“ผมไม่กลัวเจ็บ” เวินทิงหลานเงียบไปชั่วขณะ “ผมกลัวพี่กับพ่อลำบาก”
มือของอิ๋งจื่อจินที่กำลังต่อกระดูกให้เขาถึงกับหยุดชะงัก
นิ้วของเธอเกร็ง ดวงตาหลุบลง “จะไม่มีอีกแล้ว”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดแล้วลูบกระเป๋าเสื้อ และก็เจอลูกอมที่เหลืออยู่หนึ่งเม็ดจริงๆ
เธอหยิบลูกอมเม็ดนี้ออกมายื่นให้เวินทิงหลาน “อมไว้” เวินทิงหลานรับมา ฉีกกระดาษห่อออกแล้วเอาลูกอมเข้าปาก
ทันใดนั้นเอง
“กึก!” เสียงกระดูกเคลื่อน
เสียงนี้แค่ได้ยินก็ชวนให้รู้สึกเจ็บแทนแล้ว แต่เวินทิงหลานกลับไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่น้อย
“สมกับเป็นลูกผู้ชาย” อิ๋งจื่อจินยืนขึ้น ตบบ่าของเขา แสยะยิ้ม “เป็นแบบนี้ตั้งแต่เล็ก เก่งกว่าพี่อีกนะ”
เวินทิงหลานเช็ดเหงื่อบนศีรษะ เขายังคงเป็นห่วง “พี่รีบหนีไปจากที่นี่ดีกว่า พวกคนตระกูลฟางมีอิทธิพล!”
เขารู้ว่าพี่สาวของเขาฝีมือดี แต่ตระกูลฟางมีอิทธิพลมาก พวกเขาจะไปสู้ได้ที่ไหนกัน
“ไม่เป็นไร” อิ๋งจื่อจินตอบ “นายพักผ่อนไปก่อน กลับไปค่อยไปโรงพยาบาลอีกรอบ”
จากนั้นเธอถึงได้หันหน้าไปมองหมอส่วนตัวที่สองขาสั่นไม่หยุด ก้าวขึ้นหน้าสองก้าว
“ตุบ” หมอส่วนตัวหมดแรงคุกเข่าลงบนพื้น
“ไม่เกี่ยวกับผมนะ!” เขาพูดเสียงสั่น “ผมแค่ถูกจ้างมาที่ตระกูลฟาง ทำตามคำสั่งเจ้านายทั้งหมด! ผมเองก็ถูกบังคับเหมือนกัน!”
อิ๋งจื่อจินเอามือจับบ่าของเขา ออกแรงบังคับให้เขายืนขึ้น
“ฉันเองก็เป็นหมอ” น้ำเสียงของเธอเย็นชา แสยะยิ้ม “ฉันรู้ว่าหักตรงไหนจะเจ็บปวดมากกว่า”
ไม่รอให้หมอส่วนตัวไหวตัวหนี มีเสียง “กร๊อบ” ดังขึ้น เสียงกระดูกหัก
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นมาทันที แล่นเข้าหัวใจ หมอส่วนตัวทนไม่ไหว ร้องเสียงดังเจ็บจนเหงื่อแตกท่วมหัว จากนั้นอิ๋งจื่อจินก็ไม่ได้ออกแรงมากมาย แค่งอนิ้วกดตามจุดบนร่างกายของเขาไปหลายจุด ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นมาทันที หมอส่วนตัวไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ รู้สึกเพียงว่าอวัยวะของเขาเหมือนไหลมากองรวมกัน เบื้องหน้ามืดสนิท
อิ๋งจื่อจินปล่อยมือออกจากบ่าของเขา
พอไม่มีสิ่งช่วยพยุง หมอส่วนตัวก็ล้มเข้าหากำแพง หายใจไม่ทั่วท้อง ในที่สุดอิ๋งจื่อจินก็เหลือบมองฟางรั่วถงที่มีสีหน้าตื่นตระหนก เธอพยักหน้าเล็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“อยากได้ไขกระดูกของเขาเหรอ”
“ทะ ทำไม” ฟางรั่วถงถอยหลังหนึ่งก้าว “หรือว่าเธอก็อยากลงมือกับฉันด้วย”
เธอหวาดกลัวมาก แต่ยังคงทำเป็นเข้มแข็งชี้หน้าอิ๋งจื่อจิน “เธอรู้หรือเปล่าว่าพ่อฉันเป็นใคร นายใหญ่ตระกูลฟางเชียวนะ! ถ้าเธอทำอะไรฉันก็เท่ากับล่วงเกินตระกูลฟาง!”
