พอผู้เฒ่าฟู่จากไปก็ไม่มีใครปกป้องฟู่อวิ๋นเซินได้อีกแล้ว
อันที่จริงช่วงเวลาที่ฟู่อวิ๋นเซินอยู่ในบ้านตระกูลฟู่ไม่ถือว่านานมาก
ฟู่อวิ๋นเซินไปอยู่ตี้ตูตอนอายุห้าขวบ ใช้ชีวิตอยู่ที่ตี้ตูเกือบสิบปี
พออายุสิบสี่ถึงจะถูกผู้เฒ่าฟู่รับกลับมาฮู่เฉิง
จากนั้นก็มีฉายาว่าคุณชายเสเพลอันดับหนึ่งแห่งฮู่เฉิง
ตอนอายุสิบแปดปีฟู่อวิ๋นเซินไปตี้ตูก็มีข่าวมาถึงฮู่เฉิงว่าเขาไปหาเรื่องตระกูลเมิ่ง
ครั้นแล้วผู้เฒ่าฟู่จึงรีบส่งเขาไปยุโรป เกือบสี่ปีกว่าฟู่อวิ๋นเซินจะได้กลับมาอีกครั้ง
คำนวณปีที่อยู่ในบ้านตระกูลฟู่จริงๆ ยังไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ
แต่ฟู่หมิงเฉิงก็ยังคงไม่ถูกชะตาฟู่อวิ๋นเซิน เพราะผู้เฒ่าฟู่ให้ความสำคัญกับฟู่อวิ๋นเซินมากเกินไป
คุณชายเสเพลที่อาศัยหน้าตา ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง
แล้วฟู่อวิ๋นเซินมีสิทธิ์อะไร
ผู้เฒ่าฟู่จากไปแบบนี้ ฟู่หมิงเฉิงกลับรู้สึกโล่งอกขึ้นมาก ก้อนหินที่กดทับในใจก็ได้ถูกยกออก
ผู้เฒ่าฟู่มีบารมีสูงมากในตระกูลฟู่ ไม่เหมือนบรรพบุรุษรุ่นที่แล้วๆ มา
ตระกูลฟู่มีสถานะแบบทุกวันนี้ได้ในฮู่เฉิงก็เป็นเพราะมีผู้เฒ่าฟู่อยู่
เรื่องที่ทำให้ฟู่หมิงเฉิงรู้สึกประหลาดใจคือ ผู้เฒ่าฟู่ไม่ได้ซ่อนพินัยกรรมไว้ แต่วางไว้บนโต๊ะทำงานอย่างเปิดเผย
คุณนายฟู่เห็นแล้ว “หมิงเฉิง ตรงนี้ค่ะ”
ฟู่หมิงเฉิงรีบเดินเข้าไปหยิบพินัยกรรมบนโต๊ะแล้วเริ่มเปิดดู
พอเห็นผู้เฒ่าฟู่ยกอวี้เซียงฟังกับหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของฟู่ซื่อกรุ๊ปให้ฟู่อวิ๋นเซิน รวมถึงทรัพย์สินทั้งหมดในตี้ตู เส้นเลือดก็ปูดขึ้นที่หน้าผากและลำคอของฟู่หมิงเฉิง
เขาโมโหมาก ฉีกพินัยกรรมในมือทิ้งทันที
พอคุณนายฟู่เห็นท่าทางของเขาก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอพูด “อวี้เซียงฟัง…ท่านผู้เฒ่ายกอวี้เซียงฟังให้เขาจริงเหรอคะ”
ถึงแม้พวกเขาสองคนจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่หลังจากได้เห็นพินัยกรรมก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี
อวี้เซียงฟังเชียวนะ!
กิจการหลักของตระกูลฟู่!
