โรคฮีโมฟีเลียมีหลายชนิด ชนิดที่อิ๋งลู่เวยเป็นคือโรคฮีโมฟีเลียชนิดเอ ระดับกลางๆ
ไม่ได้อาการหนักหรือมีอาการบ่อยเท่าระดับที่อาการรุนแรง แต่จะมีเลือดออกบ้างเป็นครั้งคราว
“แม่คะ คือ…” อิ๋งลู่เวยทำสีหน้าลำบากใจ “ตอนนี้ขนาดนี้แล้ว เสี่ยวจินไม่มีทางยอมแน่นอนค่ะ”
“ไม่ยอมก็ไปมัดตัวกลับมา” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งไออย่างรุนแรง ตวาดเสียง “คิดจริงหรือไงว่าที่ตระกูลอิ๋งรับมาเลี้ยงเพราะอยากทำบุญน่ะ!”
ลูกลับๆ ของตระกูลอิ๋งมีอยู่ไม่น้อย แตกสายออกไปก็มาก ถ้าไม่ได้มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง อยู่ว่างๆ จะรับเด็กมาอุปการะทำไม
ไม่อย่างนั้นถ้าจะรับเลี้ยงก็รับเลี้ยงลูกชายดีกว่า โตไปก็ยังช่วยงานที่บริษัทได้
ตอนนั้นคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งไม่อยากให้อิ๋งเจิ้นถิงกับจงมั่นหวารับเด็กจากอำเภอบ้านนอกกลับมา
รับเลี้ยงเด็กทารกยังไม่เท่าไร อย่างไรเสียเด็กก็ยังจำอะไรไม่ได้
แต่เด็กคนนี้ใกล้บรรลุนิติภาวะแล้ว จะเลี้ยงให้เชื่องได้เหรอ
เรื่องที่เกิดขึ้นตามมาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ทั้งหมดแล้ว
“อย่าโกรธไปเลยคะแม่” อิ๋งลู่เวยต้องการแบบนี้ เธอพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่ก็เย็นแล้ว พวกเราเองก็หาตัวเสี่ยวจินไม่เจอ รอพรุ่งนี้เช้าค่อยไปหาพี่สะใภ้ก่อนดีกว่าค่ะ”
“พี่สะใภ้ใหญ่ของลูกก็ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งโมโหจนหายใจแรง “ก็แค่ลูกเลี้ยงไม่ใช่เหรอ ยังจะต้องลังเลอะไรอีก”
“นี่ยังดีที่เสี่ยวเซวียนอยู่ยุโรป ถ้ากลับมาเห็นมีคนเพิ่มในครอบครัวจะไม่เสียใจเหรอ”
ผู้เฒ่าอิ๋งก็มีลูกลับ แต่ต่างขึ้นสู่ตำแหน่งไม่สำเร็จ
คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งเกลียดลูกลับมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด
“แม่คะ ความผิดหนูเอง” อิ๋งลู่เวยรู้สึกผิด “รู้แบบนี้หนูไม่บอกดีกว่า คุณแม่โมโหจะไม่ดีต่อสุขภาพ”
“แม่ไม่เป็นไร” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งนวดขมับ ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “เวยเอ๋อร์ เพื่อนคนนั้นของลูกช่วงนี้ไม่มาหาลูกเลยเหรอ”
พูดถึงลู่จื่อ
รอยยิ้มของอิ๋งลู่เวยชะงัก “แม่คะ ช่วงนี้เพื่อนหนูมีธุระ ไปเมืองนอกแล้วค่ะ”
มีเหรอที่เธอจะกล้าบอกแม่ว่าลู่จื่อกับเธอแตกหักกันแล้ว
“เฮ้อ” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งถอนหายใจ “อาการปวดหัวของแม่ เห็นทีจะรักษาไม่หายแล้ว”
