งานประมูลครั้งนั้นตระกูลมู่กับตระกูลอื่นๆ แค่ช่วยสนับสนุนนิดหน่อย ไม่ถือเป็นฝ่ายจัดงานอย่างแท้จริง
ต่อให้มีวัตถุโบราณหนึ่งชิ้น มู่เฮ่อชิงก็ไม่มีทางให้ความสนใจมากนัก
เขาแค่อยากใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยยกตระกูลให้ผู้สืบทอดเมื่อไร เขาก็จะออกไปเที่ยวเล่นตามประสา
แต่เนื่องจากมีอิ๋งจื่อจินอยู่ด้วย มู่เฉิงจึงจับตาดูงานครั้งนั้นเป็นพิเศษ
เขาถึงรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นในงานประมูล
เรื่องแบบนี้มู่เฉิงย่อมไม่มีทางไปรบกวนมู่เฮ่อชิง
แต่เขาเชื่อว่า ขอแค่อิ๋งจื่อจินพูดมา มู่เฉินโจวก็ไม่มีทางได้สืบทอดตระกูลมู่
มู่เฉิงถึงได้ถาม
อิ๋งจื่อจินกำลังดื่มชา พอได้ยินคำถามก็ไม่ได้หยุด “ใครเหรอคะ”
มู่เฉิง “…”
เขาคิดมากไปเอง
ในสายตาของคุณอิ๋ง บางครั้งมู่เฮ่อชิงก็ยังสำคัญไม่เท่าขนม
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินโจว แล้วเธอจะเก็บเอาคนไม่สำคัญมาใส่ใจได้อย่างไร
ช่างน่าเห็นใจ
มู่เฉิงกระแอม พูดอย่างจริงจัง
“ไม่มีอะไรครับ คุณอิ๋ง ผมช่วยแกะขนมให้นะครับ”
…
ภายในห้องส่วนตัว
หลังจากฟู่อวิ๋นเซินเข้าไปแล้วก็ปิดประตู
สาเหตุที่มู่เฮ่อชิงเลือกร้านน้ำชาแห่งนี้ก็เป็นเพราะที่นี่เก็บเสียงดี
เขานั่งขัดสมาธิ คิดอยู่สักพักแล้วถึงเอ่ยขึ้น “เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่ฉันไปฮู่เฉิง เห็นปู่ของนายดูเหมือนจะแข็งแรงแล้ว เสี่ยวอิ๋งรักษาจนหายเหรอ”
“ครับ” ฟู่อวิ๋นเซินตอบ “เดิมทีผมยอมแพ้แล้ว”
ไม่ใช่ยอมแพ้เรื่องผู้เฒ่าฟู่ แต่ยอมแพ้ให้กับตัวเอง
“โชคดี” มู่เฮ่อชิงโล่งอก “ปู่ของนายถือว่าเคยเป็นลูกน้องของฉัน เห็นเขาทุกข์ทรมานเพราะการเจ็บป่วย ฉันก็รู้สึกแย่เหมือนกัน”
สถานการณ์ของผู้เฒ่าฟู่ไม่เหมือนเขา ของเขาเป็นเพราะถูกยิงตรงตำแหน่งที่ใกล้หัวใจ ถึงทำให้หลงเหลืออาการต่างๆ ไว้มากมาย ถึงแม้ผู้เฒ่าฟู่ก็เคยบาดเจ็บในสนามรบ แต่ไม่ถึงแก่ชีวิต อย่างมากสุดก็แค่พอแก่ตัวลงจะเดินเหินไม่สะดวกเท่าคนทั่วไป
สิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าฟู่ต้องอยู่เหมือนตายทั้งเป็นคือพิษที่มีฤทธิ์รุนแรงนั่น มู่เฮ่อชิงรู้ว่าฟู่อวิ๋นเซินเคยเชิญแพทย์แผนโบราณจากในวงการ แถมยังเป็นไม่กี่คนนั้นที่ฝีมือล้ำเลิศที่สุด แม้จะเป็นคุณหนูจากตระกูลเมิ่งที่ก่อนหน้านี้รักษาเขามาตลอดก็ยังสู้หมอเหล่านี้ไม่ได้ อย่างไรเสียอายุของหมอเหล่านี้ก็มากกว่าเขา เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้และประสบการณ์
