คุณนายมู่เห็นมู่อวี่ซีจรดปากกาลง ในที่สุดหัวใจที่ลอยคว้างก็ตกลง
อันที่จริงเธอเองก็กำลังเดิมพัน
ถ้ามู่อวี่ซีไม่เซ็น เธอก็บังคับไม่ได้
เดิมทีคุณนายมู่ไม่ได้คิดจะทำข้อตกลงกับมู่อวี่ซี แต่มู่เหวยเฟิงจองหองเกินไป
เขายอมป่วยตายดีกว่าตอบตกลงเงื่อนไขของเธอ
แต่มู่อวี่ซีไม่เหมือนกัน
ปีนี้เธอจบมอต้นเพิ่งขึ้นมอสี่
เด็กสาวที่อายุยังไม่ถึงสิบหก ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอ
อีกทั้งมู่เหวยเฟิงยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอ เมื่อมาถึงช่วงความเป็นความตายแบบนี้ มู่อวี่ซียังมายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็ถือว่าจิตใจเข้มแข็งมากแล้ว
คุณนายมู่กลัวว่าเมื่อต้องเลือกระหว่างอำนาจกับคนในครอบครัว มู่อวี่ซีจะเลือกอย่างแรก
โชคดีที่ไม่ใช่
คุณนายมู่มองด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้ให้มู่อวี่ซีนั่งลง มองเธอเซ็นชื่อ
หากเซ็นสัญญาฉบับนี้ก็จะมีผลตามกฎหมาย
อีกทั้งชีวิตของมู่เหวยเฟิงก็อยู่ในความควบคุมของเธอ เธอไม่กลัวว่าพอถึงเวลาแล้วมู่อวี่ซีจะกลับคำ
มู่อวี่ซีเพิ่งเขียนอักษร ‘มู่’ เสร็จ ทันใดนั้นประตูห้องไอซียูก็เปิดออก
พยาบาลคนหนึ่งรีบร้อนเดินออกมา “ญาติของมู่เหวยเฟิงคือคนไหนคะ เขาฟื้นแล้วค่ะ”
มือที่สั่นของมู่อวี่ซีสะบัดปากกาทิ้งด้วยความตื่นเต้น ไม่มีเวลาสนใจกระเป๋าเป้ที่อยู่บนหลัง เธอวิ่งไปทันที
คุณนายมู่ถูกน้ำหมึกปากกากระเด็นใส่หน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
“จบกัน พี่!” เคอฮุ่ยจูสีหน้าเปลี่ยน “มู่เหวยเฟิงฟื้นแล้ว ถ้าฉันเชิญหมอโรคทรวงอกคนนั้นมายังจะมีประโยชน์อะไรอีก”
คุณนายมู่เอากระดาษทิชชู่เช็ดน้ำหมึกบนใบหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา ยังคงใจเย็น “เธอไม่รู้เรื่องของเขา ต่อให้เขาฟื้นมาก็ยังเข้าใกล้ความตายอยู่ดี”
“ตอนนั้นพวกหมอที่ตระกูลมู่เชิญมาต่างพูดว่า ถ้ามู่เหวยเฟิงอาเจียนเป็นเลือดจนหมดสติไปเมื่อไร นั่นก็แสดงว่าหมดทางรักษาอย่างสิ้นเชิงแล้ว”
มู่อวี่ซียังไม่รู้เรื่องนี้
มู่เหวยเฟิงไม่เคยบอกอาการที่แท้จริงของเขาให้น้องสาวฟังมาตลอด พูดแต่เรื่องดี ไม่พูดเรื่องกลุ้มใจ
คุณนายมู่ก็ย่อมไม่มีทางไปบอก ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องทำให้มู่อวี่ซีเซ็นให้ได้ก่อน
…
ภายในห้องผู้ป่วย