“ไม่ว่าเธอจะสู้เก่งแค่ไหนก็ต้องจบเห่!”
เนื่องจากพฤติกรรมของฟางจื้อเฉิง ทำให้ตระกูลฟางมีศัตรูอยู่ไม่น้อย ใช่ว่าฟางรั่วถงจะไม่เคยเจอ ถึงขนาดที่มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอเกือบถูกลักพาตัว มีเหรอที่เธอจะไม่เคยเจอคนเลวระยำต่ำช้า
เด็กสาวที่อายุน้อยกว่าเธอยังจะมีอิทธิพลอะไรได้ พอได้ฟังคำพูดของฟางรั่วถง หัวใจของเวินทิงหลานก็หดเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง “พี่!”
“กระจอก” อิ๋งจื่อจินจับข้อมือของฟางรั่วถง “แล้วก็ อย่ามาชี้หน้าฉัน”
ยังไม่ทันที่ฟางรั่วถงจะได้ตอบอะไร และก็ไม่เข้าใจประโยคแรก ความเจ็บปวดแผ่ซ่านมาจากตรงข้อมือ เธอร้องโวยวาย “ปล่อยนะ ปล่อยฉันนะ!”
แม้ว่าเธอจะป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเพราะถูกรังสีร่างกายเกิดความเจ็บปวดอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอยังไม่เคยเจ็บขนาดนี้มาก่อน ราวกับเจ็บไปถึงกระดูกไปถึงหัวใจ
ไม่ว่าอย่างไรฟางรั่วถงก็เป็นแค่เด็กสาวอายุสิบเก้า ถูกฟางจื้อเฉิงเลี้ยงตามใจมาตั้งแต่เด็ก และก็เพราะเธอพักการเรียนมาหนึ่งปี ทำให้ยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอ เคยเจอคนทำแบบนี้ด้วยที่ไหนกัน
ฟางรั่วถงตกใจจนร้องไห้ พูดเสียงสะอื้นไห้ใจจะขาด “เธอทำอะไรน่ะ จะทำอะไร ฉันเจ็บนะ!”
“ยังมีแรงพูดอีกเหรอ” อิ๋งจื่อจินพูด “ดูท่าจะไม่เจ็บเท่าไร”
เธอก้มตัวเล็กน้อย แววตาแข็งกร้าว “เธอยังไม่ได้ตอบคำถามฉัน เธออยากได้ไขกระดูกของน้องชายฉันเหรอ”
“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว!” ฟางรั่วถงร้องไห้โฮ “ฉันไม่รักษาแล้ว ได้โปรดปล่อยฉันไปนะ”
“พวกเธอหักขาของเขาหนึ่งข้าง ฉันจะหักแขนเธอสองข้าง” อิ๋งจื่อจินปล่อยฟางรั่วถงอย่างใจเย็น “ไม่ต้องร้อง เธอโตกว่าเขาสามปี ต้องเข้มแข็ง”
เธอไม่มองฟางรั่วถงอีก หันหน้าไป “เสี่ยวหลาน ออกไปก่อน พ่อเป็นห่วงแย่แล้ว”
ทั้งสองคนต่างปิดบังเวินเฟิงเหมียนโดยไม่ได้นัดกัน เวินทิงหลานลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยืนขึ้นแล้วเดินตามขึ้นไป แต่พอเขาเดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกตกใจมากที่ขาของเขาไม่ต่างจากก่อนหน้านี้
ให้เขาไปวิ่งพันเมตรตอนนี้ก็ไม่มีปัญหา ถึงแม้เวินทิงหลานจะรูปร่างสูง แต่เนื่องจากโรคภัยรุมเร้าตั้งแต่เด็ก สุขภาพของเขาจึงไม่ค่อยดี
