไม่เคยมีมาก่อนทะลักเข้ามาเต็มหัวใจของเธอ ทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
เธอแทบจะคิดได้เลยว่า ตอนนั้นหากเธอไม่คิดว่าโทรศัพท์สายนี้เป็นนักต้มตุ๋น ตอนนี้เธอก็สามารถไปนั่งดื่มน้ำชาพูดคุยกับพวกปรมาจารย์ด้านภาพเขียนอักษรพู่กันของจีนไปแล้ว
เรื่องแบบนี้ใช่ว่าเธอจะไม่เคยวาดฝัน อย่างไรเสียเธอก็สนใจภาพเขียนอักษรพู่กันเป็นอย่างมาก
แต่เรื่องที่น่าเสียดายคือ ไม่ว่าจะเทียนลี่ว์หรือเสี่ยวเซวียน ต่างมีพรสวรรค์ในด้านนี้ไม่สูงนัก
จงมั่นหวาจำต้องถอดใจ
แต่ตอนนี้เธอปฏิเสธโอกาสที่มาถึงตรงหน้าไปแล้ว ถึงขนาดที่ยังล่วงเกินสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนอีกด้วย
แต่อิ๋งจื่อจินวาดภาพเก่งได้อย่างไร
ภายในสมองของจงมั่นหวาตีกันยุ่งเหยิง ในใจก็รู้สึกเสียใจยิ่งกว่าเดิม
อิ๋งลู่เวยทั้งสงสัยทั้งกังวล “พี่สะใภ้ใหญ่?”
“…ไม่เป็นไร” จงมั่นหวาค่อยๆ ได้สติกลับมา “ลู่เวย ไปกันเถอะ”
…
ใกล้ถึงเวลาหนึ่งทุ่ม
ภายในหอประชุมใหญ่มีคนนั่งอยู่เต็ม
การถ่ายทอดสดออนไลน์ได้เริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้มีผู้เข้าชมอยู่ที่หนึ่งแสนสองหมื่น
รวมกับแฟนคลับที่มาชมในงานคอนเสิร์ตวันนี้ นี่คือแฟนคลับที่มีตัวตนจริงๆ ของอิ๋งลู่เวย
ผู้เฒ่าจง เจียงหราน ซิวอวี่ และคนอื่นๆ ต่างนั่งอยู่แถวหน้า จงมั่นหวาก็ย่อมอยู่ด้วย เพียงแต่นั่งห่างออกไปไกลมาก
ที่นั่งข้างผู้เฒ่าจงว่างอยู่หนึ่งที่ ตำแหน่งที่นั่งตรงนี้เป็นทำเลทอง
“เสี่ยวหราน แม่เราจะมาเหรอ”
“เปล่าครับ” สีหน้าของเจียงหรานชะงักไปชั่วขณะ “แม่ผมกลับตี้ตูไปแล้วครับ”
“งั้นก็น่าแปลก” ผู้เฒ่าจงสงสัย “ตรงนี้…”
“ปู่จง”
เสียงเนือยดังมาจากเหนือศีรษะ เจือไปด้วยอารมณ์หยอกล้อ
พอเห็นคนที่เพิ่งมาถึง ผู้เฒ่าจงก็เอามือจับตรงหน้าอก “ไอ้เด็กหน้าเหม็น ทำไมร้ายกาจเหมือนปู่ตัวเอง ชอบทำให้ตกใจ”
ฟู่อวิ๋นเซินคลายคอเสื้อ นั่งลงข้างผู้เฒ่าจง พูดลากเสียง “กรรมพันธุ์ข้ามรุ่นมั้งครับ”
ผู้เฒ่าจงทำเสียงฮึดฮัด มองเวทีตรงหน้าไม่สนใจเขา
ม่านถูกเปิดออก บนเวทีมีเปียโนที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น ข้อความวิ่งบนหน้าจอไลฟ์สดก็เริ่มมากขึ้นเช่นกัน
[กรี๊ดดด ได้ยินมานานแล้วว่าเปียโนของลู่เวยเป็นของแบรนด์ฟาซิโอลี่ ในที่สุดวันนี้ก็ได้เห็นของจริงแล้ว]
[เปียโนแบบนี้มีอยู่ในฮอลล์คอนเสิร์ตชื่อดังระดับโลกในยุโรปแค่ไม่กี่ที่ ลู่เวยของพวกเราสุดยอดเลยจริงๆ!]