ถูกยกให้คนไม่เอาไหน ไม่นานได้ล่มจมแน่
ฟู่หมิงเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึก “เตรียมจัดการเรื่องต่างๆ ก่อน คุณพ่ออายุแปดสิบห้าปีแล้ว เป็นการตายอย่างเป็นสุข เป็นเรื่องดี เชิญท่านอาจารย์มากำหนดเวลาทำพิธี และยังต้องเชิญพวกตระกูลเศรษฐีด้วย”
คนแก่ที่ตายตอนอายุเกินแปดสิบ พิธีศพก็เรียกได้ว่าเป็นงานที่มีความมงคลไปพร้อมกัน
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาตระกูลฟู่จะทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ วางศพไว้สามวันและจัดงานเลี้ยงใหญ่
นี่เป็นโอกาสดีสำหรับฟู่หมิงเฉิงที่จะได้หาพรรคพวก
เมื่อไม่กี่วันก่อนซูเหลียงฮุยพ่อของซูหร่วนให้คำมั่นกับเขาว่า จะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่
เขาเองก็ต้องการให้ฟู่อวิ๋นเซินเห็นว่า เขาต่างหากที่คู่ควรเป็นผู้สืบทอดตระกูลฟู่
ฟู่หมิงเฉิงรู้ว่าเขาฉีกพินัยกรรมทิ้งก็ไม่มีประโยชน์
ผู้เฒ่าฟู่เป็นคนรอบคอบ แต่ไหนแต่ไรมาพินัยกรรมมีฉบับสำรองหลายฉบับ อีกทั้งจะต้องผ่านการรับรองแล้วแน่นอน มีผลตามกฎหมาย
คุณนายฟู่เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน รีบลงไปโทรศัพท์
พวกเขาไม่ต้องเตรียมของอย่างพวกโลงศพ เพราะมีการเตรียมไว้เมื่อนานมาแล้ว
ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องที่เตรียมมาแล้วสามปีกว่าจะได้มาใช้ตอนนี้
ฟู่หมิงเฉิงเอาเศษเอกสารที่เขาฉีกทิ้งลงถังขยะ จากนั้นก็เดินไปดูผู้เฒ่าฟู่ที่เตียงแล้วออกไป
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากคุณนายฟู่โทรแจ้งพี่น้องของฟู่หมิงเฉิงเสร็จก็รีบขึ้นมาชั้นบน
“อีเฉิน!” คุณนายฟู่เคาะประตู ได้ยินเสียงกรนของคนที่อยู่ในห้องจึงเอากุญแจมาไขเปิดเข้าไป “อีเฉิน ตื่นเร็วเข้า”
“แม่ อย่ามากวนสิ” ฟู่อีเฉินพูดพึมพำ พลิกตัวไปอีกด้าน “วันนี้วันหยุด ขอผมนอนอีกหน่อย”
“ยังจะนอนอีกเหรอ” คุณนายฟู่โมโหจนหยิกหูลูกชายขึ้นมา “ปู่แกตายแล้ว ยังจะนอนอีกไหม”
คำพูดนี้ทำให้ฟู่อีเฉินตาสว่างทันที
เขาเบิกตาโพลง ลุกขึ้น “แม่ว่าไงนะ”
“ปู่แกตายแล้วเมื่อเช้า” สีหน้าของคุณนายฟู่ไม่มีความโศกเศร้า แค่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รีบลุกขึ้นแล้วไปช่วยแม่เตรียมงาน”
ฟู่อีเฉินรีบไปใส่เสื้อผ้า “คุณปู่ไม่ได้แข็งแรงอยู่เหรอ ทำไมอยู่ๆ…”
ขณะพูดเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ พูดด้วยความร้อนใจ “พินัยกรรมล่ะคุณปู่แบ่งยังไง”
ตระกูลฟู่ใหญ่ขนาดนี้ พี่น้องของผู้เฒ่าฟู่ก็ตั้งหลายคน ลำพังแค่รุ่นฟู่หมิงเฉิงก็ยี่สิบกว่าคนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกฟู่อีเฉิน
คุณนายฟู่ไม่ตอบ
“คงไม่ได้ยกให้ฟู่อวิ๋นเซินหมดนะ” ฟู่อีเฉินสีหน้าเปลี่ยน “ปู่บ้าไปแล้วเหรอ พี่ใหญ่ยังอยู่ แต่ให้มันสืบทอดตระกูลฟู่เนี่ยนะ”
“เรื่องนี้แกไม่ต้องเป็นห่วง” ฟู่หมิงเฉิงที่อยู่หน้าห้องพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฟู่อวิ๋นเซินไม่ใช่ลูกที่เกิดจากฉันกับแม่แก มันไม่ใช่คนตระกูลฟู่ ไม่มีสิทธิ์สืบทอดตระกูลฟู่”
ฟู่อีเฉินอึ้ง “พ่อ…ว่าไงนะ”
เขาอิจฉาฟู่อวิ๋นเซินมาตั้งหลายปี แต่ปรากฏว่าฟู่อวิ๋นเซินไม่ใช่คนตระกูลฟู่งั้นเหรอ!