ซึ่งถ้าอยากให้แพทย์แผนโบราณเหล่านี้เป็นฝ่ายออกมานอกวงการเอง จุดนี้แม้แต่เขาก็ทำไม่ได้ โดยเฉพาะตระกูลเมิ่งนิสัยของพวกสมาชิกสายตรงพิลึกมาก ไม่มีทางไว้หน้าใคร
ใช่ว่ามู่เฮ่อชิงจะไม่เคยขอให้คุณหนูตระกูลเมิ่งไปรักษามู่เหวยเฟิง แต่เขาถูกปฏิเสธ
แต่ถึงจะเป็นแบบนี้แพทย์แผนโบราณที่ฝีมือล้ำเลิศเหล่านี้ก็ยังไม่อาจถอนพิษในตัวผู้เฒ่าฟู่ได้
ฟู่อวิ๋นเซินหลุบตาลง “คุณปู่ทำเพื่อผม”
ริมฝีปากของเขายกขึ้น ยังคงอ่อนโยน แต่น้ำเสียงกลับเย็นชา “ถ้าไม่มีผม เขาไม่มีทางเป็นแบบนี้”
“เรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนน่ะเหรอ” มู่เฮ่อชิงขมวดคิ้ว “ตอนนั้นนายเพิ่งจะสองขวบ นายขัดขวางไม่ได้หรอก”
ขณะพูดเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก “อย่าว่าแต่นายเลย ฉันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ขนาดแค่ได้ยินตอนหลังก็ยังฝังใจ”
ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กอายุสองขวบผ่านตอนนั้นมาได้ยังไง
มู่เฮ่อชิงถามต่อ “พวกคนที่ไปบ้านตระกูลฟู่ตอนนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่พบเหรอ”
“ยังครับ” ฟู่อวิ๋นเซินแสยะยิ้ม “พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวอีก แต่ก็ยังพอมีร่องรอยอยู่บ้าง”
มู่เฮ่อชิงขมวดคิ้วอีกครั้ง “ขนาดนายยังสืบไม่เจอ มันไม่น่านะ…”
ยี่สิบปีก่อนมีคนกลุ่มใหญ่ไปที่บ้านตระกูลฟู่ พิษที่อยู่ในร่างกายผู้เฒ่าฟู่ก็มาจากตอนนั้น
เขาเองก็เคยตามสืบเรื่องนี้ แต่ก็ไม่พบอะไร
“มีคนในวงการแพทย์แผนโบราณกำลังตามหาตัวนาย” มู่เฮ่อชิงส่ายหน้า เปลี่ยนเรื่องคุย
“นายมาปรากฏตัวที่ตี้ตู คิดว่าอีกไม่นานคงมีคนของพวกเขามาหาถึงที่”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดอะไรดวงตาดอกท้อหลุบลงวูบไหวขรึมลง
มู่เฮ่อชิงครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “ฉันยังมีอีกเรื่องที่อยากให้นายช่วย ตอนเข้าไปในแวดวงแพทย์แผนโบราณ ช่วยฉันเชิญหมอคนหนึ่งหน่อย”
“หลานชายของฉันคนนึงสุขภาพไม่ค่อยดี ช่วงนี้อาการหนักขึ้น”
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินยกมุมปาก “เยาเยาก็อยู่ไม่ใช่เหรอครับ คนในวงการแพทย์แผนโบราณก็ยังเก่งสู้เธอไม่ได้ เธอรักษาได้”
มู่เฮ่อชิงส่ายมือ “ไม่อยากรบกวนเธอ”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ปฏิเสธ “ได้ครับ คืนนี้ ไปด้วยกันเลยดีกว่า”
…
เวลาสามทุ่ม
ภายในคฤหาสน์ตระกูลมู่เกิดความโกลาหล
เพราะตอนที่คนรับใช้เอาของไปให้มู่เหวยเฟิงก็พบว่าเขาเป็นลมหมดสติอยู่ในบ้าน ตรงริมฝีปากยังมีคราบเลือดติดอยู่
