[ฝีมืองั้นๆ ยังจะบอกว่าดีกว่าเบบี๋เหยียน คงไม่รู้สินะว่าเบบี๋เหยียนมีนิทรรศการภาพเขียนอักษรของตัวเองตั้งหลายครั้งแล้ว]
[พูดตามตรง หน้าตาก็ดีอยู่หรอกนะ แต่อวดดีไม่เห็นหัวใครเลย เบบี๋เหยียน เอาผลงานตบหน้านางเลย!]
ถึงแม้ซิวเหยียนจะเข้าวงการบันเทิงแล้ว แต่เธอเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิว ย่อมเก่งศิลปะในทุกด้าน
แต่ถึงขั้นจัดนิทรรศการภาพเขียนอักษรได้ ฝีมือของซิวเหยียนก็ถือว่าสุดยอดมาก
โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ภาพเขียนอักษรของเธอได้ถูกรองประธานสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนส่งไปประกวดที่นิทรรศการภาพเขียนระดับนานาชาติด้วยตัวเอง
พวกแฟนคลับต่างก็รู้ว่าสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนหมายถึงอะไร
ปรมาจารย์ภาพเขียนอักษรทั้งหมดของประเทศจีนต่างอยู่ในสมาคมนี้
และปรมาจารย์เหล่านี้ไม่มีทางรับลูกศิษย์ได้ง่ายๆ
ถึงแม้จะเพราะตระกูลซิวด้วยสาเหตุหนึ่ง แต่ตัวซิวเหยียนเองก็มีฝีมือมากเช่นกัน
อิ๋งจื่อจินดูฉากกระโดดตึกความจำเสื่อมเสร็จ ในที่สุดก็ยอมละสายตามามองซิวเหยียน “ฉันเขียนอักษรหนึ่งตัวราคาค่อนข้างแพง”
ซิวเหยียนหุบยิ้ม “เพื่อนอิ๋งหมายความว่าไงเหรอ”
บทสนทนาของทั้งสองคนเข้าไปในไลฟ์สดอย่างชัดเจน
มีเครื่องหมายคำถามเด้งขึ้นมา
[? นางรู้ว่าเบบี๋เหยียนเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซิวก็เลยจงใจไถเงินเหรอ]
[อะไรคือภาพอักษรของนางค่อนข้างแพง รู้หรือเปล่าว่าเบบี๋เหยียนเขียนตัวเดียวขายได้สองแสนเลยนะ ของเธอจะแพงได้สักแค่ไหนกันเชียว]
[เบบี๋เหยียน รับปากเลย ถ้านางแพ้นางต้องซื้อภาพของเบบี๋เหยียน!]
ซิวเหยียนเหลือบอ่านข้อความเลื่อนในไลฟ์สด ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วยิ้มพลางพูด “งั้นได้ พวกเราสองคนถ้าใครชนะจะต้องซื้อภาพของอีกฝ่าย”
พอได้ยินแบบนี้อิ๋งจื่อจินก็หาวออกมา สีหน้าเหมือนไม่ใส่ใจ “งั้นก็เอาสิ”
ซิวเหยียนโทรให้คนช่วยเอาพู่กัน กระดาษ น้ำหมึก จานฝนหมึก มาให้
“เพื่อนอิ๋ง นี่เป็นเว็บไซต์ที่สมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนจัดทำขึ้น” ซิวเหยียนเปิดหน้าเว็บไซต์ “พอพวกเราอัปโหลดภาพเขียนอักษรพู่กันขึ้นไป มันก็จะประเมินคะแนนออกมา”
“โดยทั่วไปถ้าถึงเก้าสิบคะแนนก็จะสามารถขายได้ถึงห้าแสน”
ขณะพูดซิวเหยียนก็หยิบพู่กันขึ้นมา “เพื่อนอิ๋งอยากใช้อันไหน เอาขนหมาป่าหรือขนแพะดี”
อิ๋งจื่อจินกวาดตามองแล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งอัน “อันไหนก็ได้”