ฟู่หมิงเฉิงกลับไม่สนใจฟู่อีเฉินอีก เขารีบไปหาเหอเฉวียนคนดำเนินพินัยกรรมตามที่ผู้เฒ่าฟู่ระบุไว้
…
ในเวลาครึ่งวันเช้า สี่ตระกูลใหญ่แห่งฮู่เฉิงก็ได้รับแจ้งข่าวเรื่องการตายของผู้เฒ่าฟู่
ช่วงหลายปีมานี้ตระกูลเจียงเดินตามหลังตระกูลฟู่มาตลอด เจียงมั่วหย่วนก็พยายามทุ่มเททำให้ตระกูลเจียงล้ำหน้าตระกูลฟู่ เพื่อขึ้นเป็นหัวเรือใหญ่ของสี่ตระกูลเศรษฐีแห่งฮู่เฉิง
แต่เจียงมั่วหย่วนวุ่นอยู่กับงานที่บริษัทมาตลอด ไม่ค่อยสนใจเรื่องภายนอกเท่าไร สุดท้ายเป็นเพราะเยี่ยซู่เหอคุณนายผู้เฒ่าเจียงโทรมาเรียกเขากลับไป
“ตายแล้วเหรอ” เจียงมั่วหย่วนทำหน้าตกใจแบบที่เห็นได้ยาก ผ่านไปสักพักเขาถึงค่อยๆ พูดออกมาด้วยท่าทางเย็นชา “ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย”
ผู้เฒ่าฟู่สุขภาพไม่แข็งแรงมาตลอด รักษาหายแล้วก็น่าจะมีอาการหลงเหลืออยู่ดี
เจียงมั่วหย่วนไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้
ผู้เฒ่าฟู่เป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับเขา
มิตรภาพของรุ่นบรรพบุรุษ เมื่อมาถึงรุ่นพวกเขามันก็จืดจางไปนานแล้ว
เยี่ยซู่เหอกำลังชงชา พูดอย่างใจเย็น “ฟู่อี้ชางจากไปแบบนี้ เมืองฮู่เฉิงจะต้องวุ่นวายแน่ มั่วหย่วน นี่เป็นโอกาสของลูก”
ตระกูลฟู่จะต้องเปิดศึกแย่งชิงสมบัติกัน แล้วมีเหรอที่คนนอกจะไม่อยากฮุบตระกูลฟู่
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เธอยังอยากให้เจียงมั่วหย่วนแต่งงานกับคุณหนูในตระกูลฟู่ คุยกับคุณนายฟู่เป็นไปด้วยดี
แต่บนโลกนี้มีมิตรภาพถาวรที่ไหนกัน
ตระกูลเจียงย่อมเอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง
เจียงมั่วหย่วนพยักหน้าเล็กน้อย “ผมเข้าใจครับแม่”
อาศัยโอกาสช่วงที่ตระกูลฟู่วุ่นวาย ไม่แน่ตระกูลเจียงอาจข่มตระกูลฟู่ได้ หรือแม้กระทั่งอาจฮุบกิจการใหญ่หลายกิจการของตระกูลฟู่ได้ด้วย
เจียงมั่วหย่วนนั่งอยู่บนโซฟา คลายเนคไทออก หยิบถ้วยชาขึ้นมา
หลังจากจิบไปได้หนึ่งคำก็เหมือนนึกอะไรออก สีหน้าของเขาชะงัก ดวงตาขรึมลง
ผู้เฒ่าฟู่จากไปแบบนี้ คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คงมีแค่ฟู่อวิ๋นเซิน
ไม่มีผู้เฒ่าฟู่แล้ว คนไม่เอาไหนอย่างฟู่อวิ๋นเซินก็จะไม่มีคนหนุนหลังอีก
นิ้วของเจียงมั่วหย่วนถูแก้ว แววตาเริ่มดุดัน