หลังจากที่มู่เหวยเฟิงถูกหมอกับพยาบาลเข็นเข้ามาพร้อมเตียง มู่อวี่ซีก็ตามมาด้วยกัน
บนเตียงผู้ป่วย มู่เหวยเฟิงหน้าซีด ลมหายใจแผ่วเบา
เขานอนอยู่บนนั้น คล้ายหุ่นเชิดที่ร่างกายแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
พอได้ยินเสียงฝีเท้า ศีรษะของมู่เหวยเฟิงถึงขยับเล็กน้อย พูดขึ้น “เสี่ยวซี”
ดวงตาของมู่อวี่ซีแดงก่ำอีกครั้ง ในที่สุดน้ำตาที่คลออยู่ก็ร่วงหล่น “พี่”
เธอไม่มีทางร้องไห้ต่อหน้าคุณนายมู่ แต่ตรงนี้คือมู่เหวยเฟิง
“พี่ทำเธอตกใจกลัว” มู่เหวยเฟิงถอนหายใจ “เลิกร้องไห้ได้แล้ว เด็กผู้หญิงร้องไห้เดี๋ยวไม่สวยนะ”
น้ำตาของมู่อวี่ซีไหลทะลักหนักกว่าเดิม เธอเองก็ไม่กล้าแตะตัวมู่เหวยเฟิง “พี่ พี่ อาสะใภ้ห้าบอกว่ามีหนทางรักษาพี่ได้ ขอแค่ฉันถอนตัวไม่เข้าทดสอบ”
เธอเช็ดน้ำตา พยายามหยุดร้อง “พี่จะต้องหาย ต้องหายแน่นอน”
มู่เหวยเฟิงได้ยินแบบนี้กลับขมวดคิ้ว “อามาอีกแล้วเหรอ แถมยังพูดแบบนี้กับเธอด้วยเหรอ”
คุณนายมู่ไม่ถือว่ามีเล่ห์เหลี่ยมชั่วร้าย แต่เป็นพวกชอบฉวยโอกาสอย่างเปิดเผย
ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ทันใดนั้นมู่เหวยเฟิงก็ทำหน้าตกใจ “เสี่ยวซี เซ็นไปแล้วเหรอ”
“ยังค่ะ” มู่อวี่ซีรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง “พี่ฟื้นพอดี ฉันเลยเข้ามาดูพี่ก่อน”
น้ำเสียงของมู่เหวยเฟิงเข้มงวดขึ้น “ฟังคำพี่นะ ห้ามเซ็น”
“แต่อาการของพี่…” มู่อวี่ซีเงียบไปชั่วขณะ “อาพูดแบบนั้นได้ต้องไม่หลอกฉันแน่นอน ไม่อย่างนั้นต่อให้คุณปู่ไม่ยุ่ง ก็ไม่มีทางนั่งดูอยู่เฉยๆ ไม่สนใจ”
“ใช่ พี่เชื่อว่าอาเชิญหมอโรคทรวงอกฝีมือดีคนนั้นมาได้แน่” มู่เหวยเฟิงไอเล็กน้อย “แต่พี่ไม่อยากได้การบริจาคทานจากอา”
“เธอไม่ต้องไปรับปากอา พี่รู้อาการของตัวเองดี ทำได้เพียงยื้อ ไม่หายหรอก”
“ต่อให้อาเชิญหมอโรคทรวงอกฝีมือดีคนนั้นมาได้ ก็แค่ช่วยให้พี่มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นหลายปีหน่อยเท่านั้นแหละ”
แววตาของมู่เหวยเฟิงจริงจัง “เสี่ยวซี เธอมีข้อเสียอย่างเดียวแค่อายุน้อย พี่จะรอดูเธอแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดนะ”
มู่อวี่ซีไม่ตอบ มือกำเสื้อแน่น
มู่เหวยเฟิงค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่รู้ว่าเธอเป็นห่วงพี่ แต่อย่าไปขอร้องคนแบบนั้นเลย อีกทั้ง…”
