เธอหาตัวอิ๋งจื่อจินไม่เจอ ตำรวจยังจะหาไม่เจอได้เหรอ
เรื่องอย่างลักขโมย เกิดลือออกไปได้ขายหน้าแย่
แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีทางที่จะเลี่ยงไม่เจอหน้ากันได้จริงๆ จงมั่นหวาบอกจะแจ้งตำรวจก็แค่ขู่อิ๋งจื่อจินไปเท่านั้น
ขอเพียงแต่อิ๋งจื่อจินยอมกลับมาดีๆ มาเป็นคุณหนูรองของตระกูลอิ๋ง เธอย่อมไม่มีทางแจ้งตำรวจ
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่เข้าใจการกระทำของจงมั่นหวาเลยจริงๆ เธอตะลึงมาก “แม่คะ…ยังไม่ถามให้รู้เรื่อง แถมไม่มีหลักฐาน แม่ก็ตัดสินว่าน้องทำแล้วเหรอคะ” แบบนี้ได้ด้วยเหรอ
“เสี่ยวเซวียน เรื่องนี้ลูกไม่ต้องยุ่ง” จงมั่นหวากดโทรหาชิงจื้อ เดินไปโทรที่ระเบียง พูดอย่างเลือดเย็น
“เด็กคนนั้นคิดอะไรอยู่แม่รู้ดีที่สุด” เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมอิ๋งจื่อจินถึงไปจากบ้านนี้
ก็คงหนีไม่พ้นเป็นเพราะเธอกับอิ๋งเจิ้นถิงไม่คำนึงถึงความรู้สึกของอิ๋งจื่อจิน รักอิ๋งเย่ว์เซวียนมากกว่า เลยรู้สึกน้อยใจ
แต่คนที่เลี้ยงมาสิบกว่าปี เทียบกับคนที่เลี้ยงมาปีเดียวได้เหรอ ตอนที่อิ๋งจื่อจินกลับมาเธอก็เคยพูดแล้วว่า พวกเขาผูกพันกับอิ๋งเย่ว์เซวียนมาก อีกทั้งยังได้ให้อิ๋งเย่ว์เซวียนไปอยู่ยุโรปหนึ่งปีเพื่อให้อิ๋งจื่อจินเข้ากับครอบครัวอิ๋งได้เร็วขึ้น นอกจากเรื่องบริจาคเลือดที่ทำโดยไร้ศีลธรรม เรื่องอื่นก็ไม่เห็นมีอะไร ปรากฏว่าอิ๋งจื่อจินตัดขาดความสัมพันธ์ แล้วพวกเขาที่เป็นพ่อแม่จะเอาหน้าไปไว้ไหน
พอเห็นจงมั่นหวาเดินออกไป อิ๋งเย่ว์เซวียนก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น
เธอลังเล จากนั้นจึงกระซิบถาม “คุณอาพ่อบ้านคะ ระยะนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ ก่อนหนูไปแม่ไม่เห็นเป็นแบบนี้”
พ่อบ้านยังไม่รู้ว่าอิ๋งจื่อจินตัดความสัมพันธ์กับตระกูลอิ๋งแล้ว แม้แต่ชื่อในทะเบียนบ้านก็ย้ายออกไป
เขาพูดอย่างลังเล “คุณหนูรองค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง ทำให้คุณนายกลุ้มใจ คุณหนูใหญ่ก็ทราบว่าเดิมทีคุณนายเป็นคนหัวแข็ง ขายหน้าไม่ได้”
“แต่ก็ทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนรับไม่ได้ “น้องเป็นลูกสาวแท้ๆ ของคุณแม่ ไม่ใช่ศัตรูเสียหน่อย ทำไมถึงกับจะแจ้งตำรวจเลย” พ่อบ้านไม่รู้ว่าควรพูดอะไรแล้ว
เรื่องของเจ้านาย เขาเป็นบ่าวจะไปทำอะไรได้
“นี่ขนาดน้อง แม่ยังแจ้งตำรวจ” อิ๋งเย่ว์เซวียนหน้าเริ่มซีด “ถ้าเป็นหนู แม่ไม่จับส่งเข้าคุกเลยเหรอ”
“คุณหนูใหญ่!” พ่อบ้านตกใจ “คุณหนูใหญ่ ห้ามคิดแบบนี้เด็ดขาดนะครับ คุณนายกับคุณท่านจะเสียใจ” อิ๋งเย่ว์เซวียนเม้มริมฝีปาก “งั้นคุณแม่ไม่คิดว่าน้องจะเสียใจบ้างเหรอคะ”