[กะคร่าวๆ นะ เปียโนหลังนี้น่าจะอยู่ที่สามล้าน ก็คงมีแค่ลู่เวยที่เกิดในตระกูลเศรษฐีแบบนี้แหละถึงจะครอบครองได้ ส่วนบางคนน่ะนะ จึ๊]
[แจ้งเตือน! แจ้งเตือน! สามเพลงแรกลู่เวยเป็นคนเล่น รวมเวลาเกริ่นนำแนะนำอะไรอีกทั้งหมดก็ประมาณสี่สิบนาที จากนั้นก็จะถึงเวลาของใครบางคนแล้ว]
บาร์ตที่นั่งอยู่ข้างล่างเดิมทีก็ไม่ได้สนใจอะไรในตัวลู่เวย เขาหาวอยู่ตลอด
จนกระทั่งเปียโนตัวนี้ปรากฏ ในที่สุดเขาถึงเริ่มตื่นตัวขึ้นมาบ้าง
ที่นั่งด้านข้างของเขาเป็นจั๋วหลานหันกับเชออวี้ ซึ่งทั้งสองคนก็อายุเกินครึ่งร้อยแล้ว
เชออวี้เองก็รู้สึกสนใจเปียโนตัวนี้มาก และก็คาดหวังในการแสดงต่อจากนี้ของอิ๋งลู่เวยเป็นอย่างสูง
แต่เขาเพิ่งฟังเพลงแรกไปได้หนึ่งท่อนก็หลับไปโดยไร้ความสนใจแล้ว
จั๋วหลานหันก็เริ่มขมวดคิ้วหลังจากที่เพิ่งฟังได้ท่อนเดียว
เธอยิ่งฟัง คิ้วก็ยิ่งขมวดหนักขึ้น สีหน้าก็ขรึมลง
จนกระทั่งเมื่ออิ๋งลู่เวยเริ่มเพลงที่สาม จั๋วหลานหันก็ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว “ฝีมือแค่นี้เหรอ”
คำพูดสั้นๆ นี้ได้ปลุกเชออวี้ที่กำลังสะลึมสะลือให้ตื่นขึ้น “เอ่อ อาจารย์จั๋ว ขอโทษทีครับ ผมฟังจนหลับไปเฉยเลย”
จั๋วหลานหันส่ายหน้า “ดีแล้วที่คุณหลับไป ไม่อย่างนั้นหูคงมีมลทิน”
ถ้าเป็นแค่คนฝึกเล่นเปียโนทั่วไป เล่นได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งแล้ว เธอไม่มีทางตระหนี่คำชม
แต่นี่คือนักเปียโน!
จั๋วหลานหันแค่ฟังก็ตัดสินระดับฝีมือการเล่นเปียโนของอิ๋งลู่เวยได้ในทันที
“อ่อๆ” เชออวี้ได้ยินแบบนี้ก็หลับตาลงอีกครั้ง “อาจารย์จั๋วครับ งั้นผมขอนอนต่ออีกหน่อย เมื่อวานผมสอนนักเรียนจนถึงตีสอง รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย”
จั๋วหลานหันพยักหน้า ข่มอารมณ์ฟังต่อ
บรรดาแฟนคลับส่วนใหญ่เป็นคนนอกวงการ ฟังแล้วกลับตื่นเต้นมาก
[เพราะมากเลย ลู่เวยของพวกเราสมกับเป็นวีร่า โฮลท์ซ]
[อืม พูดตามตรงนะฉันแอบผิดหวังนิดหน่อย เดิมทีที่ฉันเป็นแฟนคลับลู่เวยเพราะเธอเล่นเปียโนเก่ง แต่ฟังครั้งนี้มันรู้สึกไม่เหมือนที่คิดไว้]
[คอมเมนต์ก่อนหน้า ลู่เวยพยายามฝึกแล้ว และก็ตั้งใจเตรียมคอนเสิร์ตครั้งนี้ให้พวกเรามาก ทำไมถึงดูถูกความพยายามของเธอแบบนี้ล่ะ]
อิ๋งลู่เวยเล่นรวดเดียวสามเพลง เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก
เธอพักชั่วครู่แล้วถึงยืนขึ้น รับไมโครโฟนมาจากมือพิธีกร “ขอบคุณทุกท่านที่ยินดีมาฟังคอนเสิร์ตของฉันนะคะ และก็ขอขอบคุณอาจารย์จั๋วกับอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่มาด้วยค่ะ”
“แต่วันนี้ไม่ใช่คอนเสิร์ตของฉันแค่คนเดียว ฉันยังอยากแนะนำให้ทุกท่านรู้จักหลานสาวของฉัน คุณหนูรองตระกูลอิ๋ง อิ๋งจื่อจินค่ะ”