“แม่คะ อย่าพูดอะไรเป็นลางแบบนั้น” อิ๋งลู่เวยออดอ้อน “โรงพยาบาลเซ่าเหรินมีหมอเทวดาไม่ใช่เหรอคะ เพียงแต่หมอเทวดาคนนี้รักษาแค่อาทิตย์ละคน หนูกำลังต่อคิวอยู่ น่าจะได้คิวตอนปิดเทอมภาคฤดูร้อนนะคะ”
“ลูกเอาใจใส่แม่จริงๆ” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งพอใจ “ลูกเองก็ขยันไปหามั่วหย่วนบ่อยๆ จะได้สนิทสนมกัน”
…
นอกห้องพักผู้ป่วย
“เอ๊ะ ตาฟู่ ดูท่าแกจะหายแล้วจริงๆ นะ” ผู้เฒ่าจงกำลังรออิ๋งจื่อจินผ่าตัดเสร็จ พอเห็นผู้เฒ่าฟู่เดินมาทางเขาจึงพูดขึ้น “ท่าเดินเหมือนฉันเข้าทุกที เดินคล่องเชียวนะ”
“พอเลยๆ” ผู้เฒ่าฟู่โมโหจะตายอยู่แล้ว “แข็งแรงสู้แกไม่ได้หรอก”
ผู้เฒ่าจงกับเขาเขม่นกันมาตั้งแต่เด็ก
ตอนเล่นไพ่โป๊กเกอร์ก็ไม่เคยยอมให้เขาชนะ
ยังจะหาว่าเขาขโมยขนมไปอีก
เขาขโมยไปแล้วยังไงล่ะ
“เฮ้อ แกหายดีแล้ว ฉันก็หมดเรื่องในใจไปหนึ่งเรื่อง” ครั้งนี้ผู้เฒ่าจงไม่ได้เถียงกลับ ถอนหายใจ
“เมื่อก่อนพวกเรายังนัดกันไปเล่นไท้เก๊กตอนเช้าได้ แต่นับตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนที่แกล้มป่วย…”
พอได้ยินแบบนั้นผู้เฒ่าฟู่ก็เงียบ “เรื่องมันผ่านไปแล้วอย่าพูดถึงอีกเลย”
ผู้เฒ่าจงรู้ว่าผู้เฒ่าฟู่ถือเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อน
อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จำได้เพียงว่าปีนั้นเมืองฮู่เฉิงวุ่นวายอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ มีคนแปลกประหลาดมาที่ฮู่เฉิง ไปที่บ้านตระกูลฟู่แล้วก็ไป
แต่ผู้เฒ่าฟู่ไม่พูด ต่อให้ผู้เฒ่าจงจะสงสัยแค่ไหนก็ไม่มีทางเค้นถาม
“นั่นสินะ พวกเราเองก็แก่แล้ว” ผู้เฒ่าจงตบบ่าผู้เฒ่าฟู่ “ควรถอยออกมาแล้วยกให้คนหนุ่มสาวได้แล้ว”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันก็มีพยาบาลเดินออกมาจากห้องผ่าตัด
ผู้เฒ่าจงรีบเดินเข้าไปหา “คุณพยาบาล เป็นไงบ้างครับ”
“อาการแขนหักของคนไข้ไม่ได้รุนแรง การผ่าตัดราบรื่นดีค่ะ” พยาบาลตอบ “เพียงแต่ช่วงนี้ต้องพักผ่อนให้ดี เธอหลับไปแล้วค่ะ”
ผู้เฒ่าจงถึงได้โล่งอก จากนั้นก็หันไปมองผู้เฒ่าฟู่ “ตาฟู่ ครั้งนี้ฉันต้องขอบคุณหลานชายแก ถ้าไม่ได้เขา จื่อจินคง…”
ผู้เฒ่าฟู่แกล้งไอเล็กน้อย พูดด้วยความภูมิใจ “เจ้าเจ็ดของฉันเป็นคนดีอยู่แล้ว”
ยังมีอีกประโยคที่เขาไม่ได้พูด พูดออกไปกลัวผู้เฒ่าจงจะถลกแขนเสื้อมีเรื่องกับเขา
ถ้าไม่ช่วยเมียตัวเองแล้วจะให้ช่วยใคร
ผู้เฒ่าจงไม่รู้ความคิดแอบแฝงภายในใจผู้เฒ่าฟู่ “ฉันไปเยี่ยมหลานแกหน่อย”
…
เนื่องจากเรื่องค่อนข้างใหญ่ ทั้งสองผู้เฒ่าจึงไม่ได้กลับ นอนเฝ้าอยู่ข้างห้องผู้ป่วยหนึ่งคืน
วันต่อมาก็มีคนอีกกลุ่มมาที่โรงพยาบาลอันดับหนึ่ง
พอเห็นคนที่มาผู้เฒ่าฟู่ก็ตกใจมาก “เฮ่อชิง?”