มิน่าเธอกลับมาครั้งนี้ถึงไม่เห็นอิ๋งจื่อจินอันที่จริงพวกเธอได้เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง อิ๋งจื่อจินถูกรับกลับมาเธอถึงได้รู้ว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ เป็นเด็กที่ถูกรับมาเลี้ยง เธอจะไปจากที่นี่ แต่จงมั่นหวากับอิ๋งเจิ้นถิงรั้งเธอเอาไว้ บอกว่าเธอไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ไปจากตระกูลอิ๋งจะไปอยู่ที่ไหนได้
ครั้นแล้วเธอก็ทำได้เพียงถอยห่างออกมา สมัครโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนของชิงจื้อไปอยู่ยุโรป
“คุณหนูใหญ่ เรื่องนี้จะโทษคุณนายก็ไม่ได้นะครับ” พ่อบ้านเกลี้ยกล่อม “เอาเป็นว่า เฮ้อ คุณหนูรองจะเทียบกับคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรครับ คุณนายก็แค่ไม่เจอเธอนานแล้วเลยอยากเจอเธอน่ะครับ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่พูดอะไรอีก “ไปถามคนใช้ก่อนว่าเพชรสีชมพูของหนูไปอยู่ไหนแล้วกันแน่ มีใครเผลอหยิบติดมือไปหรือเปล่า”
พ่อบ้านขานรับ “ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
…
แต่ละโรงเรียนใหญ่ๆ ต่างทราบข่าวกันแล้ว ชิงจื้อก็เช่นกัน
แต่นับตั้งแต่โรงเรียนมัธยมชิงจื้อก่อตั้งเป็นต้นมา ก็ไม่เคยพลาดตำแหน่งคะแนนสอบเป็นอันดับหนึ่ง จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเท่าไร
ข้อสอบทั้งประเทศในปีนี้ยากกว่าปีที่แล้ว แต่ยังมีคนได้คะแนนเต็มวิชาวิทยาศาสตร์ พวกเขาก็เห็นข้อสอบแล้ว วิธีแก้โจทย์สุดหินจริงๆ
ดังนั้นทางโรงเรียนก็รับสายแทบไม่หวาดไม่ไหวเหมือนกัน ก็คงหนีไม่พ้นอยากให้เวินทิงหลานเลือกมหาวิทยาลัยของพวกเขาเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งยังรับปากเรื่องทุนการศึกษาและสวัสดิการอย่างเต็มที่
แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยตี้ตูก็ไม่เว้น
“เฮ้อ…” ผู้อำนวยการวางสาย รู้สึกกลุ้มใจ
“นี่ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว มหาวิทยาลัยตี้ตูยังต่างคนต่างอยู่อีกเหรอ”
อาจารย์ฝ่ายวิชาการถอนหายใจ
“นั่นน่ะสิครับ ได้ยินว่าสาขาฟิสิกส์กับสาขาคณิตศาสตร์ทะเลาะกันเพราะเรื่องนักศึกษาทุกเดือน ก่อนหน้านี้มีนักศึกษาคนนึงอยากย้ายไปสาขาฟิสิกส์ สาขาคณิตศาสตร์เลยโมโหใหญ่”
“แต่ว่าเรื่องนี้ให้นักเรียนเป็นคนตัดสินใจเองดีกว่า” ผู้อำนวยการรู้สึกว่าตัวเองมีหัวก้าวหน้า
“โชคดีที่นักเรียนเวินทิงหลานย้ายมาที่ชิงจื้อของเราแล้ว ไม่อย่างนั้นคนที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งของปีนี้คงไม่อยู่ที่พวกเรา”
นักเรียนอัจฉริยะบางคนไม่จำเป็นต้องให้ครูไปสอน และก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรทางการศึกษาเท่าไร ก็สามารถสลัดคนอื่นทิ้งชนิดไม่เห็นฝุ่น