แบบนั้นอิ๋งจื่อจินก็…
นิ้วของเจียงมั่วหย่วนบีบแรงมากขึ้น ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก สีหน้าผ่อนคลายลง
เขาได้ยินว่าอิ๋งจื่อจินถูกไล่ออกจากตระกูลอิ๋งแล้ว เขาก็จะถือโอกาสรับเธอมาที่บ้านตระกูลเจียง
เยี่ยซู่เหอสังเกตเห็นสีหน้าของเขาที่เปลี่ยนไป “มั่วหย่วน คิดอะไรอยู่”
“เปล่าครับ” เจียงมั่วหย่วนตอบ “ผมกำลังคิดว่าคุณแม่พูดถูก นี่เป็นโอกาสของผม”
เยี่ยซู่เหอได้ฟังก็พยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรอีก
…
เนื่องจากเป็นช่วงสุดสัปดาห์ ผู้เฒ่าจงจึงไม่ได้ไปบริษัท
เขาตื่นแปดโมงเหมือนทุกวัน ออกไปเดินเล่นรำไทเก๊ก และก็ถือโอกาสจ่ายตลาดกลับมา
ผู้เฒ่าจงยังชอบใช้ชีวิตแบบชาวบ้านทั่วไปด้วย ช่วงนี้รู้จักเข้าครัวทำอาหารแล้ว
กว่าเขาจะกลับถึงบ้านก็สิบเอ็ดโมงแล้ว เห็นพ่อบ้านจงนั่งเหม่ออยู่ที่โซฟา ทั้งยังเอามือขยี้ตาบ่อยๆ จึงอดแปลกใจไม่ได้ “มีอะไรเหรอ”
“คุณท่าน” พ่อบ้านจงเห็นเขากลับมาก็ลุกขึ้นทันที “คุณท่าน ตระ…ตระกูลฟู่จัดงานศพแล้วครับ”
ผู้เฒ่าจงยังคิดตามไม่ทัน ถามเหมือนหุ่นยนต์ “ใคร”
“ท่านผู้เฒ่าฟู่ครับ” พ่อบ้านจงเช็ดน้ำตา “เพิ่งเสียเมื่อเช้าครับ”
ร่างกายของผู้เฒ่าจงโงนเงน หน้าซีดในชั่วพริบตา
“คุณตา” แววตาของอิ๋งจื่อจินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอรีบเข้าไปประคองผู้เฒ่าจงไว้ หยิบน้ำที่เตรียมไว้ให้ “ดื่มน้ำค่ะ”
คนแก่เมื่อสะเทือนใจมากจะกระทบกระเทือนสุขภาพอย่างรุนแรง
ผู้เฒ่าจงตัวสั่น ฝืนดื่มน้ำลงไป
อิ๋งจื่อจินใส่ยาลงไปในน้ำ เพื่อช่วยให้เขาสงบสติอารมณ์ได้
“จื่อจิน หลานไปหาเขาเถอะ ตาไม่เป็นไร” ผู้เฒ่าจงดื่มน้ำเสร็จ ยังไม่ทันจะได้เศร้าก็นึกถึงเรื่องสำคัญที่สุด “เวลานี้คนที่รับไม่ได้มากที่สุดก็คือเขา ดูเขาไว้ ปู่ฟู่บอกว่าเวลาเขาคลั่งขึ้นมาจะทำร้ายแม้แต่ตัวเอง”
หลังจากอิ๋งจื่อจินแน่ใจว่าผู้เฒ่าจงไม่เป็นไรแล้วเธอก็ปล่อยมือแล้วออกไป
…
ข่าวคราวแพร่ไปไว อีกทั้งฟู่หมิงเฉิงยังเจตนาจัดงานศพใหญ่โต ไม่ได้ปิดบัง จนข่าวลอยไปถึงทางตี้ตู
มู่เฮ่อชิงก็ไม่อยากเชื่อ
ตอนแรกเขาไม่พูดอะไร เอาแต่เงียบ
มู่เฉิงที่อยู่ข้างๆ ลองถาม “คุณท่าน ทางพวกเราเอายังไงดีครับ”
“เตรียมเครื่องบินส่วนตัว” มู่เฮ่อชิงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ไปฮู่เฉิง”