ตระกูลมู่เป็นตระกูลมหาเศรษฐีแถวหน้าของตี้ตู อย่าว่าแต่ตระกูลฮู่เฉิง แม้แต่ตระกูลอื่นในตี้ตูก็ยังเทียบชั้นกับตระกูลมู่ไม่ได้ และก็เพราะมีมู่เฮ่อชิงอยู่ เรื่องด่างพร้อยของตระกูลมู่ถึงแทบจะไม่มีเลย
มู่เฉินโจวก็เหมือนกับคุณหนูคุณชายบ้านอื่น ได้รับการศึกษาชั้นดีมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนมีความทะนงตน แต่ไม่มีทางรู้สึกว่าตัวเองสูงกว่าคนอื่นเพราะเป็นคุณชายตระกูลมู่
จุดนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยาก มู่เฉินโจวไม่ชอบคนที่มีทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง ก็พอดีกับที่อิ๋งจื่อจินเป็นคนแบบนั้น เขาไม่ได้เกิดความสงสัยอะไรในตัวอิ๋งจื่อจิน หากจะให้เขาสืบ นั่นก็เป็นเรื่องที่เสียเวลา แต่จงจือหว่านพูดถึงขนาดนั้นแล้วก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางน่ารู้จักด้วยสักเท่าไร พอได้ยินคำพูดของมู่เฉินโจว จงจือหว่านก็ก้มหน้าอย่างรวดเร็ว กลั้นยิ้มที่มุมปาก
คุณนายจงไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ เธอเดินไปยกน้ำผลไม้ในครัวมาหลายแก้ว
“ปึก” เสียงผู้เฒ่าจงวางโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้น
มู่เฉินโจวแค่พยักหน้า “ขอตัวนะครับ”
“ถูกต้อง ไม่มีความจำเป็น” ผู้เฒ่าจงเหลือบมองมู่เฉินโจว สีหน้าแยกไม่ออกว่าพอใจหรือโกรธ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “จื่อจินก็ไม่ใช่คนที่ใครอยากจะเจอก็ได้เจอ ในเมื่อนายพูดแบบนี้แล้ว กินเสร็จก็ย้ายออกไปจากที่นี่เถอะ”
พอคำพูดนี้ออกมา จงจือหว่านกับคุณนายจงก็ตกใจ
คุณนายจงพูด “ท่านผู้เฒ่า!”
ตระกูลมู่เป็นใคร พวกเราสี่ตระกูลรวมกันยังสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ส่วนมู่เฉินโจว เป็นหนึ่งในตัวเลือกผู้สืบทอดของรุ่นนี้ อนาคตมีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้รับช่วงต่อจากมู่เฮ่อชิง ผู้เฒ่าจงพูดแบบนี้ไม่เท่ากับตัดเส้นทางที่ตระกูลจงจะได้ผูกมิตรกับตระกูลมู่เหรอ
เล็บของจงจือหว่านจิกเข้าไปในฝ่ามือ เธอกัดริมฝีปาก เธอนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าภายในใจของผู้เฒ่าจง ความสำคัญของอิ๋งจื่อจินยังมีมากกว่าตระกูลจง ยอมเสี่ยงล่วงเกินตระกูลมู่เพื่อปกป้องอิ๋งจื่อจิน แล้วยังจะมาบอกว่าไม่ลำเอียงอีกเหรอ
“นายต้องรู้นะว่านายเป็นคนนอก ที่นี่คือบ้านของฉัน” ผู้เฒ่าจงไม่สนใจคุณนายจง เขาเองก็ไม่ได้โมโห