“เขาต้องเลือกมหาวิทยาลัยตี้ตูแน่นอน” อาจารย์ฝ่ายวิชาการพยักหน้า “แต่จะเลือดคณะไหนอันนี้ไม่รู้แล้ว” พวกเขาเองก็ได้ทำการวิเคราะห์เวินทิงหลานในด้านต่างๆ สุดท้ายก็พบว่า…มีคนที่เรียนเก่งทุกด้านจริงๆ ยกเว้นด้านภาษาศาสตร์ล้วนๆ
“น่าเสียดาย ความคิดแรกของผมเลยคืออยากให้นักเรียนเวินทิงหลานไปอยู่มหาวิทยาลัยนอร์ตัน” ผู้อำนวยการส่ายหน้า “ต่อไปอาจมีโอกาสก็ได้มั้ง”
ขณะที่พูดอยู่นั้นโทรศัพท์ในห้องทำงานก็ดังขึ้น ผู้อำนวยการรับสาย แต่ฟังแค่ไม่กี่ประโยค สีหน้าก็แย่ลงไปมาก เขาไม่พูดพล่ามทำเพลง พูดเพียงว่า
“ผมจะช่วยติดต่อให้ครับ ส่วนเธอจะไปพบคุณหรือไม่นั่นก็เป็นเรื่องของเธอแล้วครับ”
หลังจากวางสายอาจารย์ฝ่ายวิชาการก็รีบถาม “มหา’ลัยไหนอีกเหรอครับ”
“ไม่ใช่ คุณนายอิ๋ง” ผู้อำนวยการขมวดคิ้ว “เห็นบอกว่านักเรียนอิ๋งจื่อจินหยิบเอาเพชรสีชมพูของนักเรียนอิ๋งเย่ว์เซวียนไป พวกเขาหาตัวไม่เจอเลยโทรมาที่พวกเรา”
อาจารย์ฝ่ายวิชาการนึกไม่ออกในทันที สามวินาทีต่อมาถึงร้องอ๋อ “คนที่ปรมาจารย์กวาดล้างเรียกว่าคุณนายไฮโซที่มีแนวโน้มชอบความรุนแรงนั่นน่ะเหรอครับ”
อาจารย์ฝ่ายปกครองบอกว่า เขาเจอผู้ปกครองมาก็มาก แต่คนอย่างจงมั่นหวาที่ลงมือตีลูกโดยไม่ฟังเหตุผลให้ดีก่อน เขาเพิ่งเคยเจอเป็นคนแรก
“ครอบครัวพวกเขาก็แปลกจริงๆ” ผู้อำนวยการเปิดสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ “ถ้าไม่ชอบนักเรียนอิ๋งจื่อจิน จะรับเลี้ยงไปทำไม ตอนนี้อิ๋งลู่เวยก็ติดคุกแล้ว ยังจะถือสาหาความอะไรกันอีก”
“อะแฮ่ม!” อาจารย์ฝ่ายวิชาการกระแอมหนึ่งที พูดเสียงขรึม “ผู้อำนวยการ จากประสบการณ์ดูละครมาหลายปีของผม ตระกูลอิ๋งจะต้องมีแผนชั่วร้ายอย่างแน่นอน!”
มือของผู้อำนวยการที่กำลังกดเบอร์หยุดชะงัก หันไปมองเขา
“ละครน้ำเน่าขาดศีลธรรมในครอบครัวน่ะเหรอ”
“…”
…
ณ บ้านตระกูลเวิน
อิ๋งจื่อจินกำลังดูเวินทิงหลานทำโจทย์
ไม่ใช่โจทย์ฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์ แต่เป็นโจทย์ทดสอบตรรกะความคิดที่ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตันออกโดยเฉพาะ ทั้งยังถูกไอบีไอเอาไปหนึ่งชุด บอกว่าจะเอาไว้ใช้รับสมัครสายสืบ
โจทย์แบบนี้ช่วยเรื่องอาการของเวินทิงหลานได้มาก
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือได้ดังขึ้น อิ๋งจื่อจินเหลือบมองแล้วกดรับ “ค่ะผู้อำนวยการ”
“นักเรียนอิ๋ง มีเรื่องนิดหน่อย” ผู้อำนวยการคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เล่าเรื่องที่คุยกับจงมั่นหวาทั้งหมดให้ฟัง “ทางโรงเรียนจะไม่เข้าไปยุ่ง เธอตัดสินใจเองได้เลยนะ”
อิ๋งจื่อจินหลุบตาลงเล็กน้อย “รบกวนผู้อำนวยการแล้วค่ะ”
หลังจากเธอออกจากตระกูลอิ๋งก็ไม่ได้ไปยุ่งด้วยอีก เธอเองก็ไม่มีเวลาพยากรณ์เรื่องของตระกูลอิ๋งโดยเฉพาะ
จึ๊ วุ่นวายจริง…
เวินทิงหลานเงยหน้า “พี่?”
