เธอยังคงสวมชุดที่ใช้ขึ้นแสดง ทรงผมและการแต่งหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
แต่ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวแทบกองรวมกัน แตกต่างจากภาพลักษณ์แสนดีอ่อนโยนสวยสง่างามที่เธอวางไว้อย่างสิ้นเชิง
ตอนเย็นมีคนเล่นเวยปั๋วจำนวนมาก ชาวเน็ตหลายคนวิ่งมามุงดูอย่างไม่หยุดหย่อน
พอเห็นหลักฐานที่มัดแน่นขนาดนี้ต่างก็ตะลึง
[เอากรรไกรตัดสายไฟเลยเหรอ แบบนี้…ผีขี้อิจฉาเข้าสิงร่างเหรอ]
[โอ้โห น่ากลัวมาก นางมาร แบบนี้ยังจะเรียกว่านักเปียโนสาวสวยอีกเหรอ มีนักเปียโนคนไหนบ้างเป็นแบบนี้]
[ลูกศิษย์เล่นได้เก่งกว่าตัวเองแล้วไงอะ ไม่ควรจะรู้สึกดีใจเหรอ]
[คอมเมนต์บน เธอคงไม่รู้จริงๆ สินะว่าน้องคนนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ แต่ยัยนั่นพูดอย่างไม่อายปากว่าตัวเองเป็นคนสอนมา ตอนนี้ถูกแฉเลยไงล่ะ]
จากนั้นก็มีชาวเน็ตคนหนึ่งช่วยสรุปให้
[คือเรื่องเป็นแบบนี้ อิ๋งลู่เวยตั้งค่าบัตรคอนเสิร์ตตัวเองไว้สูงมาก ทั้งยังบอกกับแฟนคลับตัวเองว่าจะให้หลานสาวขึ้นแสดง
หลานสาวคนนี้เคยถูกแฟนคลับของอิ๋งลู่เวยลากมาด่าหลายครั้ง ตอนแรกก็ไม่มีอะไร ต่อมาน้องเขาเลยเอาเรื่องจนส่งแฟนคลับของอิ๋งลู่เวยเข้าคุก
พวกแฟนคลับเกลียดหลานสาวคนนี้ของอิ๋งลู่เวยมาก หลังจากที่รู้ว่าน้องคนนี้จะมาก็พากันกระแนะกระแหนยกใหญ่ บอกว่าอย่ามาเลย เดี๋ยวทำขายหน้า
แต่มาดูตอนนี้ คนที่ทำให้อาจารย์จั๋วหลานหันพูดออกมาได้ว่า ‘ดูถูกเปียโน’ คนที่ขายหน้าอย่างแท้จริงเป็นใครคงไม่ต้องบอกแล้ว]
[ยังดูคอนเสิร์ตออนไลน์อยู่ เอาจริงเลยนะ อิ๋งลู่เวยเล่นเพลงตะวันกับจันทราไม่ได้ แต่กลับเป็น ‘ลูกศิษย์’ ของเธอที่เล่นได้
เรื่องสำคัญที่สุดคือ น้องคนนี้ไม่ได้เล่นแค่เพลงตะวันกับจันทรา ยังเล่นอีกสองเพลงของวีร่า โฮลท์ซด้วย ฉันขอไปสงบใจ]
ชาวเน็ตไม่มีความทรงจำ แต่โลกไซเบอร์มี
มีชาวเน็ตแคปภาพจากเวยปั๋วของอิ๋งลู่เวยแล้วสรุปรวมโพสต์ออกมา
โดยเฉพาะประโยคนั้น…
‘ลู่เวยจะเล่นเพลงตะวันกับจันทรา แล้วเธอล่ะจะเล่นเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์หรือเพลงบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์ หรือว่าจะเล่นทั้งสองเพลงเลยล่ะ’
[ตลกเป็นบ้า ทำไมแฟนคลับของอิ๋งลู่เวยชอบขออะไรก็ได้แบบนั้นนะ ขอถามหน่อย หน้าพวกเธอยังอยู่ปกติดีไหม]
[และที่น่าขำที่สุดคือ นี่เป็นมีดที่อิ๋งลู่เวยยื่นใส่คนอื่น แต่กลับถูกแฟนคลับตัวเองเอามาแทง]
[เอาแค่นี้ยังจะเป็นแฟนคลับลงอีกเหรอ]
กระแสในเวยปั๋วใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ บรรดาแฟนคลับก็เป็นเจ้าของเหตุการณ์ ย่อมไม่มีทางไม่เห็น
และสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือ ไม้กระบองหวดเข้าที่หัว เอาให้มึนไปตามๆ กัน
แอทจอมแฉสะท้านโลกไซเบอร์ : [มีคนใจดีคาบข่าวมาบอกอีกแล้ว จอมแฉจะมาแชร์ต่อเลยนะ]
คราวนี้สิ่งที่แนบมาเป็นไฟล์เสียง
‘อย่าให้พูดเลย ฉันล่ะยอมใจแฟนคลับของฉันจริงๆ แต่ละคนโง่เสียยิ่งกว่าโง่ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาประสาทแดกไปถล่มเวยปั๋วของอิ๋งจื่อจิน ฉันจะถึงกับต้องหยุดเล่นเวยปั๋วเหรอ’
‘แต่ก็ช่างมันเถอะ เด็กประถมเด็กมัธยมพวกนี้ล้างสมองง่าย แค่โพสต์แก้นิดหน่อยพวกเขาก็เชื่อแล้ว จึ๊ โง่กันจริงๆ’
นี่เป็นเสียงของอิ๋งลู่เวย
ข้างใต้เสียงบันทึกยังมีภาพยืนยันว่าเป็นเสียงจริง
เวยปั๋วโพสต์นี้ต่างหากที่ทำให้พวกแฟนคลับพากันถอนตัวอย่างแท้จริง
ภายในหอประชุมใหญ่ฮู่เฉิง
ผู้จัดการส่วนตัวของอิ๋งลู่เวยได้แต่มอง #แฟนคลับอิ๋งลู่เวยถอนตัวกลับมากระทืบซ้ำ# แท็กนี้ขึ้นอันดับหนึ่ง
กลุ่มแฟนคลับที่อยู่ในกลุ่มเวยปั๋วถอนตัวกันออกไปมาก
ครั้งนี้เป็นแบบที่ว่าไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
[คืนนี้ฉันอดร้องไห้ไม่ได้ เสียใจมากจริงๆ พวกเราปกป้องเธอขนาดนั้น แต่เธอกลับมองแฟนคลับอย่างพวกเราเป็นคนโง่!]
[ทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง ภาพลักษณ์กลวงๆ ฝีมือเล่นเปียโนก็ปลอม แม้แต่ความเป็นห่วงเป็นใยที่มีให้ตอนปกติก็เสแสร้ง!]
[ในสายตาของเธอพวกเราเป็นแค่ต้นกุยช่ายใช่ไหม ตัดทิ้งเดี๋ยวก็งอกใหม่ ตอนเย็นฉันมีเรียนเลยไปดูคอนเสิร์ตไม่ได้ อุตส่าห์ซื้อตั๋วออนไลน์มาตั้งสิบใบ หึหึ เสียหมาเลย]
อิ๋งลู่เวยยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเน็ต
เธอนั่งหมดแรงอยู่บนเก้าอี้เปียโน ไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้น
เธอเห็นบรรดานักเปียโนชื่อดังที่เธอเชิญมามีสายตาเย็นชาและรังเกียจ
และก็เห็นเหล่าแฟนคลับที่จงรักภักดีต่อเธอ ไม่แม้แต่จะมองเธอตอนลุกออกจากที่นั่ง
มือเท้าของอิ๋งลู่เวยเย็นเฉียบ เธอเงยหน้าทั้งที่ตัวสั่น หันขวับไปมองอิ๋งจื่อจิน ดวงตาแดงก่ำ “เธอจงใจ…เธอจงใจ!”
มิน่าอิ๋งจื่อจินถึงรับปากเธอ เป็นเพราะรอเธออยู่ก่อนแล้ว!
อิ๋งจื่อจินไม่มองอิ๋งลู่เวยอีกต่อไป เธอรับเสื้อคลุมมาจากฟู่อวิ๋นเซินแล้วเดินลงไป
จากนั้นพนักงานทั้งสี่คนก่อนหน้านี้ก็มายกเปียโนสีทองลงไป
“ลู่เวย…” ผู้จัดการส่วนตัวเดินขึ้นเวที น้ำเสียงเหนื่อยล้าเต็มที “ครั้งนี้หมดหนทางแล้วจริงๆ”
เขายื่นโทรศัพท์มือถือไปตรงหน้าอิ๋งลู่เวยเพื่อให้เธอดูเวยปั๋ว
[แอทอิ๋งลู่เวย ขยะ ฉันจะฟ้องเธอข้อหาหลอกลวง รอได้เลย!]