“เธอเรียนเปียโนกับฉันมาหนึ่งปี ถึงแม้จะเป็นเวลาไม่นาน สู้คนอื่นไม่ได้ แต่ฉันไม่อยากให้เธอพลาดโอกาสดีที่ได้แสดงความสามารถแบบนี้ ขอทุกท่านให้โอกาสเธอด้วยนะคะ”
พอพูดจบแฟนคลับด้านล่างก็ส่งเสียงโห่
จั๋วหลานหันหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิม “คนพวกนี้มีจิตสำนึกในการฟังดนตรีบ้างไหม”
ส่งเสียงเอะอะ ไร้มารยาท
เธอไม่ควรมาเลยจริงๆ
แต่เสียงเอะอะนี้คงอยู่ได้ไม่นาน ทันใดนั้นภายในหอประชุมก็เงียบสนิท ข้อความวิ่งบนหน้าจอไลฟ์สดก็หยุดไปชั่วขณะ
เด็กสาวขึ้นเวทีจากทางด้านขวาอย่างไม่รีบร้อน
เธอสวมชุดสไตล์วินเทจแบบโบราณ แต่งตัวเรียบง่าย ไม่ได้มีการแต่งเติมอะไรที่เป็นส่วนเกิน แต่กลับเหมือนเจ้าหญิงยุโรปที่เดินออกมาจากภาพวาดสีน้ำมัน
เด็กสาวเดินธรรมดาแต่กลับสง่างาม
วินาทีที่เธอเงยหน้าขึ้น อิ๋งลู่เวยได้กลายเป็นฉากประกอบทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าแฟนคลับของอิ๋งลู่เวยได้เห็นโฉมหน้าของอิ๋งจื่อจิน
[…]
ข้อความประชดประชันบนหน้าจอถ่ายทอดสดหายไปจนเกลี้ยง
อิ๋งลู่เวยไม่ต้องดูบนหน้าจอ แค่เธอมองสีหน้าของผู้ชมที่อยู่ด้านล่างก็รู้แล้ว รอยยิ้มตรงมุมปากแทบจะประคองไม่อยู่อีกต่อไป
ชุดกระโปรงที่เธอสั่งตัดมาในราคาสูงยังสู้ชุดดำทั้งตัวชุดนี้ของอิ๋งจื่อจินไม่ได้
ด้านล่างเวที
สายตาของฟู่อวิ๋นเซินหยุดที่เสื้อของเด็กสาวครึ่งวินาทีก็รีบละออก
พลาดแล้ว
เลือกผิด
นึกไม่ถึงว่าชุดออกงานที่รัดกุมแบบนี้จะปกปิดได้ไม่ดีเท่าไร
ผู้เฒ่าจงภูมิใจมาก “หลานตาสวยจริงๆ”
ในที่สุดอิ๋งลู่เวยก็หาเสียงของตัวเองเจอท่ามกลางบรรยากาศที่กระอักกระอ่วน “เสี่ยวจิน ไม่ต้องตื่นเต้นนะ ทำเหมือนที่อาเคยสอนเมื่อก่อนนี้ ตั้งสมาธิให้ดีจะได้เล่นได้อย่างราบรื่น”
อิ๋งจื่อจินไม่มองเธอ
อิ๋งลู่เวยก็ไม่โกรธ แค่มองด้วยความสงสัย “เสี่ยวจิน หลานไม่ได้เตรียมเปียโนของตัวเองมาเหรอ”
นิ่งไปเล็กน้อย ทำสีหน้าจนปัญญา “ถ้าอารู้ว่าเราไม่ได้เตรียมไว้คงช่วยเตรียมให้ไปแล้ว”
ในที่สุดอิ๋งจื่อจินก็เหลือบมองเธอ
อิ๋งลู่เวยถอนหายใจ “ขอโทษด้วยจริงๆ นะ เปียโนตัวนี้ราคาแพงมาก อาให้เธอยืมไม่ได้หรอก ไม่งั้นเราใช้เปียโนสำรองของที่นี่ไปก่อนไหม”
แฟนคลับที่ดูออนไลน์ในที่สุดก็จับสังเกตได้แล้ว
[เดี๋ยวนะ ไม่มีเปียโนของตัวเองเหรอ งั้นยังจะเล่นอะไรได้]
[ให้ยืมไม่ได้อยู่แล้ว เธอฝีมือเท่าอิ๋งลู่เวยหรือไง เปียโนหลังนี้ตั้งแพง เกิดพังไปจะทำไง]
[ไม่มีแม้แต่เปียโน งั้นก็เชิญลงไปเถอะ ให้ลู่เวยเล่นต่อ]
[คุณภาพของเปียโนส่งผลต่อคุณภาพของการเล่น แต่ก็นะ เธอใช้เปียโนไฟฟ้าก็พอแล้วมั้ง ยังไงก็เล่นอะไรไม่ได้]
ฟู่อวิ๋นเซินยกมือกดหูฟังบลูทูธที่อยู่ในหูขวา
เขามองเวที สายตาเรียบเฉย พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ยกขึ้นมา”