บนหน้าจอคอมที่มืดสนิทได้ปรากฏตัวอักษรสีแดงอันน่าสะพรึงหนึ่งบรรทัด อีกทั้งยังมีเสียงโหยหวนดังออกมาจากคอมพิวเตอร์
[เด็กน้อย เธอเป็นอะไรกับเขา]
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย
อ่านนิยายยังจะมีคนมากวน เธออาจเจอคนที่มีนิสัยชอบก่อกวนติดตัวเข้าแล้วจริงๆ
เธอละสายตา พิมพ์ลงในกล่องข้อความ
[แล้วคุณเป็นใครกัน]
พอเห็นประโยคนี้ ภายในห้องใต้ดินแห่งหนึ่งริมฝั่งมหาสมุทร คนที่กำลังถือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินอยู่ก็เหลือบมอง
แม่สาวคนนี้โง่หรือเปล่า
เรื่องแบบนี้จะบอกเธอได้ยังไงกัน
[ฉันเป็นแฮกเกอร์]
“แฮกเกอร์เหรอ” ดูเหมือนอิ๋งจื่อจินจะนึกอะไรออก “งั้นคุณรอเดี๋ยว สักหนึ่งชั่วโมง”
[?]
เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏบนหน้าจอ
อิ๋งจื่อจินหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่เธอซื้อไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจากกระเป๋าหนังสือ นั่งอ่านอยู่ตรงนั้นโดยไม่สนว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์ยังมืดอยู่
เธออ่านเร็วมาก นาทีเดียวไปแล้วสิบกว่าหน้า ราวกับว่าแค่เปิดผ่านๆ
[อ่านอะไรอยู่น่ะ]
ไม่ได้รับคำตอบ ทางนั้นสงสัยจะตายอยู่แล้ว
หลังจากแฮกคอมพิวเตอร์เข้ามา เขาก็ย่อมควบคุมอุปกรณ์เสริมต่างๆ ได้ด้วย เช่น กล้อง เป็นต้น
ครั้นแล้วทางนั้นจึงซูมกล้องเข้าไปดูใกล้ขึ้น ก็เห็นหนังสือ ‘พื้นฐานคอมพิวเตอร์ฉบับนักศึกษา’
“…”
[เธอเป็นนักศึกษาเหรอ เธอคงไม่ได้คิดว่าอ่านหนังสือเล่มนี้จบก็จะสามารถทำลายการแฮกของฉันได้หรอกนะ]
ล้อเล่นอะไรน่ะ คิดว่าเขาไม่รู้เหรอว่า ‘พื้นฐานคอมพิวเตอร์ฉบับนักศึกษา’ มีเนื้อหาอะไรบ้าง
ก็แค่โปรแกรมพื้นฐานอย่างเวิร์ด พาวเวอร์พอยต์ บวกกับมีคำอธิบายเรื่องชิปของคอมพิวเตอร์อย่างละเอียดแค่นั้น
เด็กสาวยังคงอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
กล้องสะท้อนภาพขนตางอนยาวที่หลุบลงเล็กน้อยของเธอ ประหนึ่งปีกบางๆ ของผีเสื้อ ขยับอย่างแผ่วเบา ผิวพรรณของเธอขาวมาก เนียนละเอียด ขาวผ่องเป็นยองใย ให้ความรู้สึกเหมือนโปรงใส ผมยาวดำขลับสยายออก เงางามท่ามกลางแสงแดด งดงามเสียจนพาให้เคลิบเคลิ้ม ทำให้ยากที่จะละสายตาออกไป
ทันใดนั้นทางนั้นก็เกิดความคิดที่ไม่อยู่กับความเป็นจริง
คงไม่ใช่ว่า ตาคุณชายนั่นถูกใจแม่สาวคนนี้หรอกนะ
แต่ความคิดนี้เพิ่งจะปรากฏขึ้นก็ถูกปฏิเสธทันที
เป็นไปไม่ได้
จึ๊ เขาก็อยากจะลองดูว่า อีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังจะเกิดอะไรขึ้น
ภายในห้องใต้ดินเต็มไปด้วยถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ในขณะที่ทางนั้นหยิบบะหมี่ถ้วยที่สามขึ้นมาเริ่มกิน อิ๋งจื่อจินก็มีการเคลื่อนไหว
เธอวางหนังสือในมือลง เงยหน้าขึ้น
นิ้วเรียวยาววางลงบนคีย์บอร์ดแบบเก่า กดพิมพ์อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาที
ภายในห้องใต้ดินริมฝั่งมหาสมุทรทันใดนั้นได้เข้าสู่ห้วงความมืด
“ตื๊ดๆๆ!”
