เป็นความจริงที่ว่า เมื่ออยู่นอกเมืองตี้ตู ชื่อเสียงของตระกูลเมิ่งยังอยู่ห่างไกลกับตระกูลมู่และตระกูลเนี่ยอยู่มาก คนทั่วไปไม่รู้จัก
หรือแม้กระทั่งตระกูลตี้อู่ก็ไม่รู้จัก
เนื่องจากนักพยากรณ์ดวงชะตามีจำนวนลดน้อยลงเรื่อยๆ ช่วงยุคหลังของศตวรรษที่ยี่สิบ ตระกูลตี้อู่ก็หันไปทำธุรกิจแล้ว
ถึงแม้จะยังสู้ตระกูลมู่ไม่ได้ แต่ก็มีรากฐานที่มั่นคง
อย่างไรเสียประวัติของตระกูลตี้อู่ก็สามารถไล่เรียงไปถึงสมัยราชวงศ์ถังได้
ตี้อู่เซ่าเสียนมีพรสวรรค์ในการพยากรณ์โชคชะตามากขนาดนั้น เดิมทีเมื่อก่อนบรรพบุรุษของเขาอยู่ในวังหลวงทำนายดวงชะตาให้เหล่าเชื้อพระวงศ์มาตลอด
คนภายนอกต่างรับรู้ว่าตระกูลเมิ่งเป็นตระกูลแพทย์แผนจีน
ทว่ามีเพียงคนที่ได้ใกล้ชิดกับตระกูลเมิ่งเท่านั้นถึงรู้ว่า ถึงแม้ประวัติของตระกูลเมิ่งจะยาวนานสู้ตระกูลอื่นไม่ได้ แต่ก็มีความสามารถที่เก่งจนน่ากลัว
ข้างกายของแพทย์แผนโบราณจะต้องมีจอมยุทธ์คอยคุ้มกัน
จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งหนึ่งคนสามารถกวาดล้างตระกูลใหญ่ที่อยู่ในโลกของปุถุชนได้
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมตระกูลใหญ่ๆ ถึงมุ่งมั่นที่จะตามหาพวกจอมยุทธ์
มีจอมยุทธ์มานั่งเป็นเสาหลักยังจะต้องกลัวอะไรอีก
มู่เฉินโจวไม่รู้ถึงการมีอยู่ของจอมยุทธ์ เขาจึงคิดมาตลอดว่าตระกูลเมิ่งเทียบชั้นกับตระกูลมู่ไม่ได้
แต่เขาเคยได้ยินคุณนายมู่บอกว่า อาการป่วยของมู่เฮ่อชิงล้วนต้องพึ่งการรักษาอย่างเอาใจใส่ของพวกหมอเทวดาในตระกูลเมิ่งทั้งหมด
นี่ไม่ถือว่าเป็นความลับในตระกูลมู่
มู่เฮ่อชิงยังอยู่ ตระกูลมู่ก็ไม่ล้ม
ด้วยเหตุนี้ทุกคนในตระกูลมู่จึงให้ความยำเกรงสมาชิกทั้งหมดของตระกูลเมิ่งเป็นพิเศษ
มู่เฉินโจวรู้สึกยิ่งกว่าเดิมว่า อิ๋งจื่อจินไม่ได้มีความฉลาดเลยจริงๆ เขาผิดหวังมากกว่าเดิม
แม้แต่ตระกูลมู่ยังไม่คิดจะไปแย่งชิงอะไรกับตระกูลเมิ่ง ตระกูลเมิ่งอยากได้อะไรก็ควรเตรียมไว้ให้
ไปแย่งดอกทิวลิปพันธุ์หายากที่ตระกูลเมิ่งจับจองไว้แล้วอย่างนั้นเหรอ
นี่ไม่เท่ากับตัดอนาคตของตัวเองหรอกเหรอ
สมาชิกตระกูลเมิ่งทุกคนต่างเรียนแพทย์ อีกทั้งยังกระจายกันอยู่ทั่วทั้งประเทศ หรือแม้กระทั่งในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ของโลก
ถ้าล่วงเกินตระกูลเมิ่ง อีกหน่อยป่วยก็ไม่มีใครรักษา
มู่เฉินโจวรู้ถึงเหตุผลข้อนี้ถึงได้บอกให้อิ๋งจื่อจินยอมถอยจากของประมูลชิ้นนี้
นี่เป็นการเตือนและแจ้งให้ทราบ
บรรดาแขกเหรื่อในห้องจัดงานต่างคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นระหว่างการประมูล
แถมคนที่พูดยังเป็นมู่เฉินโจว คุณชายสายตรงของตระกูลมู่
เพียงชั่วพริบตา สายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่เด็กสาวที่กำลังชูป้ายประมูล