“อี้ชาง?” พอเห็นผู้เฒ่าฟู่ มู่เฮ่อชิงก็อึ้งไปเหมือนกัน “หายดีแล้วเหรอ”
“พ้นเคราะห์แล้วๆ” ผู้เฒ่าฟู่พยักหน้า “ยมทูตไม่ถูกชะตากับฉันก็เลยส่งฉันกลับมา”
ผู้เฒ่าจงไม่เคยคลุกคลีกับมู่เฮ่อชิง แต่ไม่มีทางไม่รู้จักคนคนนี้ เขาจึงทักทายด้วยเช่นกัน “คุณมู่ นี่คือ?”
เขาเคยอยู่ที่ตี้ตูมานานขนาดนั้น เคยเจอคนในตระกูลมู่
แต่คนตระกูลมู่ที่เคยเจอมู่เฮ่อชิงแทบจะนับนิ้วได้
มู่เฮ่อชิงเคยได้รับเหรียญเกียรติยศมากมาย เป็นบุคคลระดับประเทศที่ได้รับการปกป้อง
หากอยากจะพบเขาก็ยากเสียยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์
แล้วทำไมถึงมาที่ฮู่เฉิงด้วยตัวเอง
“ผมกับเสี่ยวฟู่ รวมถึงเสี่ยวอิ๋งเป็นเพื่อนกัน” มู่เฮ่อชิงไม่วางมาด ยิ้มพลางพูด “ได้ยินว่าพวกเขาเกิดอุบัติเหตุก็เลยมาเยี่ยมสักหน่อย”
ผู้เฒ่าฟู่ไม่มีท่าทีอะไร แต่ผู้เฒ่าจงเกือบกระตุกหนวดตัวเองแล้ว ทุกคนในตี้ตูต่างให้ความเคารพมู่เฮ่อชิง เป็นเพื่อนกับหลานสาวของเขางั้นเหรอ สามารถพูดคำว่าเพื่อนออกมาได้ ก็เห็นได้ชัดว่ามู่เฮ่อชิงมองอิ๋งจื่อจินเป็นคนในระดับเดียวกัน
มู่เฮ่อชิงพยักหน้าให้ชายชราทั้งสองคนแล้วเดินเข้าห้องผู้ป่วย
เวลานี้อิ๋งจื่อจินยังหลับอยู่ เขาจึงไม่รบกวน
แต่ฟู่อวิ๋นเซินตื่นแล้ว
มู่เฮ่อชิงนั่งลงข้างเตียง “รู้ไหมว่าฝีมือใคร”
“ครับ รู้แล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินตอบ “ไปจับแล้วครับ”
“เรื่องนี้ไว้เป็นหน้าที่ฉัน” มู่เฮ่อชิงแสยะยิ้ม “กล้ามาแตะต้องนายกับเสี่ยวอิ๋ง ไม่รู้จักดูเสียบ้างว่าตัวเองมีกี่ชีวิต”
“ท่านเพลาๆ ดีกว่าครับ” ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว “ผมกลัวว่าแค่ท่านระเบิดลงคงได้ซวยกันหมดทั้งฮู่เฉิง”
“ไอ้หนุ่มนี่” มู่เฮ่อชิงอดใจไม่ฟาดลงไปสักป้าบ “ฉันควบคุมตัวเองได้”
นิ่งไปเล็กน้อยแล้วถามต่อ “ทำไมฉันได้ยินมาว่า นายได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยเสี่ยวอิ๋ง สรุปว่าแค่จ้องเล่นงานเสี่ยวอิ๋งงั้นเหรอ”
“ครับ” ฟู่อวิ๋นเซินตอบเสียงเนือย “พวกเราไม่เหมือนตระกูลมู่ของท่านที่มีท่านเป็นเกราะกำบังให้อยู่ ใครก็ไม่กล้าแตะต้อง”
“ดูท่าตระกูลอิ๋งจะมีคนที่อยู่ไม่สุข” มู่เฮ่อชิงขมวดคิ้ว
“ตอนแรกฉันยังคิดว่าเป็นฝีมือของพวกคนตระกูลฟู่”
“เรื่องนี้จัดการง่ายมาก” ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินขรึมลง
“แต่ว่ามีอยู่เรื่องที่ต้องให้ผู้เฒ่ามู่ช่วยหน่อยครับ”
มู่เฮ่อชิงสีหน้าจริงจัง พูดเสียงขรึม “ว่ามา”
“ชื่อของเยาเยายังอยู่ในทะเบียนบ้านตระกูลอิ๋ง ตระกูลอิ๋งรับเลี้ยงเธออย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตอนนี้เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะย้ายไปไหนก็ลำบาก” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม “รบกวนผู้เฒ่ามู่ช่วยให้เธอตัดขาดกับตระกูลอิ๋งในทางกฎหมายทีนะครับ”
