“อืม” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “พวกเธอนัดเจอกันเมื่อไร”
“ขอฉันดูก่อนนะ” ริต้าหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูปฏิทิน เธอขมวดคิ้ว “วันที่ยี่สิบสาม เดือนสิงหาคม จึ๊ ยุ่งยากจริง ฉันยังต้องอยู่ที่ประเทศจีนอีกสิบกว่าวัน”
วันนี้เป็นวันที่เจ็ด เดือนสิงหาคม ยังอีกตั้งสิบหกวันกว่าจะถึงวันที่เธอไปพบนักปรุงยาพิษอันดับหนึ่ง
ริต้าเองก็สงสัยว่าทำไมอยู่ๆ นักปรุงยาพิษอันดับหนึ่งถึงเปลี่ยนสถานที่นัดเจอ
แถมยังต้องเป็นที่ประเทศจีน
เดิมทีพวกเขาควรได้เจอกันที่เกาะนี้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว
แต่พอเธอประลองเสร็จ นักปรุงยาพิษอันดับหนึ่งก็เปลี่ยนเวลากับสถานที่นัดเจอ
“สถานที่ล่ะ”
“เมืองฮู่เฉิง”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงักเล็กน้อย “ฮู่เฉิงเหรอ”
“เธอก็รู้สึกประหลาดใจใช่ไหม” ริต้าผายมือออก “ฉันยังคิดอยู่ว่านักล่าระดับนี้ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะอยู่ที่ตี้ตูหรือไม่ก็หลบซ่อนตัวในหุบเขา”
วงการจอมยุทธ์กับวงการแพทย์แผนโบราณต่างอยู่ที่ตี้ตูทั้งนั้น
เพียงแต่คนทั่วไปหาไม่เจอ ต่อให้หาเจอก็เข้าไปไม่ได้
“แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ริต้าพูดต่อ “ไม่รู้ว่าเธอรู้หรือเปล่า นักแม่นปืนอันดับเจ็ดคนก่อนก็ตายที่ฮู่เฉิง จนถึงทุกวันนี้สมาพันธ์ลับก็ยังสืบไม่พบว่าเป็นฝีมือใคร”
แสงแดดเริ่มแยงตา อิ๋งจื่อจินสวมหมวก “รู้”
“ฉันเลยคิดว่า นักปรุงยาพิษอันดับหนึ่งหรือเปล่าที่ฆ่าเขา” ริต้าวิเคราะห์อย่างจริงจัง “เธอคิดดูนะ มีแค่นักปรุงยาพิษเท่านั้นที่สามารถฆ่าคนได้อย่างแยบยล แถมไม่เหลือหลักฐานแม้แต่น้อย”
อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย
เรื่องนี้เธอไม่เถียง เพราะเธอเป็นคนฆ่านักแม่นปืนอันดับเจ็ดจริง
แต่เธอไม่ได้เก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุ ไม่มีหลักฐาน น่าจะเป็นฟู่อวิ๋นเซินที่ตามมาทีหลังที่ช่วยจัดการให้
“เอาเป็นว่าไม่ว่าอย่างไร เพราะการตายของเขาอันดับของฉันเลยได้เลื่อนขึ้นหนึ่งอันดับ” ริต้าเสยผม สีหน้าหลากอารมณ์ “เดิมทีฉันอยู่อันดับแปดสิบแปด”
“ดอกหนิงเสิน ฉันให้เธอได้” อิ๋งจื่อจินหยุดเล็กน้อย “แต่ฉันมีเงื่อนไขอยู่ข้อ”
“ว่ามาสิ ถ้าฉันทำได้ฉันทำแน่”
“ขอฉันตามเธอไปพบนักปรุงยาพิษอันดับหนึ่งด้วย”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา” ริต้าตอบรับทันที “พวกเรามีข้อตกลงกันน่ะ ฉันขอให้เขามาช่วยรักษาคุณพ่อ”
สายตาของอิ๋งจื่อจินขยับเล็กน้อย
“รอเดี๋ยวนะ ฉันมีของจะให้” ริต้ากวักมือเรียกชายวัยกลางคนที่อยู่ไม่ไกล “ไมรอน เอาของออกมา”