มีทั้งสายตาสงสัยและตกใจ รวมถึงสายตาพินิจพิจารณา
จงมั่นหวาไม่ได้มองไป
มือของเธอจับกระเป๋าแน่น ความรู้สึกอับอายอย่างรุนแรงทะลักขึ้นมาเต็มสมอง ทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้อง
เพราะอะไรเธอถึงยอมวางยานอนหลับในน้ำผลไม้ที่ให้อิ๋งจื่อจิน ดีกว่าพาอิ๋งจื่อจินมาออกงานด้วย ก็เพราะกลัวจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้
ตอนนี้กลับได้เรื่อง ไม่เพียงแต่จะขายหน้าไปทั่วทั้งวงการไฮโซของฮู่เฉิง ยังทำขายหน้าต่อหน้าคุณหนูคุณชายของตี้ตูด้วย
ผ่านไปสักพักกว่าจงมั่นหวาถึงจะเริ่มหายใจได้คล่อง
การตัดสินใจในตอนแรกของเธอนั้นถูกต้องแล้ว คุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋งต้องเป็นอิ๋งเย่ว์เซวียนเท่านั้น
“มู่เฉินโจว น่าตลกจริงๆ” อิ๋งเทียนลี่ว์ยืนขึ้นท่ามกลางความเงียบ “ขอถามหน่อย นายมีสิทธิ์อะไรมาหยุดการประมูลครั้งนี้”
สายตาของเขาเย็นชา น้ำเสียงไม่พอใจ “ถ้าฉันจำไม่ผิด แม้แต่บัตรเชิญของนายยังไม่ได้มาจากผู้เฒ่ามู่ด้วยซ้ำ ไม่ให้คนอื่นเข้าร่วม นายคิดว่าตัวเองเป็นใครเหรอ”
พอคำพูดนี้ออกมา แขกทั้งงานก็ตะลึง
คนที่มางานเต้นรำครั้งนี้ล้วนเป็นเศรษฐีตระกูลใหญ่ และต่างก็รู้สถานะของมู่เฉินโจว
ตระกูลมู่แห่งตี้ตู!
ดังนั้นต่อให้เขาไม่ใช่คนจัดงานครั้งนี้ แต่ทุกคนต่างก็มองเขาเป็นกึ่งผู้จัดงานอย่างรู้กัน
“เทียนลี่ว์!” จงมั่นหวาสีหน้าเปลี่ยน แต่มีคนอยู่เยอะขนาดนี้เธอจะใช้เสียงดังไม่ได้ ทำได้เพียงกัดฟันพูด “เทียนลี่ว์ บ้าไปแล้วเหรอ!”
ตระกูลอิ๋งของพวกเขาเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลเศรษฐีใหญ่ก็จริง แต่เทียบกับตระกูลมู่ได้ที่ไหนกัน
ล่วงเกินตระกูลมู่ วันหน้าตระกูลอิ๋งยังจะประสบความสำเร็จอะไรในทางธุรกิจได้อีก
แค่ตระกูลมู่พูดลอยๆ ก็สามารถปิดกั้นเส้นทางทำกินของตระกูลอิ๋งได้แล้ว
มู่เฉินโจวอึ้งไปชั่วขณะ แต่เขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “บัตรเชิญของฉันไม่ได้มาจากคุณปู่จริงๆ ฉันเอามาได้ด้วยความสามารถของตัวเอง”
สายตาของอิ๋งเทียนลี่ว์เริ่มดุดัน แสยะยิ้ม
เขาที่สุภาพวางตัวดีมาตลอดได้พูดหยาบคายออกมา “นายมันก็ดีแต่พูดเพ้อเจ้อ”
บรรดาแขกเหรื่อต่างพากันซุบซิบ
มู่เฉินโจวเม้มริมฝีปาก
ในที่สุดผู้ชายที่นั่งข้างเขาก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง
คล้ายมีรอยยิ้มในดวงตา แต่กลับไม่ได้มาจากส่วนลึก
เขาจิบชาอย่างสุภาพแล้วถึงพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมรื่นหู “ขอโทษด้วยครับ อาจเพราะผมอยากได้ดอกไม้หายากชนิดนี้มากเกินไป”
“แต่ไม่ได้นำเงินมามากขนาดนั้น ก็เลยจำต้องขอให้คุณผู้หญิงท่านนี้ถอนตัวจากการประมูลครั้งนี้ ยอมตัดใจนะครับ”