มือของซิวเหยียนที่ถือพู่กันถึงกับชะงัก เธอยิ้มอีกครั้ง “ดูท่าเพื่อนอิ๋งจะเก่งมากเลยนะ”
[เก่งอะไรล่ะ คนที่เริ่มเรียนพื้นฐานยังรู้ว่า ภาพเขียนอักษรที่ต่างกันจะใช้พู่กันต่างชนิดกัน ยังจะอันไหนก็ได้อีกเหรอ]
[ไม่เคยเรียนเขียนภาพอักษรมาก่อนใช่ไหม เดิมทีเป็นศิลปินมาเข้าร่วมไอเอสซี ตอนนี้เห็นทีแม้แต่เป็นศิลปินก็ไม่ไหวหรือเปล่า]
ซิวเหยียนกางกระดาษออกให้เรียบ แตะน้ำหมึกจนพอใจแล้วเริ่มเขียน
เธอเขียนเป็นอักษรแบบสิงข่าย ระยะห่างระหว่างอักษรเผยให้เห็นถึงความมั่นใจและพลิ้วไหว
ขณะเขียนซิวเหยียนยังได้เหลือบมองอิ๋งจื่อจิน เห็นเธอเขียนแค่ตัวเดียวก็หยุด จึงอดส่ายหน้าเล็กน้อยไม่ได้
ห้านาทีต่อมาซิวเหยียนถึงวางพู่กัน
เธอเป่ากระดาษแล้วถึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป
อิ๋งจื่อจินเขียนแค่อักษรเดียว เขียนเสร็จสายตาของเธอก็กลับไปที่โทรทัศน์อีกครั้ง
เถิงอวิ้นเมิ่งหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างคล่องแคล่ว “จื่อจิน ฉันช่วยถ่ายนะ”
“ตอนนี้ ฉันจะเอาภาพเขียนอักษรของพวกเราอัปโหลดเข้าไปที่เว็บไซต์นี้” ซิวเหยียนกดแชร์หน้าจอเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ชมไลฟ์สดทุกคนจะสามารถมองเห็น
[เบบี๋เหยียนรีบอัปโหลด คะแนนออกนางถึงจะรู้ว่าใครเจ๋งกว่าใคร]
“ฉันจะอัปโหลดเดี๋ยวนี้ค่ะ” ซิวเหยียนยิ้มปลอบแฟนคลับ “ทุกคนใจเย็นๆ นะคะ”
“จื่อจิน” เถิงอวิ้นเมิ่งกระซิบ “ถ้าเธอแพ้ก็ไม่เป็นไรนะ ยังไงซะซิวเหยียนก็ถือเป็นคนของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนไปครึ่งตัวแล้ว ซิวเหยียนเก่งจริง”
อิ๋งจื่อจินค่อยๆ บิดขี้เกียจ “เดี๋ยวชนะฉันเลี้ยงข้าว”
เถิงอวิ้นเมิ่ง “?”
เนื่องจากผลงานของทั้งสองคนถูกอัปโหลดขึ้นพร้อมกัน คะแนนจึงออกมาพร้อมกัน
ซิวเหยียนจงใจเอาคะแนนของอิ๋งจื่อจินขึ้นก่อน
เธอเลื่อนเมาส์ กดตรงกรอบแสดงผลคะแนน
ตัวเลข 100 สีแดงเด้งขึ้นมา ในเว็บไซต์ยังมีเสียงประกอบรื่นเริงให้ด้วย
[…]
แฟนคลับที่ชมไลฟ์เงียบไปชั่วขณะ
ตัวเลขหนึ่งร้อยนี้เป็นการตบหน้าพวกเขาอย่างจัง
“ภาพเขียนของเพื่อนอิ๋งเจ๋งจริงด้วย” ซิวเหยียนยังคงยิ้ม สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ฉันไม่ได้เรียนศิลปะ เทียบกันไม่ได้แล้ว”
เธอกดดูคะแนนของตัวเอง
ออกมาแค่ 8 ตัวเดียว
ดนตรีรื่นเริงก็หยุดทันที เสียงที่เข้ามาแทนที่คือเสียงซอแสนเศร้า
เถิงอวิ้นเมิ่งหลุดหัวเราะ “ฮ่าๆ”
อิ๋งจื่อจินจับศีรษะ
เซิ่งชิงถังถูกตั้งฉายาว่า ตาแก่หัวรั้น ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลจริงๆ สินะ