ชาววัยกลางคนรีบเดินขึ้นหน้า เขาถือกล่องใบหนึ่ง
“นี่เป็นปืนที่ฉันเก็บสะสม” ริต้าเปิดกล่อง “ยังใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้มีอานุภาพสูงอะไร เพราะเปลือกนอกของมันทำมาจากทองคำกับเพชร เน้นสวยงามมากกว่า”
“เธอรับไว้นะ ถือเป็นของขวัญประนีประนอมของพวกเรา”
อิ๋งจื่อจินไม่ปฏิเสธ เธอชี้ไปด้านข้าง “ของพวกนี้ให้เธอ”
ริต้าหยิบกระปุกเล็กๆ ขึ้นมาหนึ่งกระปุก “อะไรเหรอ”
“มาร์คหน้าขาวใส”
แค่คำนี้ริต้าก็รีบรับมาทันที เธอผิวปากหนึ่งที ยิ้มพลางพูด “สาวงามตะวันออก ไว้มีเวลาฉันจะเลี้ยงมักกะโรนีเธอนะ”
เธอโบกมือแล้วขึ้นเครื่องบินอีกลำ
…
ห้าชั่วโมงต่อมา
เครื่องบินมาถึงเมืองฮู่เฉิงอีกครั้ง
อากาศในเดือนสิงหาคมร้อนอบอ้าว ไม่ต่างจากเตาไฟ
“ไปเถอะเด็กน้อย เดี๋ยวพี่ชายไปส่ง” ฟู่อวิ๋นเซินตบศีรษะของเธอเบาๆ “ช่วงหลายวันมานี้เหนื่อยแย่แล้ว กลับบ้านพักผ่อนสักงีบ”
อวิ๋นซานไม่ได้ติดตามมาอย่างรู้งาน เขาอ้างขอไปทำธุระออกไปแล้ว
ทั้งสองคนนั่งรถกลับบ้าน ระหว่างทางอิ๋งจื่อจินเห็นยายคนหนึ่งขายน้ำถั่วเขียวกับน้ำบ๊วยอยู่ข้างทาง
ยายนั่งอยู่บนเก้าอี้เตี้ย ข้างหน้ามีกล่องสองกล่อง
“ฉันจะไปซื้อสักแก้ว” อิ๋งจื่อจินหันไปถาม “คุณเอาด้วยไหม”
ดูเหมือนเธอจะไม่เคยเห็นเขาดื่มน้ำอย่างอื่นนอกจากชาบำรุง
“อืม” ครั้งนี้ฟู่อวิ๋นเซินกลับไม่ปฏิเสธ เขาหยุดรถ “ซื้อแบบไม่เย็นนะ ท้องสำคัญ”
อิ๋งจื่อจินลงจากรถ เดินไปที่หน้าร้าน
เธอหยิบน้ำถั่วเขียวสองแก้ว กำลังจะสแกนจ่ายเงิน
ยายคนขายเอาผ้าขนหนูเช็ดมือ พูดอย่างลังเล “หนูมีเงินสดไหม”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “เงินสดเหรอ”
ตอนนี้ส่วนใหญ่ใช้วิธีโอนผ่านโทรศัพท์ ไม่ค่อยมีคนพกเงินสดแล้ว
“ไม่ใช่อะไรหรอก” ยายถอนหายใจ “ตอนนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกลแล้ว แต่ยายไม่เข้าใจ สแกนจ่ายเงินอะไรเนี่ยลูกชายยายเขาทำให้ทั้งนั้น”
ยายคนขายเช็ดหางตาที่เริ่มแดง พูดอย่างเกรงใจ “สแกนจ่ายเงิน เงินก็เข้าไปที่เขา วันนี้ยายอยากซื้อผักไปต้มน้ำแกงให้สามียายเลยลองถามหนูดูว่ามีเงินสดไหม”
มือของอิ๋งจื่อจินหยุดชะงัก เธอถึงได้เห็นว่ารูปโปรไฟล์ของอีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคน
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่วีแชทของคุณยายเอง
เธอหลับตาลงเล็กน้อย พอเข้าใจเรื่องราวแล้ว
พอเห็นเธอเงียบไป ยายก็รีบพูดขึ้น “ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรนะ โอนเงินก็ได้”
“มีครับคุณยาย” ไม่รู้ว่าฟู่อวิ๋นเซินเดินมาตั้งแต่เมื่อไร เขาหยิบแบงก์ร้อยสิบกว่าใบออกมาจากกระเป๋าหนัง ยิ้มพลางพูด “เก็บให้ดีนะครับ”