“หลังจากนี้ตระกูลเมิ่งจะตรวจรักษาให้คุณฟรีหนึ่งครั้งโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น”
จงมั่นหวาเงยหน้าขึ้นทันที รู้สึกดีใจขึ้นมา
เธอไหว้วานให้คุณนายมู่ติดต่อตระกูลเมิ่งมาตลอด แต่ตระกูลเมิ่งก็ไม่มา
ตอนนี้มีโอกาสดีขนาดนี้วางอยู่ตรงหน้า จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
อาการปวดหัวของคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งจะรอช้าไม่ได้
“เธอจะถอนตัวจากการประมูลค่ะ” จงมั่นหวาจัดชุดให้เรียบร้อยแล้วยืนขึ้น ยิ้มให้ผู้ชายคนนั้น “เธอไม่รู้เรื่องดอกไม้อะไรนั่นหรอกค่ะ ประมูลมาได้ก็เสียของ จะถอยให้คุณนะคะ”
พูดจบก็หันไปเรียกด้วยเสียงอ่อนโยน “จื่อจิน รีบรับปากสิ ถ้าลูกอยากได้ดอกไม้ เดี๋ยวกลับไปแม่จะซื้อให้หลายๆ กระถางเลยนะ ดีไหม”
ดอกไม้ดอกเดียวแลกกับการรักษาฟรีจากตระกูลเมิ่งได้หนึ่งครั้งเชียวนะ
“คุณนายอิ๋งช่างน่าสนใจจริงนะครับ เริ่มทำตัวสนิทสนมเอาตอนนี้” ดวงตาของฟู่อวิ๋นเซินขยับ เขาแสยะยิ้ม น้ำเสียงเย็นชา “อยากให้ผมเตือนสติอีกครั้งไหมครับ…”
“เยาเยาย้ายออกจากทะเบียนบ้านตระกูลอิ๋งแล้ว ไม่ใช่คนของตระกูลอิ๋ง คุณยังจะเรียกแทนตัวเองว่าแม่อีก วันนี้ลืมกินยาก่อนมาเหรอครับ”
อิ๋งจื่อจินเอามือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ แววตาดุจหิมะ น้ำเสียงเรียบเฉย “อาจกินเยอะไปก็ได้นะ”
จงมั่นหวารู้สึกเหลือเชื่อ
ราวกับมีคนต่อยเธอกลางอากาศ แม้แต่เลือดตรงริมฝีปากก็หายไปหมด
เธอได้ยินพวกคุณนายที่สนิทกับเธอที่นั่งอยู่แถวนั้นพากันซุบซิบ ทั้งยังเงยหน้ามองเธอ
“เอ๊ะ ที่แท้ก็ไม่ได้ถูกไล่ออกไป เธอออกไปเองงั้นเหรอ ก็แสดงว่าคุณนายอิ๋งพูดมั่วๆ เองน่ะสิ”
“ช่างเถอะ ฉันเองก็ชินแล้ว มั่นหวายึดติดกับศักดิ์ศรีมาตลอด จะพูดโกหกก็เป็นเรื่องปกติ”
“แต่ว่านะมั่นหวา เธอ…ไม่ใช่แม่ของเด็กคนนั้นแล้ว เมื่อกี้พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง”
จงมั่นหวารู้สึกหูอื้อ ยืนแทบไม่อยู่
สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด
เธอเป็นพวกรักษาภาพพจน์มาตลอด ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังก็ล้วนต้องเป็นสตรีไฮโซที่สง่างาม
เคยถูกคนพูดแบบนี้ใส่ที่ไหนกัน
อิ๋งเย่ว์เซวียนรีบประคองเธอนั่งลง “ดื่มน้ำอุ่นหน่อยนะคะแม่”
จงมั่นหวาเนื้อตัวเย็นเฉียบ มือก็กำลังสั่น คอแห้งผาด “น้องสาวของลูก…น้องสาวของลูก…”
อิ๋งเย่ว์เซวียนขมวดคิ้ว “แม่คะ งานประมูลไม่ใช่ว่าใครให้ราคาสูงก็ได้ของไปเหรอคะ อีกอย่างน้องจื่อจินก็ถูกใจดอกทิวลิปดอกนั้นก่อน ในเมื่อน้องมีเงิน ให้ราคาก็สูง ก็ต้องเป็นของน้องสิคะ”
“เด็กคนนั้นจะไปเอาเงินมาจากไหนได้” จงมั่นหวาหายใจแรง แสยะยิ้ม “ลูกดูสิว่าน้องอยู่กับใคร ฟู่อวิ๋นเซิน!”