ขนาดในเว็บไซต์ยังทำแบบนี้
ซิวเหยียนมือสั่น รู้สึกเหลือเชื่อ
ถ้าไม่ติดว่าเธอยังไลฟ์สดอยู่ เธอคงโยนทิ้งไปแล้ว
ตัวเลข ‘8’ เหมือนเป็นมีดที่ทิ่มแทงสายตาของเธอ
คราวก่อนเธอได้ถึงแปดสิบคะแนน อีกทั้งเธอก็ฝึกฝนมานาน แม้แต่อาจารย์ของเธอยังถึงกับเอ่ยปากชม แล้วจะได้แค่แปดได้ยังไง
ซิวเหยียนเกี่ยวผมไปทัดหลังหู พยายามคุมสติ ยิ้มอย่างไม่ถือสา “ระบบผิดพลาดแล้ว ฉันจะอัปโหลดใหม่นะคะ”
ขณะพูดเธอก็อัปโหลดภาพเขียนอักษรของตัวเองขึ้นไป
สิบกว่าวินาทีต่อมาก็ปรากฏคะแนน 85
ซิวเหยียนโล่งอก ยิ้มพลางพูด “นี่ต่างหากคะแนนที่ถูกต้อง ฉันจะเอาภาพของเพื่อนอิ๋งอัปโหลดอีกครั้งนะคะ”
เธอกดอัปโหลด
คะแนนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยังคงเป็น 100
เล็บของซิวเหยียนจิกเข้าไปในมือ
แปดสิบห้ากับหนึ่งร้อยก็ไม่ได้ดูแย่เท่าแปดกับหนึ่งร้อย
แต่ยังไม่ทันที่ซิวเหยียนจะรู้สึกโล่งอกอย่างสิ้นเชิง วินาทีถัดมาคะแนนของเธอก็เปลี่ยนไป
จาก 85 กลายเป็น 8 อีกครั้ง
ได้ยินเสียงซอแสนเศร้าอีกรอบ
ข้อความเลื่อนบนหน้าจอไลฟ์สดไม่มีปรากฏ พวกแฟนคลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ระบบผิดพลาด แต่คะแนนของซิวเหยียนก็คือแปด
สุดท้ายคนที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก็คือคนทั่วไปกับแอนตี้แฟนของซิวเหยียน
[ฉันก็เคยใช้เว็บนี้ ระบบประเมินคะแนนของมันจะเป็นการเอามาเปรียบเทียบ ถ้าของใครเขียนได้ดีกว่า คะแนนของคนอื่นก็จะดิ่งลงเลย]
[ฮ่าๆๆ สรุปว่าภาพเขียนของน้องคนสวยนี่ดีเกินไป ก็เลยกดคะแนนของซิวเหยียนจนแทบไม่เหลือเลยเหรอ แย่แล้ว ขำจะตายแล้ว]
[เข้าใจแล้วๆ น้องคนนั้นได้หนึ่งร้อย เพราะมันมีแค่หนึ่งร้อย]
[งั้นๆ แหละเทียบกับเธอก็ดีกว่า จริงอย่างว่า นี่ถ้าน้องเขาตั้งใจเขียน ซิวเหยียนไม่คู่ควรให้เอามาเทียบเลยหรือเปล่า]
[เป็นดารารังแกคนธรรมดา นึกไม่ถึงว่าจะเจอคนเก่งจริง เหวอไปเลยล่ะสิ]
[แฟนคลับไปมั่นหน้ามาจากไหน คิดจะตบหน้าชาวบ้าน เอาหน้าตัวเองให้รอดก่อนไหมจ๊ะ]
ต่อให้คนดูแลห้องไลฟ์สดจะพยายามลบข้อความเลื่อนกับคำต้องห้ามอย่างไม่หยุดหย่อนแล้ว ก็ยังควบคุมไม่ได้
การไลฟ์สดให้แฟนคลับครั้งนี้เลยกลายเป็นสนามเยาะเย้ย
พวกแฟนคลับรู้สึกอับอายยิ่งกว่า ลืมไปแล้วว่ายังต้องพูดคุยกับซิวเหยียน
ซิวเหยียนพับคอมพิวเตอร์ปิดดัง ปึ้ก ความอดทนที่มีมานานในที่สุดก็หมดลง
“ไม่มากไม่น้อย เอาแค่ล้านเดียวพอ” อิ๋งจื่อจินนั่งพิงโซฟา ท่าทางเอื่อยเฉื่อย “ส่งคิวอาร์โค้ดรับเงินไปให้แล้ว โอนมาด้วยล่ะ”
ซิวเหยียนออกไปพร้อมสีหน้าบึ้งตึง