“เยอะเกินไป เยอะเกินไปแล้ว” ยายคนขายไม่เคยเห็นเงินเยอะขนาดนี้มาก่อน เธอตกใจ รีบดันกลับ
“น้ำถั่วเขียวแก้วละสี่หยวน เอามาแปดหยวนก็พอแล้วพ่อหนุ่ม”
“แปดหยวนคุณยายยังซื้อไก่ครึ่งตัวไม่ได้เลยนะครับ” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้น “เอาแบบนี้ ถ้าคุณยายคิดว่าผมเสียเปรียบ งั้นผมเหมาที่เหลือหมดเลยครับ”
ยายคนขายทำตัวไม่ถูก
ฟู่อวิ๋นเซินก้มตัว เริ่มหยิบถุงมาใส่น้ำถั่วเขียวกับน้ำบ๊วยพลางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ลูกชายของคุณยายไม่ให้เงินเหรอครับ”
ยายคนขายก้มหน้า ถอนหายใจ
“เขาเองก็ลำบาก อาจจะลืม มีพ่อแม่คนไหนบ้างที่คิดเล็กคิดน้อยกับลูก”
อิ๋งจื่อจินมองท่าทางของทั้งสองคน เอามือจับตรงหัวใจ
เธอรู้มาตลอดว่าร่างกายนี้มีข้อบกพร่องที่ใหญ่มาก เธอไม่มีหัวใจ หัวใจในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอวัยวะ
แต่เป็นหัวใจที่ทำให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ต่อสรรพสิ่งภายนอก เธอรู้ว่ารักคืออะไร เกลียดคืออะไร มีความรู้สึก แต่สัมผัสไม่ถึงในด้านความรู้สึก เธอเหมือนหุ่นยนต์
แต่เวลานี้ดูเหมือนเธอจะสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบนโลกมนุษย์ ดูเหมือนเธอกำลังค่อยๆ ฟื้นฟูแล้ว หลังจากที่เหมาซื้อน้ำถั่วเขียวกับน้ำบ๊วย ฟู่อวิ๋นเซินก็เดินถือถุง “พอให้กินไปอีกนานเลย”
พอเห็นอิ๋งจื่อจินเอาแต่มองไปยังที่หนึ่ง เขาก็งอนิ้วเขกหน้าผากของเธอหนึ่งที ยิ้มเล็กน้อย “เยาเยา เหม่ออะไรอยู่”
“เปล่า” อิ๋งจื่อจินได้สติกลับมา เธอมองเขาทันใดนั้นก็ยกมือกอดเขา “ขอบคุณ”
ท่าทางปกติ ไม่ได้ดูคลุมเครือ ไม่ต่างจากการทักทายด้วยการกอดตอนเจอเพื่อน อย่างไรเสียก่อนหน้านี้เขาก็เคยแบกเธออุ้มเธอ
ทว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซินกลับเกร็งเล็กน้อย แต่ก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว
นิ้วของเขาขยับ ดวงตาดอกท้อโค้งมน “เด็กน้อย แบบนี้ถือเป็นการลวนลามหรือเปล่า”
“ไม่น่าใช่ อย่างมากก็แค่…” อิ๋งจื่อจินรับน้ำถั่วเขียวมาจากเขาหนึ่งแก้ว ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ฉวยโอกาส”
“…”
…
การเรียนเสริมของโรงเรียนมัธยมชิงจื้อมีสองแบบ
แบบแรกคือเรียนเหมือนกันทั้งหมด เรียนเสริมหลังสอบเสร็จหนึ่งเดือนแล้วถึงปิดเทอมภาคฤดูร้อน
แบบที่สองคือหลังจากที่เรียนเสริมเสร็จมีให้เลือกระหว่างเรียนต่อกับปิดเทอม ตามความต้องการของนักเรียน
ดังนั้นหลังเดือนสิงหาคมคนที่มาโรงเรียนจึงน้อยลงไปมาก
แต่คลาสเด็กอัจฉริยะกลับมาโรงเรียนทุกวัน
“เย่ว์เซวียน คิดอะไรอยู่เหรอ” นักเรียนหญิงที่นั่งโต๊ะเดียวกันเอามือโบกไปมาตรงหน้าเธอ “ช่วงหลายวันนี้ทำไมเธอชอบเหม่อล่ะ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนรีบเก็บอารมณ์ หลุบตาลง “ไม่มีอะไร ก็แค่นานแล้วที่ไม่ได้เจอพี่ชายน่ะ”
