เนื่องจากทุกคนต่างไม่เชื่อว่าเวินทิงหลานจะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ตัน ชาวเน็ตก็เลยแค่ไปเยี่ยมชมเวยปั๋วของมหาวิทยาลัยนอร์ตัน
มีเพียงชาวเน็ตจำนวนน้อยไม่กี่คนที่ว่างจนอยู่ไม่สุข
เกิดมหาวิทยาลัยนอร์ตันก็ตอบกลับมาล่ะ
ซึ่งก็เป็นตามนั้นจริง ด้วยความที่ปกติมหาวิทยาลัยนอร์ตันโด่งดังอยู่แล้ว หลังจากโพสต์เวยปั๋วไป ชาวเน็ตที่เลิกเยี่ยมชมแล้วก็เห็นข่าวได้ทันทีเช่นกัน พอเห็นแถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตัน ชาวเน็ตต่างก็อึ้ง โดยเฉพาะแฟนคลับของฟางรั่วถงกับพวกนักเลงคีย์บอร์ดที่ถูกเวยปั๋วโพสต์นี้ตบหน้าเข้าอย่างจังยังไม่ได้สติกลับมา
เวินทิงหลานเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ตันจริงเหรอ!
อีกทั้งมหาวิทยาลัยนอร์ตันยังพูดอีกว่า ฟางรั่วถงบังคับให้เวินทิงหลานบริจาคไขกระดูก
ในที่สุดชาวเน็ตก็ได้สติกลับมาท่ามกลางความตกตะลึง พวกเขาพบว่าด้านล่างของโพสต์จากมหาวิทยาลัยนอร์ตันโพสต์นี้ยังมีคลิปวิดีโอ และคลิปเสียง
สถานที่ในคลิปคือคลับคาราโอเกะ บันทึกภาพไว้อย่างสมบูรณ์ว่าหลังจากที่เวินทิงหลานมาถึงห้องคาราโอเกะ ฟางรั่วถงบีบบังคับเขาอย่างไร ยกเรื่องคนในครอบครัวขึ้นมาข่มขู่เขา สุดท้ายภาพไปหยุดที่มีทางเดินลับเปิดออก ฟางรั่วถงให้บอดี้การ์ดสองคนคุมตัวเวินทิงหลานออกไป
ส่วนคลิปเสียงเป็นการบันทึกเสียงของฟางรั่วถง
มีทั้งหมดสี่ประโยค
‘ก็แค่บริจาคไขกระดูกไม่ใช่เหรอ ไม่ได้จะเอาไตของนายเสียหน่อยถึงกับเป็นขนาดนี้เลยเหรอ’
‘อีกเดี๋ยวผลตรวจความเข้ากันของพวกเราก็ออกมาแล้ว นายก็แค่เซ็นยินยอมลงบนเอกสารนี้ แล้วฉันถึงจะไม่ให้พ่อแตะต้องคนในครอบครัวของนาย’
‘แน่นอนว่าถ้านายไม่เซ็นฉันก็มีวิธีทำให้นายยอมเซ็นเหมือนกัน แต่พอถึงตอนนั้นนายจะเสียหายใหญ่หลวงเลยล่ะ’
‘จะลองดูก็ได้นะว่าพี่สาวกับพ่อของนายจะสู้กับตระกูลฟางไหวหรือเปล่า’
สองไฟล์นี้ทำเวยปั๋วแทบแตกในชั่วขณะ
[นี่ฉันถึงกับอ้วกมื้อดึกออกมาเลยนะ เอาคนในครอบครัวมาข่มขู่ให้เขาบริจาคไขกระดูกงั้นเหรอ แถมยังพูดว่าถึงกับเป็นขนาดนี้เลยเหรอ]
[น่าขยะแขยง น่าขยะแขยงสิ้นดี ทำขนาดนี้ยังจะกล้าไลฟ์อีกเหรอ]
[ฟางรั่วถง คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลอันดับหนึ่งในหนิงชวน เดิมทีคิดว่าแค่เอาแต่ใจเพราะการเลี้ยงดู แต่ปรากฏว่าจิตใจก็ดำมืดด้วยเหมือนกัน EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ทำกับเด็กวัยรุ่นอายุสิบหกแบบนี้ไม่ทราบว่าเมื่อไรเธอจะตายเหรอ]
บรรดาแฟนคลับของฟางรั่วถงตะลึงจนพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้พวกเขายังประณามเวินทิงหลางแทนฟางรั่วถง เพียงชั่วพริบตาเรื่องกลับตาลปัตร พวกเขาต่างเคยดูฟางรั่วถงไลฟ์มีเหรอจะฟังไม่ออกว่าเสียงในคลิปเป็นเสียงของใคร