พ่อบ้านรีบเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก นำตัวเขาส่งโรงพยาบาลตี้ตูทันที
หมอผู้เชี่ยวชาญโรคทรวงอกทุกคนต่างถูกเรียกเข้ามาในห้องไอซียู
นี่ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ครั้งแรกของมู่เหวยเฟิงแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงสูง
แม้แต่คุณนายมู่ก็ยังนึกไม่ถึงว่า ร่างกายของมู่เหวยเฟิงจะทรุดเร็วขนาดนี้
แต่นี่กลับเป็นเรื่องดีสำหรับเธอ
คุณนายมู่เรียกรถไปที่โรงพยาบาลตี้ตู
พอขึ้นไปชั้นบนเธอก็เห็นมู่อวี่ซี
น้องสาวของมู่เหวยเฟิง
มู่อวี่ซียังเรียนอยู่ เธออยู่ในชุดนักเรียน สะพายกระเป๋าเป้ เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก ดวงตาแดงก่ำ
ตอนคุณนายมู่มาถึงก็เช็คจนแน่ใจแล้วว่า ไม่ว่าจะมู่เฉิงหรือมู่เฮ่อชิงต่างไม่อยู่ตอนเย็น
เธอถือกระเป๋าเดินอย่างสง่างามเข้าไป “อวี่ซี ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่ชายของเธอเป็นคนดีฟ้าย่อมคุ้มครองไม่มีทางเป็นอะไร”
มู่อวี่ซีไม่พูดอะไร สายตาจ้องไปที่ห้องผ่าตัด
“เธอเห็นแล้วใช่ไหม พวกเขาช่วยพี่ชายเธอไม่ได้” คุณนายมู่พูด “แต่อาช่วยได้ เมื่อตอนบ่ายอาบอกพี่ชายเธอแล้ว ขอเพียงแต่เขาถอนตัวจากการทดสอบคัดเลือกผู้สืบทอด อาก็จะช่วยเชิญหมอมารักษาให้ แต่เขาก็ไม่ฟัง”
“แล้วดูซิ ตอนนี้มีสภาพไหนแล้ว อาการหนักขนาดนี้เข้าทดสอบไม่ได้แม้แต่รอบแรก”
มู่อวี่ซีปากสั่น เงยหน้าเหมือนหุ่นยนต์ “อาว่าอะไรนะคะ”
คุณนายมู่มองเธอ คล้ายกับพอใจที่เห็นใบหน้าซีดเซียวของเธอ
“อาทำข้อตกลงกับเธอแล้วกัน ขอแค่เธอถอนตัวไม่เข้าทดสอบ อาจะเชิญหมอมารักษาพี่ชายของเธอ เป็นไง”
มู่เหวยเฟิงอาการกำเริบได้ถูกเวลามาก
อาการกำเริบครั้งนี้ เขาก็ไปเข้าร่วมการทดสอบไม่ได้แล้ว
ต่อให้รักษาได้ก็ต้องพักฟื้นอีกนาน
เดิมทีเธอคิดแค่ว่าอยากให้มู่เหวยเฟิงถอนตัวไม่เข้าทดสอบแค่คนเดียว ตอนนี้แม้แต่มู่อวี่ซีก็ถูกบีบคั้นด้วย
นับตั้งแต่ท่านสามกับคุณนายสามของตระกูลมู่จากไปพร้อมกัน สองพี่น้องคู่นี้ก็พึ่งพากันและกัน ผูกพันกันมาก
คุณนายมู่เชื่อว่ามู่อวี่ซีจะเลือกทางที่ถูกต้อง
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การแก่งแย่งชิงดีในตระกูลใหญ่มีอยู่ไม่น้อย
อีกทั้งอาการป่วยของมู่เหวยเฟิงก็ไม่ใช่ฝีมือเธอ
ต่อให้มู่เฮ่อชิงรู้เรื่องพวกนี้ก็ไม่มีทางยุ่ง
นี่ไม่ใช่การทำร้ายเล่นงานอะไรเป็นการแข่งขันตามปกติ แค่ทำข้อตกลงกันเท่านั้น
มู่อวี่ซีเขี่ยปอยผมเปียกชื้นตรงหน้าผาก กัดฟันพูด