“คนอื่นให้เงินนิดหน่อยก็ขายตัวเองแล้ว ลูกคิดว่าน้องหาเงินมาได้เองเหรอ”
เธอไม่เคยเอาบัตรให้อิ๋งจื่อจิน ขนาดอิ๋งเย่ว์เซวียนเธอยังไม่เคยให้เงินหนึ่งล้านในครั้งเดียวสำหรับเอาไว้ใช้ แล้วอิ๋งจื่อจินจะมีได้อย่างไร
อิ๋งเย่ว์เซวียนเลิกพูด
ส่วนผู้ชายที่เอ่ยปากก่อนหน้านี้ก็ขมวดคิ้ว มองไปทางมู่เฉินโจว
มู่เฉินโจวส่ายหน้า “เรื่องของตระกูลอิ๋งค่อนข้างซับซ้อนครับ”
ผู้ชายคนนั้นครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ พูดเพียงว่า “วันนี้ต้องเอามาให้ได้”
“แน่นอนครับ” มู่เฉินโจวพยักหน้า “เธออายุยังน้อย ไม่ประสีประสาเรื่องพวกนี้ อย่าไปถือสาเธอเลยครับ”
คำพูดนี้หมายถึงอิ๋งจื่อจิน
“หืม?” รอยยิ้มของผู้ชายคนนั้นกว้างขึ้น “แน่นอนว่าคงไม่ถึงกับถือสาเด็กสาวแค่คนเดียว”
คนที่อยู่ที่นี่ ต่อให้รักษาโรคเป็นก็มองไม่ออกว่าดอกทิวลิปดอกนี้แท้จริงแล้วเป็นหลิงจือหิมะสมุนไพรหายาก
หลิงจือหิมะ มีเพียงแพทย์แผนโบราณเท่านั้นที่รู้ว่าต้องใช้อย่างไร
หากวางไว้ในบ้านคนทั่วไปก็เป็นเพียงดอกไม้ที่ไว้สำหรับประดับเสียมากกว่า
เขาเองก็อ่านมาจากตำราตกทอดของบรรพบุรุษในแวดวงแพทย์แผนโบราณ ถึงได้รู้ว่าดอกไม้ชนิดนี้คือหลิงจือหิมะ
มู่เฉินโจวโล่งอก ให้สัญญาณนักประมูลที่อยู่บนเวที “เริ่มใหม่”
เดิมทีนักประมูลก็มาจากตี้ตู เขาย่อมไม่มีทางล่วงเกินมู่เฉินโจวกับคนของตระกูลเมิ่ง
“ผมจะช่วยประมูลให้นะครับ” ขณะพูดมู่เฉินโจวก็ชูป้ายประมูลขึ้น “ห้าหมื่น”
นักประมูลรีบเคาะอย่างรวดเร็วเพราะกลัวจะถูกแย่ง
คิ้วที่ขมวดอยู่ของผู้ชายที่นั่งข้างมู่เฉินโจวถึงค่อยๆ คลายออก
แต่วินาทีที่นักประมูลกำลังจะเคาะครั้งที่สามก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
“ห้าล้าน”
“…”
เกิดความเงียบขึ้นทันที
“หรือว่า…”
ฟู่อวิ๋นเซินหันหน้ามา ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏแก่สายตาของทุกคน จะพูดว่าสยบคนทั้งงานได้ก็คงไม่เกินไป
น้ำเสียงของเขาเอื่อยเฉื่อยเช่นเคย หากตั้งใจฟังจะรู้สึกได้ถึงความเย็นชา “คุณก็จะไม่ให้ผมเข้าร่วมประมูลครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน”
สีหน้าของมู่เฉินโจวแย่ลงไปมาก เม้มริมฝีปากแน่น
ผู้ชายที่นั่งข้างเขาก็หุบยิ้ม เป็นครั้งแรกที่มองไปทางต้นเสียง
พอเห็นก็ดวงตาเบิกโพลง