พรสวรรค์เล่นบาสเก็ตบอลที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของผู้ชาย เขาก็เล่นไม่เป็น
เวินทิงหลานเม้มริมฝีปาก “พี่ มหาวิทยาลัยนอร์ตันมีวิชาต่อสู้ไหม”
“หืม?” อิ๋งจื่อจินอ่านความคิดของเขาออก “มี เป็นวิชาบังคับ ตราบใดที่เป็นนักศึกษาของคณะระดับ เอส ขึ้นไปก็จะต้องเรียนจนเป็น”
อย่างไรเสียบางครั้งเรื่องที่มหาวิทยาลัยนอร์ตันให้นักศึกษาไปทำ หากไม่มีวิชาป้องกันตัวก็ไปทำไม่ได้ เวินทิงหลานรู้สึกโล่งอก “งั้นผมจะตั้งใจเรียน”
“อืม” อิ๋งจื่อจินไม่พูดอะไรอีก “ออกไปเถอะ”
…
สองพี่น้องเดินมาถึงสวนหน้าบ้าน
ฟางจื้อเฉิงยังคงอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่หน่วยอีจื้อ พอเขาเห็นเวินทิงหลานก็เดินตามออกมา จึงตระหนักได้ว่าการผ่าตัดของฟางรั่วถงจะต้องไม่สำเร็จแน่นอน สีหน้าบึ้งตึง
“คุณอิ๋งครับ พวกเราเรียกคนทางตี้ตูมาแล้วครับ” หัวหน้าทีมพูด “พวกเขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์แล้ว ใช้เวลาอย่างมากสี่สิบนาทีก็จะมาถึงครับ”
ตอนนี้ไม่ต้องไปค้นแล้ว แต่เรื่องที่ฟางจื้อเฉิงแอบติดตั้งอาวุธในคฤหาสน์ก็สามารถทำให้ตระกูลฟางต้องถูกปิดค้น
“งั้นพวกคุณอยู่ที่นี่” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเล็กน้อย “ฉันกลับฮู่เฉิงก่อน”
พอเธอก้าวเท้าร่างกายกลับโงนเงน
“คุณอิ๋ง!”
“พี่!”
คนรอบตัวสีหน้าเปลี่ยน
“ฉันไม่เป็นไร” อิ๋งจื่อจินหยุดเดิน เอามือจับเสาไฟข้างทาง “ใช้แรงมากเกินไปหน่อย ขอพักสองนาที”
ตอนลงมือใช้แรงไม่เท่าไร หลักๆ คือเสียแรงไปกับการเร่งเดินทาง
อันที่จริงกำลังภายในของจอมยุทธ์ก็ไม่ได้ต่างจากกำลังภายในที่แสดงกันในละครย้อนยุค มีวันใช้หมด
ตอนนี้เธอใช้กำลังภายในหมดแล้ว ไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถพาเวินทิงหลานออกจากหนิงชวนได้
อย่างไรเสีย…อิ๋งจื่อจินค่อยๆ เงยหน้ามองไปข้างหน้า
ไม่เห็นเงาคนแต่กลับมีเสียงดังนำมาก่อน
“โอ๊ะ ฟางจื้อเฉิง ทำไมกลายเป็นหมาแบบนั้นล่ะ ไหนว่าเชิญฉันมาดูสินค้า”
หลังพูดจบคนพูดก็ค่อยๆ เดินออกมาจากทางเดินเล็กๆ เป็นชายวัยกลางคน ด้านหลังมีลูกน้องตามมาถึงสี่สิบห้าสิบคน
“ท่านเหยียน!” ฟางจื้อเฉิงดีใจมาก “มาได้เวลาพอดีเลยครับ สินค้าที่ผมจะให้ท่านดูก็คือคนนี้ครับ!”
ท่านเหยียนหรี่ตาลง สายตามองไปที่เด็กสาว รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที “ของดี ของดี! ฉันขึ้นเหนือล่องใต้มาหลายปียังไม่เคยเจอของดีแบบนี้มาก่อน!”