มีเสียงดังอย่างเร็วและบ้าคลั่ง
“ไอ้…!”
ทางนั้นคายบะหมี่ออกมา เบิกตาโพลงมองคอมพิวเตอร์สิบกว่าเครื่องที่สูญเสียการควบคุมพร้อมกัน เขาตะลึงมาก
แต่ก็ได้สติอย่างรวดเร็ว เริ่มโจมตีกลับทันที อยากทำให้คอมพิวเตอร์กลับมาเป็นปกติ
แต่ที่น่าตกใจก็คือ ไม่ว่าเขาจะพิมพ์โค้ดอะไรลงไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
“เป็นไปไม่ได้มั้ง…”
เขาเหงื่อแตก บะหมี่ก็ไม่อร่อยแล้ว
เขาจะกดปิดคอมพิวเตอร์พวกนี้โดยตรงก็ไม่ได้ ยังมีหลายเครื่องที่กำลังทำภารกิจอยู่ ขาดช่วงไม่ได้ ทำได้แค่…
[ลูกพี่ ผมผิดไปแล้ว ปล่อยผมไปเถอะ]
[พี่สาวๆ ผมยังต้องหาเงินกินข้าวนะ]
[ผมยอมคุกเข่าแล้ว คุกเข่าแล้วจริงๆ พี่สาวต่างหากที่เป็นแฮกเกอร์ ต่อหน้าพี่สาวผมมันก็แค่ไอ้ขี้หมา]
พอเห็นข้อความแบบนี้อิ๋งจื่อจินก็หาวออกมา เธอตอบกลับ
[คิดมากแล้ว ฉันไม่ใช่แฮกเกอร์]
เธอไม่เคยสัมผัสกับเทคโนโลยีใหม่อย่างคอมพิวเตอร์แบบนี้ แต่เนื่องจากความสามารถทางด้านพยากรณ์ หลังจากที่เธออ่านหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เสร็จก็สามารถวิเคราะห์โครงสร้างภายในได้ นี่ก็เป็นสาเหตุที่เธอเรียนรู้อะไรได้เร็วมาตลอด
เธอโจมตีเข้าถึงแก่นโดยตรง ไม่ใช่ว่าการใส่โค้ดจะช่วยแก้ปัญหาได้ คนละลักษณะกับแฮกเกอร์อย่างสิ้นเชิง
เวลานี้บนหน้าจอปรากฏสองประโยค อีกทั้งยังมีสีสัน
[ลูกพี่ค้าบ ขอร้องล่ะค้าบ ผมก็แค่สงสัยในตัวลูกพี่ ไม่ได้คิดจะทำอะไรเลยจริงๆ]
[พี่สาวค้าบ พี่สาวดูนะเดี๋ยวผมทำหน้าแบ๊วๆ ให้ดู พี่สาวจะปล่อยผมไปได้ไหมค้าบ]
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้วเล็กน้อย
เธอรู้ว่าแฮกเกอร์ที่มาแฮกคอมพิวเตอร์ของเธอคนนี้เกี่ยวข้องกับฟู่อวิ๋นเซิน และก็ถือเป็นคนที่เคยช่วยเธอไว้
แต่มารบกวนตอนเธออ่านนิยาย ทำเธออารมณ์เสีย และก็ไม่อยากให้เขามีความสุข
แต่เล่นกันสนุกๆ แค่นี้ก็พอแล้ว
อิ๋งจื่อจินละสายตา กดแป้นพิมพ์อย่างไม่รีบร้อน
[เด็กน้อยไม่ใช่คำที่นายจะเรียกได้]
[ห้ามมีครั้งต่อไป]
หลังจากตอบเสร็จเธอก็ปลดการควบคุมคอมพิวเตอร์ของทางนั้น
จากนั้นก็นั่งพิงเก้าอี้อีกครั้ง ดื่มชานมพลางอ่านนิยาย เรื่อยๆ สบายใจ
หารู้ไม่ว่าทางนั้นถูกเธอเล่นงานจบแทบบ้า สติแตกแทบระเบิดออก โมโหจนไปแฮกเข้าคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง
[นายไปรู้จักคนวิปริตมาเหรอ]
[โหดมาก]
[รู้ไหมว่าเธอทำอะไร]
ตอนที่ได้สามข้อความนี้ฟู่อวิ๋นเซินกำลังต้มชา
ควันโชยกรุ่น บดบังดวงตาดำขลับของชายหนุ่ม ดุจเมฆขาวที่ลอยฟุ้งเป็นวงกว้าง บดบังแสงทุกอย่างบนท้องฟ้า
แต่ทว่ากลับไม่อาจบดบังรูปงามของเขา ยิ่งทำให้ดูสูงส่งมากกว่าเดิม
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองคอมพิวเตอร์ เพียงชั่วเวลาหนึ่งวินาทีได้ปรากฏข้อความสามบรรทัดขึ้นมาอีก
[เธอใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงอ่านหนังสือพื้นฐานคอมพิวเตอร์ฉบับนักศึกษาจบ จากนั้นก็มาแฮกคอมพิวเตอร์ฉันแทน!]