[แอทอิ๋งลู่เวย ฉันจะคิดเสียว่าตัวเองตาบอดที่เคยชอบผู้หญิงเลวอย่างเธอ]
[แอทอิ๋งลู่เวย ได้ยินว่าเป็นโรคฮีโมฟีเลียเหรอ คุณหนูไฮโซหลอกเอาเงินเด็กนักเรียน หวังว่าโรคภัยจะเอาชนะเธอได้ในเร็ววัน]
หลังจากเห็นโพสต์แฉในเวยปั๋ว ดวงตาของอิ๋งลู่เวยก็เบิกโพลง กรีดร้อง “นี่มันอะไร เร็วเข้า! รีบลบทิ้งสิ!”
คำพูดที่เธอคุยเป็นการส่วนตัวกับผู้จัดการแบบนี้ ทำไมถึงถูกอัดเสียงได้!
“ลู่เวย ไม่มีประโยชน์แล้ว” ผู้จัดการส่วนตัวส่ายหน้าอย่างหมดแรง “แฟนคลับของคุณถอนตัวไปหมดแล้ว แถมยังจะล่ารายชื่อมาฟ้องคุณข้อหาหลอกลวงด้วย”
เขาถอนหายใจอีกครั้ง แข้งขาก็อ่อนแรงเช่นกัน
อิ๋งลู่เวยเป็นสาวไฮโซอันดับหนึ่ง อิทธิพลทุกด้านต่างช่วยปกป้องเธอ ใครจะไปคิดว่าจะมีวันนี้
อีกทั้งเรื่องทั้งหมดยังระเบิดออกมาในเวลานี้ด้วย
ออกจะแปลกไปสักหน่อย
ผู้จัดการส่วนตัวมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องที่เป็นประเด็นอย่างแท้จริงยังมาไม่ถึง
…
นอกหอประชุม
เหล่าแฟนคลับไม่มีหน้าอยู่ต่อไป ต่างลุกออกกันหมด
“พ่ออิ๋ง สุดยอดไปเลย” ซิวอวี่ยกนิ้วโป้งให้ “เดิมทีฉันคิดว่าเธอจะเล่นส่งเดชแค่เพลงเดียว ปรากฏว่าเล่นรวดเดียวเลยสามเพลง”
อิ๋งจื่อจินหาวออกมา “เอาให้พวกเขาพอใจ”
เธอเล่นส่งเดชจริงๆ
หมอดูไม่ทำนายให้ตัวเอง
ถ้าตอนนั้นรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ตอนนั้นเธอไม่เขียนเพลงหรอก
“สาวน้อย” จั๋วหลานหันเดินออกมาจากอีกด้าน ยิ้มให้อย่างใจดี “มีเวลาคุยกันหน่อยไหมจ๊ะ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า ยังไม่ทันจะพูดก็มีเสียงตะโกนด้วยความโมโห
“ยายจั๋ว!” เซิ่งชิงถังรีบวิ่งมา “อย่ามาแย่งคนของฉัน สมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนของเราจองตัวไว้แล้ว ห้ามยุ่ง”
“ฉันก็คิดว่าใคร ที่แท้ก็ตาแก่หัวดื้อ” จั๋วหลานหันกวาดตามองเขา ยิ้มพลางพูด “อย่าลืมนะว่า ก่อนหน้านี้คุณพูดกับฉันไว้ว่าให้ฉันมาชมคอนเสิร์ต”
เซิ่งชิงถังโมโหสุดๆ
เดิมทีเขาแค่ตั้งใจว่าจะหาคนมาช่วยเป็นกำลังใจให้หมอเทวดา ใครจะไปรู้ว่าจะเป็นแบบนี้
เขารู้จักกับจั๋วหลานหันมาหลายปี รู้ว่าเธอเป็นคนอ่อนโยนมาตลอด แต่ถ้าหัวรั้นขึ้นมาใครก็เอาไม่อยู่
“ไม่ถูกๆ!” เบิร์กร้อนใจ “ทำไมถึงกลายเป็นคนของสมาคมอักษรพู่กันไปแล้วล่ะ นี่เป็นคนของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลนะ”
“ออกไปๆๆ ใช่ธุระของพวกฝรั่งอย่างคุณเหรอ” โผล่มาอีกคนแล้ว เซิ่งชิงถังโมโหยิ่งกว่าเดิม “คนยุโรปไม่มีเหรอ ทำไมต้องมาแย่งคนจีนด้วย”
“แล้วไงล่ะ ดนตรีไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ”
บาร์ตฟังแล้วก็อึ้ง
โอ้ก็อด