“ฟางจื้อเฉิง ในที่สุดสายตานายก็แหลมคม”
“ใช่ไหมล่ะครับ” ฟางจื้อเฉิงทำหน้าขมขื่น “ท่านเหยียน ท่านดูผม…”
ท่านเหยียนถึงสังเกตเห็นสมาชิกหน่วยอีจื้อทั้งหก เขาสั่งลูกน้องข้างกาย “พวกนายไปจัดการคนพวกนั้นเอาให้พิการ”
สี่สิบกว่าคน ต่อให้สมาชิกหน่วยอีจื้อทั้งหกนี้จะฝีมือดีแค่ไหนก็ไม่มีทางสู้ศัตรูที่มีจำนวนมากขนาดนี้ได้
ในที่สุดฟางจื้อเฉิงก็โล่งอก “ขอบคุณท่านเหยียนครับ ต่อไปธุรกิจของตระกูลฟางจะเพิ่มส่วนแบ่งให้ท่านอีกสิบเปอร์เซ็นต์”
ท่านเหยียนเป็นคนที่เขารู้จักในตลาดมืด เขาเองก็ไม่รู้รายละเอียดของท่านเหยียนมากนัก
ตระกูลฟางมีวันนี้ได้ก็เพราะท่านเหยียนคอยคุ้มครอง
“แต่พวกเขาเป็นคนของหน่วยอีจื้อ” ฟางจื้อเฉิงลังเล “พวกคนของตี้ตูน่ะครับ”
“หน่วยอีจื้อเหรอ” ดวงตาของท่านเหยียนฉายแววตกใจ แต่กลับไม่กลัวเท่าไร “หน่วยอีจื้อควบคุมแค่ตระกูลน้อยใหญ่ไม่ใช่เหรอ คุมฉันได้เหรอ”
เขาโบกมือ “จัดการให้เต็มที่”
สีหน้าของเจ้าหน้าที่ทั้งหกเปลี่ยนไป หน่วยอีจื้อไม่ใช่ไอบีไอ ไม่ยุ่งเรื่องการค้าเถื่อนในตลาดมืด
อีกทั้งตอนนี้พวกเขาคนน้อย สู้อีกฝ่ายไม่ได้
“พี่” เวินทิงหลานเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวเพื่อบังพี่สาวไว้ “พี่ อีกเดี๋ยวพี่หนีไปก่อนนะ”
“ไม่ต้อง” อิ๋งจื่อจินยกมือขึ้น “พวกเรารอ”
“รอเหรอ” พอได้ยินแบบนี้ท่านเหยียนก็ยิ้ม พูดดูถูก “รออะไร รอคนมาช่วยเหรอ เคยได้ยินไหมว่ามังกรที่แข็งแกร่งก็ยังสู้งูเจ้าถิ่นไม่ได้”
“เธออยู่ที่หนิงชวน ไม่มีใครมาช่วยเธอได้ ยังจะรอใครอีก”
ราวกับรีบมาให้คำตอบเขา พอเขาเพิ่งพูดจบก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง เป็นชายหนุ่มเขาเดินเร็ว แต่กลับไม่เหมือนรีบร้อน
เมื่อมาถึงหน้าคฤหาสน์เขาก็โค้งตัวให้อิ๋งจื่อจินเล็กน้อย “ขอโทษครับที่ผมมาสายไปหน่อย”
สายตาของเวินทิงหลานแน่นิ่ง
พี่สาวของเขารู้ได้ยังไงว่าจะมีคนมา
แถมยังแม่นถึงขั้นไม่ผิดแม้แต่วินาทีเดียว
“แก?” ตอนที่เห็นผู้ชายคนนี้ สายตาของท่านเหยียนกลับไม่แยแส “แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร”
“ขอแนะนำตัวนะครับ ผมเป็นนักสืบระดับสูงของไอบีไอ” ชายหนุ่มหยิบบัตรประจำตัวออกมา
“เพิ่งมาถึงประเทศจีน แถมยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่”
“แต่ผมแน่ใจได้ว่า ถ้าคุณแตะต้องพวกเขา ชื่อของคุณจะไปปรากฏบนบัญชีหมายจับของไอบีไอแน่นอน และจะได้ลิ้มรสการถูกตามฆ่าในระดับนานาชาติครับ”
ขณะพูดนักสืบหนุ่มยังได้ถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเว้นที่ให้พวกเขา ยิ้มพลางพูด “เชิญลองดูได้ครับ”