ต่อให้พวกแฟนคลับจะซื่อกว่านี้ก็รู้ว่าความเห็นใจของตัวเองถูกเอาไปใช้เป็นเครื่องมือแล้ว ต่างเริ่มเลิกเป็นแฟนคลับ และหันกลับมาโจมตี เวลาเพียงสิบกว่านาทีกระแสในเวยปั๋วได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ฟางรั่วถงกินยาเสร็จกลับมาพอดี
ฟางรั่วถงเห็นมีจุดสีแดงจำนวนมากแจ้งเตือน EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ช่วยเธอด่าเวินทิงหลานเลยรู้สึกอารมณ์ดี แต่พอเธอกดเข้าไปดูใบหน้าที่ซีดเป็นทุนเดิมคราวนี้ซีดเผือดไม่เหลือเลือดฝาด
ฟางรั่วถงแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น เธอกดโหลดใหม่ไม่หยุด ดวงตาเริ่มมีเส้นเลือดปรากฏ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็ปาโทรศัพท์มือถือเข้าหากำแพงอย่างรุนแรงแล้ววิ่งออกไป
ฟางจื้อเฉิงกับคุณนายฟางยังอยู่ในห้องรับแขก อย่างไรเสียเธอก็ออกไปไม่ได้
“พ่อคะ แม่คะ…” ฟางรั่วถงอดปล่อยโฮไม่ได้
“หนูทำพังแล้ว…ทำพังอีกแล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้นลูก” คุณนายฟางรีบเข้ามากอดลูกสาวไว้ “ถงถงไม่ต้องร้องนะ บอกแม่ซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“มหาวิทยาลัยนอร์ตัน!” น้ำเสียงของฟางรั่วถงข่มความกลัวไว้ “เวินทิงหลานเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ตันจริงค่ะแม่!” เธอสติแตก “มหาวิทยาลัยนอร์ตันปล่อยหลักฐาน ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าหนูบังคับให้เขาบริจาคไขกระดูก! พวกเขากำลังด่าหนู”
ฟางรั่วถงยังเป็นเพียงสาวน้อยอายุสิบเก้า จะทนรับการโดนด่าแบบนี้ได้อย่างไร
ฟางจื้อเฉิงมือสั่น พูดเสียงสั่นเครือ “ว่าอะไรนะ!”
“โอ๊ะ สุดยอดเลยนะ” มีคนเดินเข้ามาซึ่งก็คือนักสืบหนุ่มคนนั้น เขายังโหลดเวยปั๋วมาโดยเฉพาะเพื่อดูโพสต์นั้น
“พวกคุณนี่สุดยอดเลยจริงๆ ก่อเรื่องอีกแล้วเหรอ”
เป็นที่ยอมรับกันในสากลว่าไม่ควรมีเรื่องกับสามองค์กรหรือตระกูลเหล่านี้
อันดับแรก ไอบีไอหรือสำนักสืบสวนสากลที่ปกป้องสันติสุข
อันดับสอง ตระกูลลอเรนท์ที่คุมเส้นเลือดเศรษฐกิจของทั้งโลก
อันดับสาม มหาวิทยาลัยนอร์ตัน มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก
แต่ตระกูลฟางมีเรื่องด้วยแล้วถึงสององค์กรต้องห้ามในคราวเดียว
“สุดยอดๆ” นักสืบหนุ่มปรบมือด้วยอารมณ์ตะลึง “มหาวิทยาลัยนอร์ตันออกมาปกป้องคนของตัวเองแล้ว EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq พวกเขาได้ส่งคนมาไล่ฆ่าพวกคุณจริงๆ แน่”
เป็นที่รู้กันว่ามหาวิทยาลัยนอร์ตันปกป้องคนของตัวเองอย่างเต็มที่
เคยมีนักสืบคนหนึ่งของไอบีไอจบจากมหาวิทยาลัยนอร์ตัน ตอนที่นักสืบคนนี้ทำภารกิจอยู่ในทวีปแอนตาร์กติกาโชคร้ายถูกผู้ร้ายข้ามชาติไล่ฆ่า ทันทีที่มหาวิทยาลัยนอร์ตันทราบเรื่องก็ส่งเจ้าหน้าที่ของหน่วยปฏิบัติการข้ามหลายทวีปไปทันทีเพื่อจับตัวผู้ร้ายข้ามชาติคนนี้ไปส่งให้ไอบีไอด้วยตัวเอง