เขาหยุดเล็กน้อย “ถ้าเธอถอนตัว มู่เฉินโจวจะขึ้นตำแหน่ง เธอคิดว่าหลังจากเขากลายเป็นผู้สืบทอดตระกูลมู่ ตระกูลเราจะดีได้สักแค่ไหนเหรอ”
คุณนายมู่เลี้ยงดูมู่เฉินโจวมา ต่อให้ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไรแดงขึ้นมา แต่ก็ในไม่ช้าก็เร็ว
มู่อวี่ซียังคงไม่พูดอะไร
มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง
คนที่เข้ามาคือพ่อบ้าน
ในมือของพ่อบ้านมีเอกสาร เพิ่งมาจากพบหมอ สีหน้าของเขากลุ้มใจมาก “คุณชายเหวยเฟิงครับ ดีขึ้นไหมครับ”
เขาเป็นคนเลี้ยงดูมู่เหวยเฟิงกับมู่อวี่ซีมาตลอด เพราะพ่อแม่ของสองคนนี้จากไปเร็ว
และก็เป็นคำสั่งของมู่เฮ่อชิงด้วยเช่นกัน
ตอนนั้นมู่เฮ่อชิงงานยุ่งมาก ปลีกตัวไปไหนไม่ได้ ไม่มีเวลามาดูแล แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นห่วงมู่เหวยเฟิงมาตลอด
พ่อบ้านทนเห็นคนเก่งๆ อย่างมู่เหวยเฟิงต้องตายตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ได้
“การผ่าตัดสำเร็จดีครับ” มู่เหวยเฟิงยิ้ม “เห็นไหมครับตอนนี้ผมยังคุยกับพ่อบ้านได้อยู่เลย”
พ่อบ้านก็โล่งอก อดเช็ดน้ำตาที่หางตาไม่ได้ เขาพูดปลอบ “คุณชายเหวยเฟิง อันที่จริงคุณท่านคาดหวังในตัวคุณที่สุดนะครับ ได้ยินคุณมู่เฉิงบอกว่า เช้าวันนี้พอคุณท่านรู้ว่าอยู่ๆ อาการคุณชายก็ทรุดหนัก คุณท่านก็รีบไปหาแพทย์แผนโบราณทันที”
“ถ้าเชิญสมาชิกสายตรงของตระกูลเมิ่งมาได้ คุณชายก็คงรอดแล้วครับ”
มู่เหวยเฟิงถอนหายใจ “พวกเขายินดีรักษาให้คุณปู่ แต่เป็นไปไม่ได้สำหรับผม”
ตระกูลเมิ่งไม่ได้ยึดหลัก ‘แพทย์มีหัวใจดุจพ่อแม่’
แน่นอนว่าวงการแพทย์แผนโบราณไม่ได้มีแค่ตระกูลเมิ่ง
แต่ตระกูลมู่ก็รู้จักแค่ตระกูลเมิ่ง ไม่เคยได้เจอตระกูลแพทย์แผนโบราณตระกูลอื่น
“ต้องมีหนทางแน่นอนครับ” พ่อบ้านไม่เห็นด้วย “คุณท่านน่าจะไปมาแล้ว ผมจะไปลองถามคุณมู่เฉิงเดี๋ยวนี้ คุณชายเหวยเฟิงต้องอดทนไว้นะครับ”
…
ในเวลาเดียวกัน
บนถนนย่านธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของตี้ตู
อิ๋งจื่อจินกำลังกินถังหูลู[1] หลังจากที่กัดผลซานจาไปหนึ่งคำ ทันใดนั้นก็หยุดเดิน
เธอหลับตาลง จากนั้นก็หรี่ตามองฟ้า
เถิงอวิ้นเมิ่งเห็นเธอไม่เดินต่อก็สงสัย “จื่อจิน เป็นอะไรไป”
“เลือดลมพลุ่งพล่านทำนายชะตาสักหน่อย” อิ๋งจื่อจินมองดวงจันทร์ที่มีอยู่ครึ่งดวง “ดาวอังคารคงอยู่ ตำแหน่งดาวเป็นลางร้าย แสงเพลิงแห่งหายนะ ไม่ค่อยดี”
เถิงอวิ้นเมิ่ง “?”
