เด็นตัน ดอล ชื่อนี้โด่งดังมาก ใครก็ตามที่อยู่ในวงการคอมพิวเตอร์ย่อมรู้จักเขาทุกคน
เขาเป็นผู้อำนวยการของสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนาม เป็นรองแค่ประธานใหญ่ของสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนาม
แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีใครเคยเห็นประธานใหญ่ของสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนาม ถึงขั้นที่มีคนเคยคาดเดาว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าคนคนนี้ไม่มีตัวตนอยู่จริง ไม่แน่อาจเป็นแค่หุ่นยนต์เอไอ ถึงแม้คำเรียกแฮกเกอร์จะฟังดูเหมือนทำแต่เรื่องผิดศีลธรรม แต่อันที่จริงไม่ใช่แบบนั้น
แรกเริ่มสุดแฮกเกอร์หมายถึงยอดฝีมือทางด้านคอมพิวเตอร์ที่มุ่งมั่นในด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ถ้าไม่เก่งด้านคอมพิวเตอร์จริงก็ไม่คู่ควรถูกเรียกว่าแฮกเกอร์ สมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนามแทบจะเป็นแหล่งรวมสุดยอดแฮกเกอร์จากทั่วทุกมุมโลก พวกเขายังเคยช่วยไอบีไอช่วยชีวิตตัวประกันจากมือผู้ก่อการร้ายระดับโลกมาแล้วมากมาย และก็เพราะประธานใหญ่ของสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนามลึกลับมากเกินไป ตอนนี้เด็นตัน ดอลจึงเป็นตัวแทนของคนที่เก่งที่สุดในโลกในด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ทางคณะกรรมการเชิญเขามาทำแอปพลิเคชันโจทย์แข่งขัน ถือได้ว่าเป็นการใช้คนเก่งมาทำเรื่องเล็กน้อย
แต่เพราะแบบนี้จึงเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีคนหาผลประโยชน์จากช่องโหว่ของระบบได้
เว้นเสียแต่จะมีฝีมือเก่งกว่าเด็นตัน ดอล
มิฉะนั้นต่อให้อยากเจาะระบบ ไม่เพียงแต่จะไม่สำเร็จ ยังจะถูกระบบตรวจพบด้วยซ้ำ
ชาวเน็ตในเว็บนอก และบนเวยปั๋วต่างคาดไม่ถึงว่าแถลงการณ์ของคณะกรรมการจะออกมาเร็วขนาดนี้
อีกทั้งยังมีชื่อของเด็นตัน ดอล พ่วงมาด้วย
ไอดี ซันชาย กับพวกที่เห็นดีเห็นงามในการทักท้วงต่างหายเงียบกันหมด
[มาแล้วๆ ตบหน้าได้ไวเหมือนพายุทอร์นาโด เห็นหรือยังว่าใช้ความสามารถล้วนๆ]
[ฉันว่าฉันสังเกตเห็นละ คนบางคนไม่อยากเห็นพวกเราได้ดี ไม่เห็นมีคนติดสามอันดับแรกก็บอกว่าพวกเราไม่ไหว พอติดอันดับก็ยังจะหาว่าทุจริต]
[ปูเสื่อรอรอบนานาชาติเลยครับผม พอถึงตอนนั้นเผชิญหน้ากันซึ่งหน้า ดูซิใครมันจะแหกปากโวยวายได้อีก]
หลังจากที่ทางคณะกรรมการออกแถลงการณ์ ไอดี ซันชาย ก็ระงับการใช้งานทันที แต่นี่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขุดคุ้ยของชาวเน็ตที่สืบจากร่องรอยอื่นๆ
มู่อวี่ซีกลับไม่ได้สนใจอะไรอีก เธอยังคงตื่นเต้น
