หลังจากที่รู้ว่าอิ๋งจื่อจินอาศัยความเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋งเข้ามาอยู่ในคลาสเด็กอัจฉริยะโดยใช้เส้นสาย เฮ่อสวินก็ยิ่งไม่ชอบมากกว่าเดิม
เขาไม่มีความประทับใจในตัวเด็กคนนี้แม้แต่น้อย
ส่วนสำเนียงภาษาอังกฤษน่ะเหรอ
นี่เป็นความสามารถพื้นฐานที่สุดของนักเรียนชิงจื้อ
อาจารย์เติ้งอึ้งกับคำพูดนี้ แต่กลับนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง
ตอนนั้นเธอไปแลกเปลี่ยนเทคนิคการสอนที่ยุโรปหนึ่งสัปดาห์ ครั้นแล้วจึงฝากให้เฮ่อสวินไปสอนแทน
พอกลับมาก็ได้ยินพวกนักเรียนคลาสเด็กอัจฉริยะกับคลาสนานาชาติบอกว่า เฮ่อสวินถามคำถามที่ง่ายมากๆ แต่อิ๋งจื่อจินก็ตอบไม่ได้ ประมาณว่าฟังไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำ
บางครั้งยังแอบงีบหลับในห้องเรียน
ตอนเฮ่อสวินสอนในห้องย่อมไม่มีทางพูดอะไร แต่ใครต่างก็มองออกว่าเขาโกรธ
อาจารย์เติ้งถอนหายใจ อยากพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป “อันที่จริงเด็กคนนี้ก็ลำบาก…”
ปกติสอนนักเรียน เธอจะแนะนำเป็นจุดๆ ไป
อีกทั้งการเรียนก็เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะถนัดภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์
ด้วยเหตุนี้เฮ่อสวินจึงไม่แสดงความคิดเห็น เขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่เธอได้ทรัพยากรที่ไม่ควรได้”
ถ้าไม่มีอิ๋งจื่อจิน ที่นั่งตรงนั้นในคลาสเด็กอัจฉริยะจะเป็นของคนที่ได้อันดับห้าสิบ
อย่างไรเสียโปรแกรมของคลาสเด็กอัจฉริยะล้วนได้ทรัพยากรครูชั้นยอด ต่อให้เป็นคลาสเด็กเก่งก็ยังเทียบไม่ได้
เฮ่อสวินไม่พูดอะไรอีก เขาอ่านบทความที่เต็มไปด้วยภาษาอังกฤษอัดแน่น
แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ ภาษาอังกฤษพวกนี้กลับแตกต่างจากภาษาอังกฤษปกติ
นี่เป็นภาษาอังกฤษยุคกลาง น่าจะใช้กันในช่วงปีพันหนึ่งร้อยห้าสิบถึงปีพันห้าร้อย
เมื่อเทียบกับภาษาอังกฤษยุคปัจจุบัน ไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษยุคกลางยากยิ่งกว่า
เฮ่อสวินเน้นอักษรสีแดงในเอกสารไว้แล้ว เขาสืบค้นข้อมูลมามาก แต่ก็แปลได้แค่ส่วนเดียว
ตอนนี้คนที่รู้ภาษาอังกฤษยุคกลางมีน้อยมาก ต่อให้เป็นคนประเทศวายโดยกำเนิดก็ตาม ไม่มีใครใช้กันแล้ว
อยากหาคนที่เป็นภาษาอังกฤษยุคกลางมันยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
เฮ่อสวินนวดขมับ วางเอกสารในมือไว้ข้างหนึ่ง จากนั้นก็หยิบหนังสือสอนคลาสนานาชาติมาเริ่มเตรียมการสอน
…
อาจเพราะวิชาภาษาอังกฤษเมื่อเช้า ลู่ฟั่งกับอิงเฟยเฟยจึงสงบเสงี่ยมลงไปมาก ไม่ไปหาเรื่องอิ๋งจื่อจินอีก