มู่เฮ่อชิงรู้ว่าเขาทำอะไรในฮู่เฉิงมากไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะนำมาซึ่งหายนะ ครั้นแล้วจึงพยักหน้า
“ได้ วางใจฉันจะจัดการให้”
…
ตระกูลอิ๋ง
เป็นตอนเช้าเช่นเดียวกัน คฤหาสน์ต้อนรับชายวัยกลางคนกลับมา
พ่อบ้านเปิดประตูให้เขาอย่างนอบน้อม “คุณท่าน”
“เจิ้นถิง” จงมั่นหวารีบเดินเข้าไปหา ขอบตาของเธอยังคงแดงอยู่ “เจิ้นถิง ในที่สุดคุณก็กลับมาแล้ว”
ชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือนายใหญ่คนปัจจุบันของตระกูลอิ๋ง อิ๋งเจิ้นถิง
ปีนี้อิ๋งเจิ้นถิงอายุสี่สิบแปดปี ยังแข็งแรงมาก
ตระกูลอิ๋งมีเขาเป็นผู้นำถึงได้ข่มตระกูลจงอยู่
“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่” อิ๋งเจิ้นถิงขมวดคิ้ว “มั่นหวา ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด”
ใช้ชีวิตคู่กับจงมั่นหวามาหลายปีขนาดนี้ อิ๋งเจิ้นถิงก็รู้จักนิสัยของเธอดี
เข้มแข็ง
ไม่มีทางเอ่ยปากขอร้องง่ายๆ เด็ดขาด
นี่เป็นครั้งแรกที่จงมั่นหวาโทรบอกให้เขากลับมา
นั่นก็แสดงว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน
จงมั่นหวาอ้าปาก “คือ…”
ยังไม่ทันได้พูดให้จบก็ถูกคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งที่ตามมาติดๆ ขัดจังหวะขึ้น
เธอเอาไม้เท้าเคาะพื้นอย่างแรง “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาฟังเธอพูดไร้สาระ โรคฮีโมฟีเลียของเวยเอ๋อร์กำเริบอีกแล้ว รีบโทรบอกลูกเลี้ยงคนนั้นให้ไปเตรียมตัวที่โรงพยาบาล”
พอคำพูดนี้ออกมา จงมั่นหวากับอิ๋งเจิ้นถิงต่างก็อึ้ง
อิ๋งเจิ้นถิงเอ่ยปาก “แม่ครับ”
“แกพูดก็ไม่มีประโยชน์” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“หรือแกจะทนเห็นน้องสาวตายได้งั้นเหรอ”
คำพูดนี้ทำให้อิ๋งเจิ้นถิงพูดไม่ออก
เขาก็เห็นใบหน้าซีดเซียวของอิ๋งลู่เวยแล้ว ไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย
อิ๋งเจิ้นถิงนวดหว่างคิ้ว ถอนหายใจ “มั่นหวา โทรเถอะ”
จงมั่นหวามือสั่น
ด้านหนึ่งเป็นเพราะเธอติดต่ออิ๋งจื่อจินไม่ได้
อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะเธอไม่อยากให้อิ๋งจื่อจินมาให้เลือดอิ๋งลู่เวย
แต่คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งอยู่ตรงนี้ เธอพูดเรื่องนั้นออกมาไม่ได้
ถ้าคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งเลือดออกในสมองฉับพลัน เธอก็จะตกเป็นจำเลย
จงมั่นหวาเม้มริมฝีปากไม่ขยับ
“มั่นหวา?” อิ๋งเจิ้นถิงขมวดคิ้วอีกครั้ง
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา หาเบอร์ของอิ๋งจื่อจินกำลังจะกดโทร
ทันใดนั้นประตูใหญ่กลับถูกคนถีบออก
เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์ม แต่ละคนสีหน้าเย็นชา
คนที่เดินนำมามองอิ๋งลู่เวย “จับตัวเธอไว้”