ตอนนี้เขารู้สึกว่าพี่สาวของเขาอาจเป็นหมอดู ถึงขนาดที่ทำนายได้แม้กระทั่งคะแนนสอบได้เป๊ะแบบไม่เพี้ยนเลยสักนิด
“ไม่เป็นไร ทำไปเถอะ” อิ๋งจื่อจินยืนขึ้น ค่อยๆ บิดขี้เกียจ “เดี๋ยวพ่อกลับมาพวกเราออกไปกินข้าวกัน”
…
ตั้งแต่เที่ยงถึงเย็น จงมั่นหวาก็ยังไม่เห็นวี่แววของอิ๋งจื่อจินหรือแม้กระทั่งโทรมา เธอโทรหาชิงจื้ออีกครั้ง แต่ชิงจื้อกลับบอกว่าพวกเขาไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว จงมั่นหวาโมโหจนนั่งรถไปโรงพัก
เวลานี้ตำรวจเลิกงานกันแล้ว มีแค่ตำรวจเข้าเวรสองคน ตำรวจหญิงคนหนึ่งต้อนรับจงมั่นหวา พาเธอไปห้องสอบสวน
“คุณนายอิ๋งใจเย็นก่อนนะคะ” ตำรวจหญิงรินน้ำให้เธอแล้วหยิบกระดาษกับปากกา
“รบกวนช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังทีค่ะ”
“วันนี้ลูกสาวของฉันกลับมาบ้านก็พบว่าเพชรสีชมพูของตัวเองหายไปค่ะ” น้ำเสียงของจงมั่นหวาเย็นชา “หาในบ้านไม่เจอ ถูกขโมยไปแล้ว คนที่ขโมยเพชรสีชมพูไปก็คือลูกสาวอีกคนของฉันค่ะ”
ฟังถึงตรงนี้ตำรวจหญิงก็เงยหน้าด้วยความตกใจ “คุณแน่ใจเหรอคะ”
จงมั่นหวาถูกเธอมองด้วยสายตาแบบนั้นก็กระอักกระอ่วน สีหน้าไม่ค่อยดี “แน่ใจค่ะ”
ตำรวจหญิงไม่รู้จะพูดอะไรดี เธอเตือนอ้อมๆ “เรื่องแบบนี้คุณโทรหาลูกสาวก่อนได้นะคะ”
เรื่องส่วนตัวในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นขึ้นโรงพัก
“เธอไม่มาเจอฉันค่ะ” พูดถึงเรื่องนี้จงมั่นหวาก็หงุดหงิด “ถ้าเธอไม่ร้อนตัว มีเหรอจะไม่มา”
ตำรวจหญิงส่ายหน้า หยิบปากกาขึ้นมาอีกครั้ง “แรงจูงใจก่อคดี พยานหลักฐาน บอกมาด้วยค่ะ”
“แรงจูงใจก่อคดีก็ต้องเป็นเพราะเธออิจฉาเสี่ยวเซวียน ถึงได้เอาเพชรสีชมพูไป” จงมั่นหวาหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม “ฉันนี่แหละคะพยาน พวกคุณรีบช่วยติดต่อเธอให้ทีบอกให้เธอมาตอนนี้เลยนะคะ”
ตำรวจหญิงสีหน้าเคร่งขรึม “คุณนายอิ๋งคะ ฉันจำเป็นต้องถามคุณอีกครั้ง คุณแน่ใจว่าลูกสาวคนรองของคุณขโมยเพชรสีชมพูของลูกสาวคนโตไปนะคะ”
เพชรสีชมพูชิ้นนี้มูลค่าแปดล้าน ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ ถ้าเป็นการใส่ร้ายก็คือผิดกฎหมาย จงมั่นหวาตอบโดยไม่ต้องคิด “แน่ใจค่ะ”
ตำรวจหญิงพยักหน้า ออกไปติดต่อคน
สักพักเธอก็กลับมา “คุณรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวก็มาแล้วค่ะ”
จงมั่นหวาทำสีหน้าอวดดี เธออุตส่าห์พูดดีๆ บอกให้อิ๋งจื่อจินกลับมาแต่ไม่กลับ ต้องรอให้เธอมาแจ้งตำรวจอิ๋งจื่อจินถึงจะมา แบบนี้เรียกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
ยี่สิบนาทีต่อมาประตูห้องสอบสวนก็เปิดออก
จงมั่นหวาหันไป เตรียมจะอ้าปากสั่งสอน แต่ทว่าคนที่มากลับเป็นชายหนุ่มพร้อมกระเป๋าเอกสาร
เขาอยู่ในชุดสูทสีดำ บุคลิกน่าเกรงขาม ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา สีหน้าของจงมั่นหวาเปลี่ยนไป
“คุณเป็นใคร อิ๋งจื่อจินล่ะ”
“สวัสดีครับ ผมเป็นทนายความของคุณอิ๋งครับ” ชายหนุ่มวางกระเป๋าเอกสาร ไม่สนใจจงมั่นหวา แต่พยักหน้าให้ตำรวจหญิงที่มีหน้าที่บันทึกคำให้การอย่างสุภาพ “นี่นามบัตรของผมครับ”
เขาวางนามบัตรบนโต๊ะ สำนักงานทนายความซีเฟิงแห่งตี้ตู ‘ทนายสีเหวยหวน’