[ย้าก นี่มันเป็นการดูถูกแบบไหนกัน]
[ฉันเคยแฮกเข้าคอมฯ ของธนาคารลอเรนท์กับมหาลัยนอร์ตันมาแล้วนะ!!!]
เครื่องหมายตกใจติดกันสามอัน เห็นได้ชัดว่าโมโหขนาดไหน
ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้วแน่น รู้สึกเหนือความคาดหมาย
หลังจากเช็ดมือให้สะอาดเขาถึงตอบ
[เด็กน้อยของฉันเก่งจริงๆ]
ประโยคเดียวทำให้ทางนั้นเป็นบ้าหนักกว่าเดิม
[ไสหัวไป!]
[ฉันถูกพวกวิปริตสองคนอย่างพวกนายปั่นหัว คนวิปริตอย่างพวกนายออกมาก่อกวนชาวบ้านเขาทำไมเนี่ย]
[ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะเอาข้อมูลของนายขายให้พวกที่ติดอันดับนักล่าทั้งหมด ให้พวกเขาเอานายถึงตาย]
ริมฝีปากฟู่อวิ๋นเซินยกขึ้น สีหน้าเหนื่อยหน่าย
[เอาเลย ตามใจ]
…
เจียงซื่อกรุ๊ป
ภายในห้องทำงานชั้นที่ยี่สิบเจ็ด
เจียงมั่วหย่วนคลายเนกไท นั่งลง เบื้องหน้าเต็มไปด้วยสีเขียว เขาพูดด้วยความเหนื่อยล้า “รายงานเหตุการณ์ช่วงนี้หน่อย”
“ครับ ท่านสาม” เลขาเปิดแฟ้ม “รายการ ‘วัยรุ่นสร้างฝัน หนึ่งศูนย์หนึ่ง’ ที่ตระกูลเจียงลงทุนได้จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กำไรหลายสิบเท่า เพียงแต่ในเน็ตด่ากันระงมครับ”
‘วัยรุ่นสร้างฝัน หนึ่งศูนย์หนึ่ง’ เป็นรายการเฟ้นหาคนอันดับหนึ่งของประเทศจีน ตระกูลเศรษฐีหลายตระกูลในตี้ตูที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบันเทิงก็ทำการลงทุนเช่นกัน อีกทั้งยังมีราชาราชินีในวงการภาพยนตร์เข้าร่วมสนับสนุน ร้อนแรงมากทีเดียว ตระกูลเจียงก็ถือว่าได้เกาะกระแสไปด้วย
เจียงมั่วหย่วนตอบอืม ไม่สนใจอย่างเห็นได้ชัด
เลขารู้ใจ เปิดอีกแฟ้มหนึ่ง “อาการของท่านผู้เฒ่าฟู่ทรุดลงกว่าเดิม ทางตระกูลจงปกติทุกอย่าง ตระกูลอิ๋งกับตระกูลมู่ในตี้ตูมีการเจรจากัน…”
พอได้ยินว่ามีความเคลื่อนไหวในเมืองฮู่เฉิง สองมือของเจียงมั่วหย่วนก็ประสานกัน สีหน้าคลุมเครือ
“ท่านสามครับ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” เลขาลังเลเล็กน้อย นึกถึงเรื่องเวยปั๋ววันนั้น “คุณหนูรองตระกูลอิ๋งเธอ…”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกขัดจังหวะ
เจียงมั่วหย่วนยกมือห้าม พูดอย่างเย็นชา “ฉันไม่อยากฟังเรื่องของเธอ”
จากนั้นก็นึกถึงท่าทีที่อิ๋งจื่อจินมีต่อเขาในวันนั้น ในใจเย็นชาสุดขั้ว