“หนูจะรู้ได้ยังไงว่าอาพูดจริงหรือเปล่า ขนาดหมอตั้งหลายคนยังรักษาพี่ชายของหนูไม่ได้”
“ไม่เชื่อก็แล้วแต่เธอนะ” คุณนายมู่ใจเย็น พูดแฝงความนัย “อย่างไรซะอาการของพี่เธอก็จะรอช้าไม่ได้แล้ว หมอในโรงพยาบาลตี้ตูเก่งก็จริง แต่ก็เทียบไม่ได้กับหมอฝีมือดีระดับโลกหรือเปล่า”
มู่อวี่ซีไม่ตอบ แค่รู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว
“อาทำเพื่อพวกเธอนะ อาเองก็ไม่อยากเห็นพี่ชายเธอต้องตายไปทั้งแบบนี้” คุณนายมู่ส่ายหน้า “เอาล่ะ ถ้าเธออยากคิดก่อนก็ได้ รอดูเอานะว่าพี่ชายของเธอจะทนได้สักแค่ไหน” พูดจบคุณนายมู่ก็ออกไป
เธอเดินไปด้านข้าง ถูกเคอฮุ่ยจูจับมือไว้
“พี่ ถ้าเด็กคนนั้นไม่รับปากจะทำยังไง แล้วถ้ามู่เหวยเฟิงตายล่ะแบบนั้นจะได้ไม่คุ้มเสียนะ”
“ฮุ่ยจู ไม่ต้องกังวล” คุณนายมู่ส่ายมือ “อาการป่วยของเขายื้อได้ไม่กี่วันหรอก ถ้าตระกูลมู่รักษาเขาได้ไม่ทำไปนานแล้วเหรอ”
“หมอฝีมือดีคนนี้ไม่รู้จักตระกูลมู่ มีแค่ทางเธอที่เชิญมาได้ เธอคอยดูนะเดี๋ยวมู่อวี่ซีก็มาหาพี่”
เคอฮุ่ยจูยังคงร้อนใจ แต่พอได้ยินคุณนายมู่พูดแบบนี้ก็จำต้องรอ
ยังไม่ถึงสามนาทีเคอฮุ่ยจูก็เห็นมู่อวี่ซีที่ยืนอยู่หน้าห้องผ่าตัดเดินมาทางนี้
“ดูสิ” คุณนายมู่ยิ้ม พูดประชด “มาแล้วเหรอ ตอบตกลงตั้งแต่เมื่อกี้ก็จบแล้ว ยังจะทำเป็นหัวรั้นกับฉัน”
“เด็กน้อย ต่อให้เก่งแค่ไหนแต่ประสบการณ์ก็มีไม่มากพอ จัดการง่าย”
เคอฮุ่ยจูโล่งอก เธอเองก็ยิ้ม “พี่นี่รู้ทันเด็กคนนี้”
คนในตระกูลมู่ห้ามทำร้ายกันเอง ส่วนใหญ่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจะดีมาก
ไม่เหมือนตระกูลเคอ พี่น้องแท้ๆ ก็ทอดทิ้งกันเองได้
เธอเองก็กังวลจุดนี้
ตามคาดพอมู่อวี่ซีมาถึงก็พูดว่า “ตกลงคะอา แต่อาต้องรักษาพี่ชายหนูให้หาย”
ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าคุณนายมู่วางแผนอะไร แต่เธอกลับจำต้องทำตาม
ชีวิตของมู่เหวยเฟิงสำคัญกว่าการเข้าร่วมทดสอบหาผู้สืบทอดตระกูลมู่
แม้จะเหลือเพียงทางรอดสุดท้ายก็ตาม
“วางใจได้” คุณนายมู่หยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมา
“แค่เธอเซ็นชื่อตรงนี้ถอนตัวจากการทดสอบ อาจะช่วยเชิญหมอมาให้”
ปากกาด้ามหนึ่งถูกยัดเข้ามาในมือมู่อวี่ซี มือของเธอกำลังสั่น ผ่านไปนานก็ยังไม่ยอมเซ็น
“มู่อวี่ซี ยังไม่เซ็นอีกเหรอ” คุณนายมู่พูดอย่างเย็นชา “หรือว่าเธออยากจะเห็นพี่ชายเธอตาย มีน้องสาวแบบเธอด้วยเหรอ อยากให้เขาตายมากใช่ไหม”
มู่อวี่ซีสูดลมหายใจเข้าลึกกว่าจะควบคุมมือตัวเองได้จากนั้นก็เริ่มเซ็น