เปิดเทอมวันแรกมีแต่การคุยเรื่องข้อสอบ อิ๋งจื่อจินมองคะแนนหกวิชาของตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
เธอรู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
ถึงแม้เมื่อก่อนเธอจะฟื้นคืนได้ไม่เต็มที่ ความทรงจำกับความสามารถไม่ได้มีมาด้วย แต่สติปัญญาก็ยังพอมีอยู่บ้าง ไม่ถึงกับสอบได้แย่ขนาดนี้
ทว่าเนื่องจากได้รับแรงกดดันจากแวดวงตระกูลเศรษฐี อีกทั้งยังถูกเรียกไปให้เลือดอิ๋งลู่เวยบ่อยครั้ง ประหนึ่งเป็นหุ่นเชิด ไม่มีอิสระแม้แต่นิดเดียว
สภาพร่างกายไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเรียน
ยิ่งสอบได้คะแนนแย่จงมั่นหวาก็ยิ่งโมโห พอเป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ ก็กลายเป็นวงจรอุบาทว์
อิ๋งจื่อจินมีสีหน้าเรียบเฉย เอาข้อสอบยัดลงกระเป๋าหนังสือ
มิน่านิสัยของเธอถึงแย่ลง ที่แท้ก็เพราะความกดดันที่ต้องเจอในช่วงหนึ่งปีนี้ที่มาอยู่ตระกูลอิ๋ง
เธอไม่วิปริตไปก็ถือว่าดีมากแล้ว
“จือหว่าน ไปเถอะ” ก่อนออกจากห้องเรียน อิงเฟยเฟยจงใจพูดเสียงดังขึ้น “ไปเยี่ยมปู่เธอกัน”
ปู่ของจงจือหว่านก็คือพ่อของจงมั่นหวา
อิ๋งจื่อจินเป็นลูกเลี้ยงย่อมไม่มีสิทธิ์ได้พบ
สีหน้าของจงจือหว่านกลับเปลี่ยนไป
อิงเฟยเฟยไม่รู้ แต่เธอรู้ดี
ถึงแม้จะเคยเจอไม่กี่ครั้ง แค่สองครั้งเท่านั้น แต่ท่านผู้เฒ่าจงกลับดีต่ออิ๋งจื่อจินมาก แทบจะมองข้ามเธอไป
นึกถึงคำพูดเมื่อเช้าที่ไม่มีใครคิดจริงจัง ท่าทางของจงจือหว่านก็ชะงักไปชั่วขณะ เธอมองอิ๋งจื่อจินแวบหนึ่ง “ไปเถอะ”
คลาสเด็กอัจฉริยะไม่มีการทบทวนบทเรียนตอนเย็น หลังเลิกเรียนพวกนักเรียนก็แยกย้ายไปตามความชอบ
อิ๋งจื่อจินดูเวลา เธอก็เตรียมจะไปแล้วเหมือนกัน
ยังไม่ทันได้เดินออกไปก็ถูกกรรมการชั้นเรียนเรียกไว้
“อิ๋งจื่อจิน วันนี้เป็นเวรของเธอแล้ว วันแรกมีขยะไม่เท่าไร เช็ดกระดานดำให้สะอาดก็พอ” เขาลังเลเล็กน้อย กระซิบบอก “เมื่อเช้าฉันเห็นลู่ฟั่งเอาน้ำใส่กะละมังวางไว้บนประตู เธอ…ช่วงนี้เธอระวังหน่อยนะ”
อิ๋งจื่อจินได้ฟังก็พยักหน้าเบาๆ “ขอบใจ”
“มะ ไม่เป็นไร” กรรมการชั้นเรียนหลบสายตาของเธอ ใบหน้าแดงก่ำ หยิบกระเป๋าหนังสือแล้วรีบวิ่งหนีไป
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด ตัดสินใจส่งข้อความตอบฟู่อวิ๋นเซินก่อน
หลังจากส่งวีแชทเสร็จเธอก็พับแขนเสื้อ หยิบผ้าขี้ริ้วที่อยู่ล่างเวทีหน้าชั้นเรียนไปที่ห้องน้ำ
ท้องฟ้าในเดือนมีนาคมมืดเร็ว เดินไปเดินกลับไม่กี่นาทีฟ้าข้างนอกก็มืดสนิทแล้ว
เธอมองจากระเบียงทางเดินสามารถมองเห็นท้องฟ้าด้านล่าง