เธอเข้าใจทุกคำนะ แต่พอเอามาเรียงเป็นประโยคกลับไม่เข้าใจแล้ว
“คืนนี้ฉันไม่กลับค่ายติวแล้ว” อิ๋งจื่อจินเอาถังหูลูที่ยังกินไม่หมดเก็บใส่ถุงกระดาษ “มีธุระนิดหน่อย เมิ่งเมิ่งเธอช่วยบอกศาสตราจารย์จั่วทีนะ”
“เธอไม่กลับแล้วเหรอ” เถิงอวิ้นเมิ่งอึ้ง “พรุ่งนี้เริ่มติวนะ จะกลับมาทันไหม”
“ได้ ธุระเล็กๆ” อิ๋งจื่อจินตอบส่งเดช เธอชี้ท้องฟ้า “มองดาวดวงนั้นนะ นั่นคือดาวอังคาร”
เถิงอวิ้นเมิ่งมองตามมือของอิ๋งจื่อจิน แต่เธอมองไม่เห็นอะไรเลย “…”
เธอสงสัยว่าตัวเองตาบอดแล้ว
หรือไม่ก็คนสวยของทีมเธอก็มีดวงตาที่แตกต่างจากคนปกติ
อิ๋งจื่อจินสวมหมวก สองมือล้วงกระเป๋า “รอดาวอังคารดวงนี้เคลื่อนออกจากตำแหน่งใจกลางเมื่อไร ฉันก็จะกลับมา”
เถิงอวิ้นเมิ่งมองไม่เห็นจริงๆ
เพราะนี่เป็นดวงชะตาของมู่เหวยเฟิง บนท้องฟ้าไม่มี
อิ๋งจื่อจินก็แค่สังเกตการณ์จากท้องฟ้า
สาขาดาราศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตันก็เรียนเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ตอนนี้เธอทำนายอายุขัยไม่ได้ แต่ดูจากตำแหน่งดวงดาวประจำตัวมู่เหวยเฟิงก็สามารถมองออกได้ว่า เขาเหลือเวลาอยู่อีกแค่ไม่กี่วันแล้ว
เถิงอวิ้นเมิ่งมองอิ๋งจื่อจินเดินจากไปอย่างงงๆ
ผ่านไปสักพักเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทรออก “ฮัลโหล เฟิงเย่ว์ นายรู้สึกไหมว่าจื่อจินดูลึกลับมาก”
…
โรงพยาบาลตี้ตู
มู่เหวยเฟิงหลับไปแล้ว
เขาเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดเสร็จ ร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่
มู่อวี่ซีก็ไม่รบกวนเขา ออกไปจากห้องผู้ป่วย เตรียมเฝ้าไข้อยู่ข้างนอก
ตอนเธอออกมาเป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่งแล้ว แต่คุณนายมู่ยังอยู่
เห็นได้ชัดว่ากำลังรอเธอ
“เยี่ยมเสร็จแล้วเหรอ” คุณนายมู่ยังคงมีท่าทางใจเย็น ยิ้มอย่างใจดี “เธอยังไม่รู้เรื่องอาการใช่ไหม อาไปดูรายงานของหมอมาแล้วนะ ส่วนปอดของพี่ชายเธอมีเงาดำครอบคลุมหมดแล้ว”
“อาว่าทางที่ดีเธอรีบเซ็นดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นต่อให้อาเชิญหมอฝีมือดีคนนั้นมาได้ พี่ชายของเธอก็ไม่รอดอยู่ดี”
มู่อวี่ซีกำมือ “หนูไม่เซ็นค่ะ”
“หืม?” คุณนายมู่ไม่แปลกใจ “พี่ชายเธอพูดอะไรกับเธอเหรอ คนเรานี่นะ จะตายอยู่แล้ว ยังจะยึดติดกับศักดิ์ศรีอีก”
มู่อวี่ซียังคงยืนยันคำเดิม “หนูไม่เซ็นค่ะ”
“ได้ เธอไม่เซ็น” ในที่สุดสีหน้าของคุณนายมู่ก็ขรึมลง เธอแสยะยิ้ม “เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิง แบกรับตระกูลมู่ไม่ไหวหรอก เดิมทีอาแค่อยากให้โอกาสพี่ชายเธอรอดชีวิต แต่เธอจำไว้นะ เธอไม่เอาเอง”
“อาจะรอดูว่า ใครมันจะช่วยชีวิตมู่เหวยเฟิงได้!”
พูดจบก็หยิบกระเป๋าจะเดินออกไป
พอหันไปก็ชนกับกลุ่มคน
ทีมหมอเจ้าของไข้ที่ออกไปแล้วกลับมาอีกครั้ง
อิ๋งจื่อจินรับถุงมือปลอดเชื้อมาจากมือพยาบาลแล้วใส่ ยังคงเป็นท่าทางที่ไม่รีบร้อน “ฉันช่วยเอง”
[1]ถังหูลู ผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้