ดังนั้นโลกภายนอกไม่เคยรู้เลยว่าไม่เพียงแต่มหาวิทยาลัยนอร์ตันจะเป็นอันดับหนึ่งในแวดวงการศึกษา ศักยภาพในเรื่องออกปฏิบัติการติดอาวุธก็สูงจนน่ากลัวเช่นกัน
นักสืบหนุ่มสามารถฟันธงได้ว่าอธิการบดี และพวกผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยนอร์ตันจะต้องมีชื่อเสียงติดชาร์ตของเว็บบอร์ดเอ็นโอเคแน่นอน แม้แต่พวกนักศึกษาของคณะระดับ เอสเอส ก็เป็นพวกบ้าคลั่งการต่อสู้เช่นกัน
ฟางจื้อเฉิงไม่เข้าใจว่านักสืบหนุ่มพูดเรื่องอะไร หูของเขามีเสียงหึ่งๆ
ฟางรั่วถงที่อยู่ข้างๆ ร้องไห้จะเป็นจะตาย
คุณนายฟางก็ตัวสั่น
“เฮ้อ ช่างเถอะ คนเบาปัญญาอย่างพวกคุณไม่รู้เรื่องพวกนี้ก็ถูกแล้วน่ะนะ” นักสืบหนุ่มยักไหล่ ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ฟางจื้อเฉิง ถึงตาคุณแล้วไปเถอะ”
…
สองวันต่อมาอิ๋งจื่อจินก็ไปส่งเวินทิงหลานที่สนามบิน
ทางมหาวิทยาลัยนอร์ตันได้ให้ศาสตราจารย์ของคณะเครื่องกลส่งเครื่องบินมารับโดยเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยของเวินทิงหลาน
แบบนี้ก็ไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องแถมไม่ต้องนั่งรถไฟใต้ดินอีก
ศาสตราจารย์คณะเครื่องกลที่รับหน้าที่มารับเวินทิงหลานเดินขึ้นหน้าจับมือเวินเฟิงเหมียน
“ขอบคุณมากครับที่เลี้ยงดูเด็กอัจฉริยะคนนี้มา”
“วางใจได้ครับ ทางมหาวิทยาลัยเตรียมนักจิตวิทยาที่เหมาะสมกับเขาไว้ให้โดยเฉพาะแล้ว ถ้ามีอาการอะไรกำเริบจะติดต่อคุณทันทีครับ”
เวินเฟิงเหมียนก็แอบเป็นห่วงเรื่องนี้อยู่ แต่พอได้ยินศาสตราจารย์พูดแบบนี้เขาถึงวางใจอย่างสิ้นเชิง
“อวี้อวี้ อยู่ที่นั่นดูแลตัวเองด้วยนะ” เวินเฟิงเหมียนกำชับลูกชาย
“ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อ พ่ออยู่มาได้นานขนาดนี้แล้ว” เวินทิงหลานเม้มริมฝีปาก ตอบอืม
“พ่อครับ ผมจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
“พ่อจะรอนะ”
เสียงดังสนั่นเครื่องบินเหินฟ้าเข้าสู่ปุยเมฆไม่นานก็หายไป
อิ๋งจื่อจินมองท้องฟ้ายืนอยู่สักพักแล้วถึงออกไป
เธอไปส่งเวินเฟิงเหมียนกลับบ้านก่อนแล้วถึงลงจากคอนโด
รถมาเซราติจอดอยู่ด้านล่าง
หลังจากที่เธอขึ้นนั่งข้างคนขับแล้วฟู่อวิ๋นเซินก็หันมา
“ผู้เฒ่ามู่ให้บัตรเชิญงานเต้นรำที่จะไปนี้แล้วใช่ไหม”
“อืม” อิ๋งจื่อจินหรี่ตา หาวออกมา “จิ้งจอกเฒ่า”
มู่เฮ่อชิงพาตระกูลมู่มาถึงตำแหน่งในปัจจุบันได้ เขาไม่ได้อาศัยความกล้าเพียงอย่างเดียว ความเจ้าเล่ห์แผนสูงก็ไม่น้อยเช่นกัน
ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว ยิ้มมุมปาก “ไปเถอะเด็กน้อย ไปเลือกชุดออกงานก่อน”
สถานที่ลองชุดเป็นสำนักงานใหญ่ของห้างเซ็นจูรี่ และยังเป็นชั้นที่สูงที่สุด