กลุ่มอาคารอยู่ท่ามกลางเมฆสีดำที่เปลี่ยนไปตามสายลม ถนนทอดยาวการจราจรขวักไขว่ ผู้คนดุจคลื่นทะเล แผ่ขยายไปทั้งเมือง
อิ๋งจื่อจินยืนเงียบๆ อยู่สักพักแล้วถึงกลับห้องเรียน
พอเข้าไปฝีเท้าเธอก็หยุดชะงัก
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตาสีอำพันสะท้อนแสงไฟ เจิดจรัสยิ่งกว่าดวงดาว
ฟู่อวิ๋นเซินได้ยินเสียงฝีเท้า เขายืดตัวขึ้น หันกลับมามอง ดวงตาดอกท้อโค้งมน “เยาเยา”
อิ๋งจื่อจินขมวดคิ้วเล็กน้อย “บอกแล้วว่าไม่ต้องรอไม่ใช่เหรอ”
อย่างไรเขาก็มีเรื่องต้องทำอีกมาก ไม่จำเป็นต้องมาดูแลเธอตลอด
“ไม่เป็นไร” ฟู่อวิ๋นเซินล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง ยิ้มพลางพูด “ช่วงนี้ พี่ชายค่อนข้างว่าง เดี๋ยวช่วยทำเวรนะ”
ขณะพูดเขาก็รับผ้าขี้ริ้วมาจากมือเธอ เช็ดกระดานดำอย่างคล่องแคล่ว
อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย เธอถอนหายใจ เดินไปหยิบไม้กวาดที่หลังห้องแล้วเริ่มกวาดพื้น
สิบนาทีต่อมาทั้งสองคนก็ทำความสะอาดเสร็จ
ฟู่อวิ๋นเซินปัดฝุ่นบนเสื้อเชิ้ต ดวงตาดอกท้อหรี่ลง “อืม สะอาดพอสมควร ไปเถอะ”
ตอนออกมาเป็นเวลาทุ่มครึ่งแล้ว
“กินข้าวกัน” อิ๋งจื่อจินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดแอป “จากนั้นฉันจะกลับบ้านหน่อย”
บ้านที่ว่านี้ย่อมหมายถึงที่พักของเวินเฟิงเหมียน
ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม “ตามใจ”
ขณะที่กำลังค้นหาร้านอาหารใกล้ๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตกใจ “คุณหนูอิ๋ง!”
อิ๋งจื่อจินหันไป
ปิ๊นๆ
รถมายบัคสีดำจอดลงตรงหน้าเธออย่างกะทันหัน หน้าต่างฝั่งข้างคนขับเลื่อนลง
…
ในขณะเดียวกันอีกฝั่งของถนน
จงมั่นหวาเพิ่งออกมาจากห้างสรรพสินค้าเซ็นจูรี่เซ็นเตอร์ เพิ่งโทรให้คนขับรถมารับ พอเงยหน้าก็เห็นเด็กสาวที่อยู่ในเครื่องแบบโรงเรียนมัธยมชิงจื้อยืนอยู่หน้ารถคันหนึ่ง ก้มตัวเล็กน้อย
ข้างๆ เป็นฟู่อวิ๋นเซินคุณชายเสเพลที่ทั้งเมืองฮู่เฉิงต่างรู้จัก
จงมั่นหวาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ กำลังจะเข้าไปพาอิ๋งจื่อจินออกมา
“มั่นหวา” คุณนายมู่ที่อยู่ข้างๆ สังเกตเห็น “มีอะไรเหรอ”
“เปล่าค่ะ” จงมั่นหวาละสายตากลับมาทันที แค่อยากรีบไปจากที่นี่
เธอไม่อยากให้คุณนายมู่เห็นภาพนี้ เกิดลือออกไปจะกลายเป็นลูกสาวของจงมั่นหวาไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ให้ท่าคุณชายตระกูลฟู่
แต่คุณนายมู่มองไปแล้ว
จงมั่นหวาตกใจ เข้าไปดึงเธอไว้ “คุณนายมู่ เราไปกันเถอะค่ะ”
คุณนายมู่กลับไม่ขยับ เธอมองบนรถมายบัคสีดำคันนั้นแล้วยืนอึ้ง เหม่อไปชั่วขณะ
ดูเหมือนว่านั่นจะเป็น…
รถประจำตัวของมู่เฮ่อชิง