“หลานสาวของฉันจะมาไม่เกี่ยวกับนายก็จริง แต่นายก็ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางแบบนี้ใส่ ถ้าไม่อยากเจอก็ออกไป”
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินโจวนึกไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจงจะพูดแบบนี้ เท้าหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมไปชั่วขณะ ทั้งยังรู้สึกกระอักกระอ่วน
แต่การที่เขาถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดีทำให้เวลาเขาทำผิดก็ปรับปรุง จึงเอ่ยขอโทษทันที
“ขอโทษครับท่านผู้เฒ่า ผมผิดเอง ผมขอโทษท่านผู้เฒ่ากับคุณอิ๋งด้วยครับ”
“งั้นก็ควบคุมสีหน้าของตัวเองให้ดีๆ” ผู้เฒ่าจงไม่รับน้ำใจ “อย่าให้จื่อจินเห็น”
มู่เฉินโจวกระอักกระอ่วนเข้าไปใหญ่ แต่ก็รีบทำสีหน้าจริงจังอย่างรวดเร็ว
“เฉินโจว อย่าถือสาเลยนะ” จงจือหว่านตัดสินใจพูดออกไป
“ปู่ฉันปกป้องคนของตัวเองน่ะ เขาดีกับพวกเรามาก”
“ไม่เป็นไร” มู่เฉินโจวก็ไม่โกรธ กลับยิ้มออกมา “ถ้าฉันได้เจอคุณปู่ของฉันบ้างสักครั้ง ฉันก็พอใจแล้ว”
จงจือหว่านอึ้ง “นายไม่เคยเจอปู่เลยเหรอ”
มู่เฉินโจวส่ายหน้า
เขาได้ยินผลงานความยิ่งใหญ่ของมู่เฮ่อชิงมาตั้งแต่เกิด
เขารู้สึกเลื่อมใสในตัวคุณปู่มาก แต่เขาเป็นถึงหลานชายแท้ๆ กลับไม่เคยเจอหน้ามู่เฮ่อชิง ครั้งนี้มาฮู่เฉิง นอกจากมาหลบเหตุการณ์ทางตี้ตูแล้ว เขาก็มาลองดูด้วยว่าจะได้เจอคุณปู่หรือไม่ เสียงออดประตูดังขึ้น พ่อบ้านจงรีบไปเปิด
มู่เฉินโจวมองไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่พอเห็นเขาก็ตะลึง เด็กสาวใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงยีนส์ขายาว รองเท้าผ้าใบ บนศีรษะยังใส่หมวกเบสบอล เป็นการแต่งกายที่ธรรมดามาก แต่กลับยากที่จะปิดบังออร่าในตัวได้ ทันใดนั้นเธอได้เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ถูกปีกหมวกเบสบอลปิดบังไว้ แววตาดุจหิมะ ใบหน้างดงาม
มู่เฉินโจวอึ้งอยู่สักพักถึงได้สติกลับมา
ตอนเขาอยู่ตี้ตูเคยเจอคุณหนูไฮโซมาไม่น้อย แต่ไม่มีสักคนที่จะสู้เด็กสาวตรงหน้าคนนี้ได้
พอเห็นอิ๋งจื่อจินเข้ามา ผู้เฒ่าจงก็ยิ้มหน้าบาน
แต่วินาทีถัดมารอยยิ้มของผู้เฒ่าจงก็หายไป
“ไอ้เด็กหน้าเหม็น!” ผู้เฒ่าจงเอามือจับตรงหัวใจ ถลึงตาใส่ “ทำไมนายก็มาด้วย!”
หลานสาวมาเยี่ยมเขา ทำไมหมูต้องวิ่งตามมาด้วย
นี่ต้องเอาผักกาดเลี้ยงหมอนี่ด้วยเหรอเนี่ย!
ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว ผุดรอยยิ้ม พูดเสียงเนือย “สวัสดีครับปู่จง”
ผู้เฒ่าจงอยากไล่เขาออกไปเหลือเกิน แต่อย่างไรเสียนั่นก็หลานชายของเพื่อนเขา เลยทำได้แค่พูดประชด
“ไม่ดี ฉันไม่รู้สึกดีเลยสักนิด” ผู้เฒ่าจงเหลือบมองหนุ่มหล่อทรงเสน่ห์ ทำเสียงฮึดฮัด “นายมาครั้งนี้เพื่อเอาขนมที่ปู่ของนายขโมยไปมาคืนเหรอ”
“ผู้เฒ่าจงตาแหลม” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม “ขนมาทั้งคันรถ วางอยู่ในสวนแล้วครับ”
“แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย” ผู้เฒ่าจงกวักมือ “นั่งลงสิ จะเริ่มกินข้าวแล้ว”
อิ๋งจื่อจินนั่งลงข้างผู้เฒ่าจง ฟู่อวิ๋นเซินก็นั่งถัดมา
หลังจากที่ทั้งสองคนเข้ามาแล้วก็สนใจแค่ผู้เฒ่าจงคนเดียว
จงจือหว่านกับคุณนายจงไม่มีตัวตนในทันที ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินโจว
ราวกับว่าสามคนนั้นต่างหากที่เป็นครอบครัวเดียวกัน
จงจือหว่านจับตะเกียบแน่น ในใจรู้สึกแย่
มื้อนี้เธอแทบไม่มีความอยากอาหาร โดยเฉพาะตอนเห็นผู้เฒ่าจงคีบกับข้าวให้อิ๋งจื่อจินอยู่ตลอด
ส่วนอีกด้านฟู่อวิ๋นเซินยังช่วยรินน้ำอุ่นให้ ถึงขนาดที่ช่วยเลือกหัวหอมออกจากจาน
ถึงแม้ฟู่อวิ๋นเซินจะเป็นคุณชายเสเพล แต่ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา เขาก็เป็นชายในฝันของไฮโซสาวๆ จำนวนไม่น้อย
เป็นแค่ลูกเลี้ยงกล้าดีจากไหนให้เขาปรนนิบัติแบบนี้
อดทนอยู่นานกว่าจะกินข้าวมื้อนี้เสร็จ จงจือหว่านรีบขึ้นชั้นบนอย่างรวดเร็ว
หากทนดูต่อไป เธออาจควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้วโยนจานทิ้ง
มู่เฉินโจวเม้มริมฝีปาก ความสวยที่อิ๋งจื่อจินทำให้เขาตะลึงเมื่อครู่ได้ถูกความผิดหวังบดบังหมดแล้ว
เขามาอยู่ฮู่เฉิงช่วงนี้ย่อมเคยได้ยินเรื่องของฟู่อวิ๋นเซิน
เสเพลไม่เอาไหน ชอบไปสถานที่อโคจรชอบเล่นกับสาวๆ
มิน่าอิ๋งจื่อจินถึงส่งอาแท้ๆ ของตัวเองเข้าคุกได้
ที่แท้เพราะอาศัยฟู่อวิ๋นเซิน
มู่เฉินโจวส่ายหน้าพูด ขอตัวกับผู้เฒ่าจงอย่างมีมารยาทแล้วขึ้นชั้นบน
หลังกินข้าวเสร็จผู้เฒ่าจงก็เรียกอิ๋งจื่อจินไปที่ห้องทำงาน
“จื่อจิน ระวังไอ้เด็กหน้าเหม็นแซ่ฟู่นั่นไว้บ้าง” ผู้เฒ่าจงปวดใจ “เขาต้องคิดไม่ซื่อกับหลานแน่ เกิดถูกเขาหลอกจะทำอย่างไร”
“คุณตาวางใจได้ค่ะ” อิ๋งจื่อจินชะงักเล็กน้อยแล้วพูดปลอบเขา “อันที่จริงเขาอยากแย่งบทบาทของคุณตา หรือไม่ก็บทบาทของพ่อหนูค่ะ”
ผู้เฒ่าจง “?”