ตอนออกมามือเธอยังสั่นอยู่
เถิงอวิ้นเมิ่งถึงเริ่มได้สติกลับมา
คนสวยที่แบกทีมของพวกเขาดูเหมือนจะมีฝีมือในการหาเงินด้วย
…
เมื่อกลับถึงห้องตัวเอง ซิวเหยียนก็ปาแท่นฝนหมึกด้วยความโมโห
เธอหายใจถี่เร็ว หยิบโทรศัพท์มากดโทรออก “ฮัลโหล ใช่ ฉันเอง พรุ่งนี้พวกเราจะออกไปข้างนอก พอถึงเวลาฉันจะเรียกยัยนั่นออกไป คอยดูสถานการณ์แล้วลงมือด้วย”
ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร
ซิวเหยียนแสยะยิ้ม “ไม่มีภูมิหลัง แถมยังมาจากฮู่เฉิง ในพวกเรามีใครบ้างที่ทำให้ยัยนั่นหายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่ได้ เฝิงฮว่า ถ้านายไม่เอา ฉันจะติดต่อคนอื่น ฉันเชื่อว่าพวกเพื่อนๆ ของนายต้องสนใจแน่”
“ไม่เอาน่าคุณหนูซิว” พอได้ยินแบบนี้เฝิงฮว่าก็ร้อนใจ “ผมเอาๆ งานดีขนาดนี้ ต้องขอบคุณคุณหนูใหญ่นะครับที่นึกถึงผมก่อน”
“บอกไว้ก่อนนะ ฉันแค่มีหน้าที่พาคนไป” ซิวเหยียนพูด “เรื่องอื่นฉันไม่ยุ่งด้วย”
“ครับ คุณหนูพาคนมาก็พอ” เฝิงฮว่าพูด “เรื่องแบบนี้ผมทำมาเยอะแล้ว ไม่มีทางทำคุณหนูเดือดร้อน อีกอย่าง ผมจะกล้าที่ไหนกัน”
ถึงแม้เฝิงฮว่าอยู่ตี้ตูก็ถือเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่ก็สู้ตระกูลซิวไม่ได้
อย่าว่าแต่ซิวเหยียนส่งคนมาให้เขาเลย ต่อให้มาขอความช่วยเหลือ เฝิงฮว่าก็ต้องทำให้ได้
เขาดื่มเหล้า เปิดรูปภาพที่ซิวเหยียนส่งมาให้ อวดคุณชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความภูมิใจ “พวกนายดูสิ น้องคนนี้โคตรเด็ดเลยใช่ไหมล่ะ”
“โอ้โห คุณชายเฝิง หามาจากไหนเนี่ย” คุณชายที่อยู่ข้างๆ ตะลึง “ดาราคนไหน”
“ไม่ใช่ๆ คนธรรมดา” เฝิงฮว่าส่ายมือ “คุณหนูใหญ่ซิวบอกว่าจะส่งน้องคนนี้มาให้ฉัน ไว้เดี๋ยวฉันเบื่อแล้วจะยกให้พวกนายนะ”
“ต้องอย่างนั้นสิ” คุณชายอีกคนยิ้ม “ฉันก็อยากลองดูบ้าง แต่ว่าคุณชายมู่คงไม่ยุ่งเรื่องแบบนี้ด้วย ใช่ไหมล่ะ”
เขาหันไปมองมู่เฉินโจวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง แกล้งแซว “คุณชายมู่ของพวกเราอีกเดี๋ยวก็จะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลมู่แล้ว”
มู่เฉินโจวกลับจ้องภาพนั้นเขม็ง ไม่พูดอะไร
เฝิงฮว่าสังเกตเห็นสีหน้าของมู่เฉินโจวที่เปลี่ยนไป เขาถึงกับสร่างเมา “คุณชายมู่ รู้จักเหรอ คนของนายเหรอ”
ถ้าเป็นคนที่มู่เฉินโจวรู้จัก เขาไม่กล้าแตะต้อง
เขาล่วงเกินตระกูลซิวกับตระกูลมู่ไม่ได้
เขาหื่นก็จริง แต่รักชีวิตมากกว่า
มู่เฉินโจวค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ หันหน้าไป “ไม่รู้จัก ตามสบายเลย”