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเบิร์กต้องลากเขามาให้ได้ จะแย่งตัวกันจริงๆ เหรอ
“อาจารย์ทุกท่านใจเย็นๆ ครับ” ฟู่อวิ๋นเซินยกมือ “วันนี้ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงฉลอง ถ้าอาจารย์ทุกท่านไม่รังเกียจก็เชิญมานะครับ ไว้ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันครับ”
เดิมทีเซิ่งชิงถังยังอยากพูดต่อ แต่เห็นอิ๋งจื่อจินกำลังจะหลับแล้วจึงไม่พูด
“ตาแก่หัวดื้อ ฝากไว้ก่อนเถอะ” เบิร์กทิ้งคำพูดไว้ “ผมจะโทรหาเพื่อนร่วมงานคนอื่นอีก”
ฟู่อวิ๋นเซินเอามือประคองศีรษะของอิ๋งจื่อจินออกจากบ่าของเขา “เยาเยา ไปแล้ว กลับไปนอนบ้าน”
ดวงตาหงส์ของอิ๋งจื่อจินสะลึมสะลือ พูดเสียงเบา “อืม คุณช่วย…”
สายตาของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก ชั่วขณะที่เงยหน้าสีหน้าของเขาก็เรียบเฉย “ตรงนี้คนเยอะเกินไป”
อิ๋งจื่อจินนวดหัว
แย่จัง ต้องเดินเองอีกแล้ว
“ไปๆๆ” ผู้เฒ่าจงอารมณ์ดี เห็นหมูก็ยังไม่ขัดหูขัดตา “พรุ่งนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“จื่อจิน!” ในที่สุดจงมั่นหวาก็ได้สติ เธอรีบร้อนเดินเข้าไป “จื่อจิน รอแม่ด้วย”
แต่ท่ามกลางกลุ่มคนที่รุมล้อมปกป้องเธออยู่ เด็กสาวหายไปจากหัวมุมอย่างรวดเร็ว
ไม่เห็นแม้แต่เงาด้านหลัง
ความเสียใจในอกของจงมั่นหวามีมากยิ่งขึ้น หัวใจราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
เธอเม้มริมฝีปาก เรียกคนขับรถ กลับคฤหาสน์ตระกูลอิ๋ง
…
วันต่อมา
จงมั่นหวาตื่นขึ้นมาในคฤหาสน์ที่เหลือเจ้านายอย่างเธออยู่คนเดียวแต่เช้าตรู่ สมองยังคงเบลออยู่
เหตุการณ์เมื่อวานสร้างความสะเทือนใจให้เธอย่างมหาศาล
ไม่ว่าจะเบิร์กหรือเซิ่งชิงถังต่างเป็นปรมาจารย์ในวงการ ถ้าพวกเขาไม่สมัครใจเอง ใครก็เชิญมาไม่ได้
แต่ตอนนี้พวกเขากลับเกือบมีเรื่องกันเพราะอิ๋งจื่อจิน
จงมั่นหวาสงบสติอารมณ์ไม่ได้ จนกระทั่งพ่อบ้านถือจดหมายหนึ่งฉบับมาเคาะประตู
“คุณนายครับ มีคนส่งจดหมายมาให้หนึ่งฉบับ บอกว่าเกี่ยวกับ…” เขาหยุดเล็กน้อยถึงพูดต่อ “คุณหนูรองครับ”
สีหน้าของจงมั่นหวาดีขึ้น “เอามา”
พ่อบ้านอึ้ง จากนั้นถึงยื่นให้
เดิมทีเขาคิดว่าพอคุณนายได้ยินคำว่าคุณหนูรองจะไม่แม้แต่จะมอง
ครั้งนี้ทำไม…
แต่เรื่องของเจ้านาย พ่อบ้านยุ่งไม่ได้ จึงรออยู่ด้านข้าง
จงมั่นหวาฉีกซองจดหมายออกชนิดที่แทบทนรอไม่ไหว
เธอมั่นใจว่านี่จะต้องเป็นใครสักคนในบรรดาพวกเซิ่งชิงถังเขียนมาแน่ๆ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตระกูลอิ๋งต่างหากที่เป็นครอบครัวของอิ๋งจื่อจิน
จงมั่นหวาหยิบจดหมายออกมาแล้วเปิดอ่าน
[เรื่องเกี่ยวกับตอนนั้นที่คุณอิ๋งลู่เวยแอบขโมยคุณอิ๋งจื่อจินออกไปทิ้ง…]