หน้าร้อนของฮู่เฉิงร้อนเกินไป มีแอร์ก็ยังรู้สึกอบอ้าวได้
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็จำใจเลือกชุดกระโปรงสีดำ หลังจากลองใส่ก็พบว่าแบบชุดถูกใจเธอ
“เอาตัวนี้แล้วกัน ไปถึงที่นู่นค่อยเปลี่ยน”
“รอเดี๋ยวนะ” ฟู่อวิ๋นเซินมอง “ซิปรูดติดผมเธอ”
เขาก้มหน้ามือจับหัวซิปแล้วค่อยๆ รูดลงทีละนิด พอเอาเส้นผมออกมาเสร็จก็รูดกลับไปให้
อิ๋งจื่อจินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีลมหายใจอ่อนๆ สัมผัสตรงแถวคอของเธอ ทิ้งไออุ่นเอาไว้ รอบตัวถูกกลิ่นหอมของไม้กฤษณาที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาโอบล้อม เธอหลุบตาลง
“เรียบร้อย” ฟู่อวิ๋นเซินถอยหลังหนึ่งก้าว ร่างกายที่เกร็งเล็กน้อยในที่สุดก็ผ่อนคลายลง
หลังจากที่อิ๋งจื่อจินเข้าไปเปลี่ยนชุดกลับมาเป็นชุดเดิมเสร็จก็ถือถุงลงชั้นล่าง
งานเต้นรำจัดที่โรงแรมควีน อยู่ไม่ไกลจากห้างเซ็นจูรี่ ขับรถไปเพียงสิบนาที
เมื่อรถมาเซราติหยุดลงอีกครั้ง อิ๋งจื่อจินก็ปลดเข็มขัดนิรภัย
“เยาเยา พี่ชายจะไปจอดรถ” ฟู่อวิ๋นเซินยื่นกล่องเครื่องดับให้เธอ “เธอเข้าไปก่อน”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้าแล้วลงจากรถ
ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นคนยังมาไม่มาก
อิ๋งจื่อจินจึงถือโอกาสเปิดห้องในโรงแรมควีนไว้หนึ่งห้อง พอเหนื่อยก็ขึ้นไปงีบนอนได้ เธอปิดหมวกขึ้นแล้วเดินขึ้นบันได ถึงแม้คนที่ร่วมงานเต้นรำจะยังไม่มากัน แต่พนักงานบริการก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว
คนที่มางานเต้นรำในวันนี้ล้วนเป็นผู้ดีมีสกุล และยังมีแขกจากเมืองตี้ตู จะทำงานผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
มู่เฉินโจวมาถึงก่อนแล้ว เขากำลังพูดคุยกับพวกคุณชายด้วยกัน สายตาเหลือบเห็นอิ๋งจื่อจินที่อยู่นอกโรงแรมอย่างไม่ตั้งใจ
เธออยู่ในชุดลำลอง สวมหมวกเบสบอล ผมยาวสยายปล่อยให้ลมพัดประบ่า และเอว ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการแต่งเติมอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็ยังคงทำให้คนที่อยู่แถวนั้นกลายเป็นเพียงตัวประกอบได้
มู่เฉินโจวอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เริ่มขมวดคิ้ว
งานเต้นรำครั้งนี้มองผิวเผินมีเพียงเศรษฐีของฮู่เฉิงและเมืองรอบๆ ที่มางาน แต่ในความเป็นจริงเจ้าภาพจัดงานคือทางตี้ตู ตระกูลมู่ก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น
ด้วยเหตุนี้คนที่ได้รับเชิญย่อมเป็นบรรดาคุณหนูคุณชาย ต่อให้เป็นตระกูลเล็กๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมงานเต้นรำครั้งนี้ แล้วนับประสาอะไรกับลูกเลี้ยงของตระกูลอิ๋งที่ออกจากบ้านไปแล้ว
“คุณ” มู่เฉินโจวไม่มองอิ๋งจื่อจินอีก เขากวักมือเรียกพนักงานคนหนึ่ง “ไปบอกเธอว่าห้ามเข้ามาที่นี่”