“พี่ ฉันจะเล่าให้ฟัง อันดับหนึ่งของชาร์ตรวมเก่งมากเลยนะ เขาสู้กลับแบบหมัดเดียวจอดภายในเวลาชั่วโมงครึ่งเอง”
มู่เหวยเฟิงย่อมเคยได้ยินเรื่องไอเอสซีแล้ว เขาลูบหัวมู่อวี่ซี “เธอก็สมัครเหรอ”
“สมัคร” มู่อวี่ซีพยักหน้า “มอสี่เรียนไม่ค่อยหนัก ฉันมีเวลาทำโจทย์เยอะ ตอนนี้อยู่อันดับที่เจ็ดร้อยกว่าของชาร์ตจัดอันดับรวม”
มู่เหวยเฟิงยิ้มพลางพยักหน้า “เก่งจริงๆ เลยนะ”
การแข่งขันครั้งนี้มีนักเรียนมัธยมปลายจากสองร้อยกว่าประเทศทั่วโลกเข้าร่วม
มู่อวี่ซีได้อันดับเท่านี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
ทันใดนั้นเซิ่งชิงถังที่กำลังกดพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือถือก็พูดขึ้น
“เอ๊ะ เหวยเฟิง นายอยากเจอคุณหมอเทวดามาตลอดไม่ใช่เหรอ เธอบอกว่าเธอผ่านมาพอดี จะแวะมาเยี่ยมนายหน่อย”
มู่เหวยเฟิงอึ้งเล็กน้อย “เธอจะมาเหรอครับ”
เซิ่งชิงถังยังไม่ทันตอบก็มีเสียงเคาะประตูห้องผู้ป่วย
ไม่กี่วินาทีถัดมาประตูก็เปิดออก
เด็กสาวสวมหมวกเบสบอลเดินเข้ามา
เดือนกันยายนอากาศของตี้ตูยังคงร้อนมากอยู่ เธอสวมเสื้อแขนสั้น ผิวพรรณขาวผ่อง ราวกับหยกชั้นดี
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เหวยเฟิงเจออิ๋งจื่อจินอย่างเป็นทางการ
ก่อนเจอกันเขาเคยจินตนาการเอาไว้หลายครั้ง
อย่างไรเสียมู่อวี่ซีก็เน้นย้ำมาตลอดว่าเธอสวยอย่างนั้นอย่างนี้ บอกว่าสวยกว่าคุณหนูไฮโซทุกคนในตี้ตู
แต่หลังจากที่มู่เหวยเฟิงได้เจออิ๋งจื่อจินตัวจริงก็รู้สึกว่าใช้คำว่าสวยกับเธอมันยังไม่เพียงพอ
“พี่สาว!” มู่อวี่ซีวางโทรศัพท์มือถือลง เดินเข้าไปหาทันที
“พี่คะ ขอบคุณพี่มากเลยนะคะพี่ชายฉันหายสนิทแล้วค่ะ”
“เรื่องเล็กน้อย” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเบาๆ “ฉันแค่แวะมาดู ยังมีธุระต่อขอตัวก่อน”
หลังจากเธอทักทายเซิ่งชิงถังเสร็จก็เปิดประตูอีกครั้ง มู่เหวยเฟิงเห็นผู้ชายร่างสูงอยู่ข้างนอกคนหนึ่ง จากมุมของเขามองไป เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างที่หล่อเหลา
เขาละสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว
“เหวยเฟิง นายไม่ต้องเครียดนะ” เซิ่งชิงถังพูด “คุณหมอเทวดาบอกว่าเธอรักษาคนโดยดูจากชะตาต้องกัน อย่างไรซะทางครอบครัวของพวกนายก็จ่ายเงินไปแล้ว”
แม้เขาจะไม่เข้าใจมาตลอดก็ตามว่าชะตาต้องกันที่ว่านี้คืออะไรกันแน่
มู่เหวยเฟิงพยักหน้าเบาๆ
เซิ่งชิงถังหยิบบัตรออกมาปึกหนึ่งยัดให้มู่เหวยเฟิง “นี่เป็นบัตรเข้าชมนิทรรศการภาพเขียนอักษรพู่กัน จัดเดือนหน้า พอถึงตอนนั้นนายคงหายดีแล้ว”
มู่เหวยเฟิงรับบัตรมาแล้วถาม “ปู่เซิ่งครับ ผู้ชายคนนั้นใครเหรอครับ”
“เพื่อนของคุณหมอ เป็นคนฮู่เฉิงเหมือนกัน” เซิ่งชิงถังถอนหายใจ “นี่แหละที่เรียกว่าคนหน้าตาดีก็คบแต่กับคนหน้าตาดีด้วยกัน”