“แต่ตอนนี้เขาประสบความสำเร็จมากในบทบาทของพี่ชาย”
“…”
…
เมืองตี้ตู
ตระกูลมู่
ตารางเวลาของมู่เฮ่อชิงมีแค่มู่เฉิงเท่านั้นที่รู้
ดังนั้นในแต่ละวันจะมีหลายคนที่มาสอบถามจากเขา
“คุณท่าน” มู่เฉิงขมวดคิ้ว กำลังจัดการการสัมภาษณ์ในวันนี้ ทันใดนั้นนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง “คุณนายห้าส่งคุณชายเฉินโจวไปอยู่ที่ฮู่เฉิง น่าจะเป็นเพราะเห็นรถของคุณท่านนะครับ”
“เห็นก็เห็นไปสิ” มู่เฮ่อชิงไม่แคร์ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “สมองของเธอเอาไปคิดเรื่องวางแผนหมดแล้ว”
มู่เฉิงพยักหน้า “เธอคงคิดว่าคุณท่านไม่ทราบ”
ตระกูลมู่ลงหลักปักฐานอยู่ในตี้ตูนานขนาดนี้ ทั้งหมดล้วนพึ่งมู่เฮ่อชิงคนเดียว
มู่เฮ่อชิงแก่แล้วแต่บารมีกลับยิ่งสูงขึ้น
“คนเราแก่แล้ว ต่อให้สุขภาพดีแค่ไหนก็อาจลงโลงได้ทุกเมื่อ” มู่เฮ่อชิงเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จก็เงียบไปสักพัก “มู่เฉิง ไปเตรียมตัวฉันจะเลือกผู้สืบทอดแล้ว”
มู่เฉิงตะลึง “ตอนนี้เหรอครับ แต่คุณอิ๋งรักษาให้คุณท่านแล้ว ทางแพทย์แผนโบราณก็บอกว่าสุขภาพของคุณท่านอยู่อีกสามสิบปีก็ไม่มีปัญหา”
ปีนี้มู่เฮ่อชิงอายุเจ็ดสิบห้า ถือว่าสูงวัยมากแล้ว
ดังนั้นตอนที่เขาฟังแพทย์แผนโบราณวินิจฉัย จึงยิ่งตะลึงในฝีมือการรักษาของอิ๋งจื่อจิน
“ฉันว่านายอยากให้ฉันเหนื่อยตายล่ะไม่ว่า” มู่เฮ่อชิงวางปากกาแล้วถอนหายใจ “เดิมทีที่ฉันชวนเสี่ยวอิ๋งมาตี้ตูเพราะอยากยกตระกูลมู่ให้เธอ ต่อมาลองคิดดู มันก็ไม่ใช่หน้าที่อะไรของเธอ ฉันก็ไม่ขอร้องแล้วล่ะ แต่…”
“ผู้สืบทอดของตระกูลมู่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากเธอ”
มู่เฉิงแอบตกใจ
นี่ถ้าลูกหลานตระกูลมู่มาได้ยิน ตระกูลมู่ได้โกลาหลครั้งใหญ่แน่
“ดังนั้นการเลือกผู้สืบทอดตระกูลมู่ครั้งนี้จะไม่สนว่าเป็นญาติสายตรงหรือสายรอง เป็นใครก็ได้ที่มีความสามารถ ไปเตรียมตัวเถอะ”
…
วันที่ ยี่สิบ เดือนมิถุนายน ยังเหลืออีกสามวันกว่าจะประกาศคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัย
พวกนักเรียนต่างกังวล รวมถึงคลาสเด็กอัจฉริยะ
ในปีก่อนๆ สิบอันดับแรกทั้งสายวิทย์ และสายศิลป์ของเมืองฮู่เฉิงเป็นนักเรียนชิงจื้อทั้งหมด
อันดับหนึ่งของสายวิทย์ และสายศิลป์ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น
ถึงแม้เวินทิงหลานจะสอบอย่างสบายๆ แต่ระหว่างที่รอผลคะแนนออกนี้เขาก็แอบเครียดอยู่บ้างเหมือนกัน
เวินเฟิงเหมียนเห็นเขากินข้าวยังคีบกับข้าวตกจึงอดหัวเราะไม่ได้ “อวี้อวี้ กังวลขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่า” เวินทิงหลานก้มหน้า “ก็แค่อยากรู้ว่าเรียงความได้เท่าไร”
หลังสอบเสร็จเขามาคิดดู รู้สึกว่าเขียนเรียงความออกทะเลไปหน่อย
ถ้าเขียนออกนอกเรื่องอาจหายไปแล้วสิบกว่าคะแนน
อาจพลาดได้เป็นที่หนึ่งก็ได้
“ไม่ต้องค้นหาแล้ว” อิ๋งจื่อจินดื่มน้ำผลไม้ “อยากรู้ว่าสอบได้เท่าไรพี่จะบอกเอง”
เวินทิงหลานอึ้ง ตอนนี้ผลคะแนนยังไม่ออกมา แม้แต่โรงเรียนใหญ่ๆ ก็ยังไม่ได้รับผลคะแนน พี่สาวของเขารู้ได้อย่างไร