ถึงแม้วันนั้นอิ๋งเทียนลี่ว์จะไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอกับจงมั่นหวา แต่อิ๋งเย่ว์เซวียนกลับรู้สึกได้ว่าท่าทีของอิ๋งเทียนลี่ว์ที่มีต่อเธอดูเปลี่ยนไป
เมื่อก่อนตอนที่อิ๋งเทียนลี่ว์อยู่ฮู่เฉิงจะมาส่งเธอที่โรงเรียน แต่ครั้งนี้กลับไม่มีแล้ว
อิ๋งเย่ว์เซวียนคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ต่อมาเธอคิดว่าต่อให้อิ๋งเทียนลี่ว์รู้ว่าเธอไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของเขา ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
อย่างไรเสียจงมั่นหวากับอิ๋งเจิ้นถิงก็รู้นานแล้ว แถมยังคงดีกับเธอ
“พี่ชายเธอเหรอ” เพื่อนร่วมโต๊ะไม่ได้ถามอะไรมาก แค่พูดขึ้น “อาจมีธุระยุ่งอยู่ก็ได้มั้ง เธออย่าใส่ใจเลย” อิ๋งเย่ว์เซวียนขานรับแล้วเริ่มทำแบบฝึกหัดต่อ
เพื่อนร่วมโต๊ะยังพูดอีกว่า “เย่ว์เซวียน เธอวางใจได้เลยนะ ถึงแม้ครอบครัวเธอจะรับเลี้ยงอิ๋งจื่อจิน แต่เธอก็เก่งเหมือนกัน เธอต่างหากที่เป็นลูกแท้ๆ”
“ลูกเลี้ยงจะเทียบกับลูกแท้ๆ ได้อย่างไร อิ๋งจื่อจินน่ะไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น”
อิ๋งเย่ว์เซวียนเงยหน้าขึ้นทันที เป็นครั้งแรกที่พูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “ห้ามพูดแบบนี้นะ”
เพื่อนร่วมโต๊ะตกใจ รีบเปลี่ยนเรื่องคุย “เย่ว์เซวียน ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้มู่เฉินโจวพักอยู่บ้านเธอ เขาเป็นไงบ้าง”
จงจือหว่านเคยพามู่เฉินโจวมาที่ชิงจื้อหลายครั้ง พวกเพื่อนๆ ก็เคยเจอ
สมกับเป็นคุณชายที่ตระกูลใหญ่แห่งตี้ตูอบรมเลี้ยงดู กิริยาท่าทางสุภาพโดดเด่น
“อะไรคือเป็นยังไง” อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่รู้สึกอะไร “ชายหญิงต่างกัน ฉันไม่ได้ไปคลุกคลีด้วย ฉันเองก็ไม่ชอบเขา”
เพื่อนร่วมโต๊ะไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนทำแบบฝึกหัดเสร็จหนึ่งหน้า “เพราะเขาไม่ชอบน้องสาวฉัน”
“อิ๋งจื่อจินน่ะเหรอ” เพื่อนร่วมโต๊ะอึ้ง เธอเข้าใจแล้ว “จงจือหว่านคงไปเล่าอะไรให้เขาฟัง ทำไมตอนแรกถึงมองไม่ออกนะว่ายัยนั่นเป็นคนแบบนี้”
…
บ้านตระกูลเวิน
หลังจากที่อิ๋งจื่อจินมาถึงคอนโด ฟู่อวิ๋นเซินก็ไม่ได้กลับทันที เดินขึ้นไปส่งเธอ พอเธอมาถึงหน้าประตู เพิ่งจะเสียบกุญแจ ทันใดนั้นแววตาก็เปลี่ยนไป
เวินเฟิงเหมียนได้ยินเสียงไขประตู เขาจึงเดินมาเปิด “เยาเยา กลับมาแล้วเหรอ”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า สายตากวาดมองรอบห้องที่มีขนาดเพียงหกสิบตารางเมตร”
ไม่มีเงาของเวินทิงหลาน