…
ด้านนอกโรงพยาบาลตี้ตู
บนรถ
อิ๋งจื่อจินคาดเข็มขัดนิรภัยพลางถาม “ตอนเด็กๆ คุณเคยใช้ชีวิตในตี้ตูเหรอ”
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินตอบ ครั้งนี้เขาไม่ปิดบังอะไร “พี่ชายมาอยู่ตี้ตูตอนห้าขวบ จากนั้นก็เข้าวงการจอมยุทธ์” มือของอิ๋งจื่อจินชะงัก
เธอนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว เจียงหรานเคยบอกว่าฟู่อวิ๋นเซินเคยเกือบซ้อมคนจนตาย อันตรายมาก บอกให้เธออยู่ห่างๆ ไว้
ดูจากตอนนี้คนที่ว่าน่าจะเป็นสมาชิกสายตรงของตระกูลเมิ่ง ที่เจียงหรานรู้เป็นเพราะตอนนั้นเขาอยู่วงการจอมยุทธ์
วงการจอมยุทธ์กับวงการแพทย์แผนโบราณเข้าถึงกันตลอด ข่าวก็แพร่ไปได้เร็ว
แต่ไม่ว่าจะวงการจอมยุทธ์หรือวงการแพทย์แผนโบราณ ต่างก็ตัดขาดจากโลกภายนอก
ถ้าไม่มีคนพาเข้าไปก็ไม่มีทางรู้ว่าวงการจอมยุทธ์กับวงการแพทย์แผนโบราณอยู่ที่ไหน
อิ๋งจื่อจินไม่พูดอะไรอีก เธอหลุบตาลงครุ่นคิด
ถึงจะใช้ไพ่ทาโรต์เธอก็ยังทำนายอดีตของฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ยี่สิบปีก่อนเป็นช่วงจุดเปลี่ยนสำคัญ
เธอเองก็เคยถามผู้เฒ่าจงเรื่องนี้ แต่ผู้เฒ่าจงกลับไม่รู้รายละเอียดเรื่องในตอนนั้น บอกแต่ว่ามีคนมาที่บ้านตระกูลฟู่จำนวนมาก เมืองฮู่เฉิงอกสั่นขวัญแขวนไประยะหนึ่ง
อิ๋งจื่อจินละสายตา
ฟู่อวิ๋นเซินหมุนพวงมาลัยรถ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างตัวก็ดังขึ้นในเวลานี้
ผู้เฒ่าฟู่โทรมา
เขากดรับ พูดไม่กี่ประโยคก็วางสาย
ส่วนทางด้านผู้เฒ่าฟู่ หลังจากที่เขาคุยโทรศัพท์กับฟู่อวิ๋นเซินเสร็จถึงหันไปมองฟู่หมิงเฉิงกับคุณนายฟู่ “มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ท่านผู้เฒ่าคะ มีข่าวดีค่ะ” คุณนายฟู่ยิ้ม “หมิงเฉิงกำลังติดต่อบีไมน์ ถ้าติดต่อได้ อวี้เซียงฟังของพวกเราก็จะได้ไปไกลถึงตลาดโลกแล้วค่ะ”
ผู้เฒ่าฟู่เงียบไปชั่วครู่แล้วค่อยๆ พูดขึ้น “อ่อ งั้นก็ดีสิ”
เขาเคยได้ยินชื่อบีไมน์
บีไมน์เป็นแบรนด์หรูที่โด่งดังระดับโลกอยู่ในขณะนี้ เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกในวงการน้ำหอม เหมือนกับยูรันส์ บีไมน์เป็นบริษัทในเครือวีนัสกรุ๊ปแต่อยู่ในระดับที่สูงกว่ามาก
อวี้เซียงฟังเป็นแบรนด์น้ำหอมเก่าแก่ของประเทศจีน ด้วยเหตุนี้บีไมน์ถึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ
คุณนายฟู่นึกไม่ถึงว่าดูเหมือนผู้เฒ่าฟู่จะไม่สนใจ เธอจึงรู้สึกกระอักกระอ่วน
ฟู่หมิงเฉิงเม้มริมฝีปาก “คุณพ่อครับ คุณพ่อพักผ่อนนะครับ พวกเราจะออกไปก่อน”
ผู้เฒ่าฟู่โบกมือไล่ เอนตัวลงบนเก้าอี้โยกแล้วหลับตาลง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
สองสามีภรรยาออกไปข้างนอก
“ช่วงนี้ท่านผู้เฒ่าค่อนข้างติดนอน” คุณนายฟู่กลับรู้สึกเป็นห่วง
“พาไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกรอบหรือยังคะ”
“เชิญหมอโรงพยาบาลอันดับหนึ่งมาตรวจแล้ว” ฟู่หมิงเฉิงตอบ “หมอบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร คนแก่อวัยวะเริ่มเสื่อมก็เลยง่วงบ่อย”
คุณนายฟู่ได้ฟังก็พยักหน้า
เห็นสีหน้าของฟู่หมิงเฉิงไม่สู้ดี เธอลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็พูดขึ้น
“ฉันว่าท่านผู้เฒ่ายังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะยกอวี้เซียงฟังให้อวิ๋นเซิน ต่อให้ตอนนี้คุณติดต่อบีไมน์ได้ พอถึงเวลากลัวว่าจะเป็นการช่วยทำผลงานให้คนอื่น”
“คุณพ่ออยากให้ แต่เขาไม่เอา” ฟู่หมิงเฉิงรู้สึกหงุดหงิด “ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่รู้เรื่องน้ำหอม ปรุงน้ำหอมก็ไม่เป็น แล้วจะดูแลอวี้เซียงฟังได้อย่างไรกันล่ะครับ”
คุณนายฟู่ถอนหายใจเบาๆ “ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ใครใช้ให้เมื่อยี่สิบปีก่อน…เฮ้อ”
ไม่มีใครอยากพูดถึงเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อน ถึงแม้ตอนนี้จะผ่านมานานมากแล้ว แต่ก็ยังฝังใจคุณนายฟู่
เธอส่ายหน้าแล้วลงไปห้องครัว
…
สุดสัปดาห์ผ่านไป อิ๋งจื่อจินกลับเข้าค่ายติวในตอนเช้าวันจันทร์
พอเธอกลับไปก็เห็นเฟิงเย่ว์กับเถิงอวิ้นเมิ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องเรียนใหญ่
บนโต๊ะมีเครื่องมือฟิสิกส์ที่ทั้งสองคนทำเสร็จแล้ว แต่สีหน้าของทั้งสองคนกลับไม่ค่อยดี
อิ๋งจื่อจินเดินเข้าไปหา สายตาสำรวจเล็กน้อย “เครื่องนี้มันพังเหรอ”
จั่วหลีไม่ให้เธอเข้าร่วมภารกิจนี้ เธอก็เลยไม่ยุ่ง
ด้วยความสามารถของเฟิงเย่ว์กับเถิงอวิ้นเมิ่ง การทำเครื่องมือฟิสิกส์แค่นี้ไม่ใช่เรื่องยาก
พอได้ยินแบบนี้ อยู่ๆ เฟิงเย่ว์ก็ทุบโต๊ะด้วยความโมโห “จะต้องมีคนแอบแกล้งแน่ ฉันกับเมิ่งเมิ่งออกแบบไม่ผิด ไม่มีทางเสียได้”
“มีคนแตะต้องมัน” อิ๋งจื่อจินยื่นมือไปหมุนเครื่องสี่เหลี่ยมบนโต๊ะ “ใจกลางของมันถูกทำพัง ใช้ไม่ได้แล้ว”
“ไม่น่านะ” เถิงอวิ้นเมิ่งถึงกับงง “พอฉันทำเสร็จก็ล็อกเก็บไว้ในห้อง ใครจะมาแตะต้องได้”
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ ยังคงจับเครื่องสี่เหลี่ยมตรงหน้า
เฟิงเย่ว์เม้มริมฝีปาก “เดี๋ยวก็จะมีการทดสอบแล้ว ตอนนี้ทำไงดี”
ไม่กี่นาทีต่อมากลุ่มอื่นก็เริ่มทยอยเข้ามา พอได้ยินเรื่องนี้ก็อดตกใจไม่ได้
“หา! ใช้ไม่ได้แล้วเหรอ” ซิวเหยียนหันมาพูดกึ่งยิ้ม “พังเหรอ คราวนี้ทำไงดีล่ะเนี่ย”
ขนาดเถิงอวิ้นเมิ่งกับเฟิงเย่ว์ยังจนปัญญา แล้วอิ๋งจื่อจินจะไหวเหรอ