ปากกาในมือผู้อำนวยการตกสู่พื้น
ผู้ป่วยรายนี้เพิ่งมา เขายังไม่ได้ประวัติมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเอาให้อิ๋งจื่อจิน
ปรากฏว่าอิ๋งจื่อจินแค่มองๆ ดูก็สรุปออกมาได้แล้ว!
พอได้ยินแบบนี้ ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นจับที่เท้าแขนแน่น ตะลึงมาก “คุณ…”
แม้แต่คุณชิงจยาที่เขาบังเอิญเจอที่เมืองนอกก็ต้องตรวจดูเขาก่อนกว่าจะได้ข้อสรุปแบบนี้
สีหน้าของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาจับเก้าอี้รถเข็น ยืนขึ้นอย่างทุลักทุเลแล้วโค้งตัวให้อิ๋งจื่อจิน
เด็กหนุ่มตะลึงในการกระทำของพ่อ “คุณพ่อ”
“ขอโทษครับคุณหมอเทวดา” ชายวัยกลางคนรู้สึกละอายมาก “ผมมันตาต่ำเกินไป เข้าใจคุณผิด ทั้งยังพูดกับคุณแบบนั้น ต้องขอโทษจริงๆ ครับ”
เขานิสัยไม่ดี และก็อวดดี แต่พอรู้ตัวว่าผิดก็ปรับปรุง
ผู้อำนวยการเช็ดเหงื่อ ในที่สุดก็ได้พูดแล้ว “คุณอิ๋งครับ ผมยังไม่ได้แนะนำ นี่คือศาสตราจารย์จี้เฟิง ส่วนนี่คือลูกชายของเขา จี้ชิงหลินครับ”
“ค่ะ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเล็กน้อย “คุณเคยได้รับรังสี เมื่อก่อนไปที่ไหนมาบ้างคะ”
ญาณพยากรณ์ของเธอยังไม่ฟื้นคืน จึงอาศัยประสบการณ์ที่รักษาคนมาหลายปีในการพิจารณาประกอบ
พอจี้เฟิงได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งละอายใจมากกว่าเดิม
เขานึกไม่ถึงว่า เขาทำเสียมารยาทขนาดนี้แล้ว เธอยังยินดีจะรักษาให้
“คุณหมอเทวดาครับ คุณพ่อของผมเคยเป็นนักวิจัยระดับประเทศ แต่ตอนนี้เกษียณแล้วครับ” จี้ชิงหลินครุ่นคิด ขมวดคิ้ว “ถ้าถามว่าเคยได้รับรังสีอะไร น่าจะเป็นเมื่อยี่สิบสามปีก่อน แต่ทำไมตอนนี้…”
จี้เฟิงตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารในปีนี้
เพียงแต่มันสายไปแล้ว เขาเป็นระยะสุดท้าย
ต่อให้ได้รับรังสี ยังจะซ่อนอยู่ถึงยี่สิบสามปีเลยเหรอ
“ไม่ได้น่าตกใจอะไร” อิ๋งจื่อจินพูด “โลกนี้กว้างใหญ่ เรื่องแปลกๆ มีเยอะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ค่ะ”
“เกิดจากได้รับรังสีจริงๆ เหรอครับ” ดูเหมือนจี้เฟิงจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาขมวดคิ้ว “แต่ตอนนั้นผมอยู่ตั้งไกล…”
เขาจำได้ดี คนที่อยู่โซนใจกลางต่างตายกันหมดในเวลาไม่กี่เดือน
เขาอยู่ห่างมาก ถึงแม้จะโดนรังสีแน่นอน แต่ไม่ได้เยอะ
ดังนั้นหลังจากเสร็จการทดลอง ร่างกายของเขาจึงไม่มีความผิดปกติอะไรมาตลอด
มีแค่ปีนี้ที่ไม่ไหวแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะอิ๋งจื่อจินพูดแบบนี้ จี้เฟิงไม่มีทางนึกถึงเมื่อยี่สิบสามปีก่อน
อิ๋งจื่อจินเหลือบตาขึ้น “ขอมือค่ะ”
คราวนี้จี้เฟิงเชื่อฟังเป็นอย่างดี ยื่นมือให้
อิ๋งจื่อจินดูเส้นชีวิตของเขา เลิกคิ้ว “ยังโชคดีอยู่ค่ะ”
เส้นชีวิตแสดงอายุขัยแปดสิบปี
ปีนี้จี้เฟิงอายุห้าสิบสาม ยังอยู่ได้อีกยี่สิบเจ็ดปี
แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าโรงมะเร็งของเขาจะต้องหาย
ทว่าโรคมะเร็งระยะสุดท้ายหมดทางรักษา ไม่มียาหรือวิธีการใดๆ รักษาได้เลย
อีกทั้งจี้เฟิงก็ยื้อเวลามานานเกินไป
เขาเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารโดยมีสาเหตุมาจากการได้รับรังสี อีกทั้งยังไม่เหมือนมะเร็งกระเพาะอาหารทั่วไป
“คุณหมอเทวดา” จี้เฟิงเครียดมาก “รักษาได้ไหมครับ”
ถ้ารอดได้ก็ไม่มีใครอยากตาย
แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
“เซลล์มะเร็งในร่างกายคุณมีมากเกินไป” อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย “ฉันช่วยยื้อชีวิตได้ แต่ทำให้ความเจ็บปวดหายไปทั้งหมดไม่ได้ ทำได้เพียงบรรเทาลง คุณต้องทนไปถึงอายุแปดสิบ”
จี้เฟิงตะลึง “ผมจะอยู่ได้ถึงแปดสิบเลยเหรอครับ”
ขนาดคุณชิงจยาที่เขาเคยเจอก็บอกได้แค่ว่าช่วยให้เขาอยู่ต่อได้เต็มที่อีกหกปี
เพียงแต่เธอมีธุระรีบร้อน พวกเขาเลยแค่แลกช่องทางติดต่อกันไว้
จากนั้นจี้เฟิงรู้ว่าทางโรงพยาบาลเซ่าเหรินมีหมอเทวดา เขาก็เลยลองมาดู
จี้ชิงหลินก็ตะลึงมาก
หลังจากที่จี้เฟิงตรวจพบมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้ายก็วิ่งวุ่นหาหมอทั้งในและต่างประเทศมาจนทั่ว แต่ก็อับจนหนทาง
ผู้อำนวยการตะลึงยิ่งกว่า “คุณอิ๋งรักษามะเร็งระยะสุดท้ายได้เหรอครับ”
อายุแปดสิบ อายุขัยเฉลี่ยของคนก็คือประมาณเท่านี้
“ไม่ถึงกับรักษาหายได้ ทำได้แค่คุมไว้ค่ะ” อิ๋งจื่อจินยืนขึ้น “ไปห้องผ่าตัดค่ะ”
ก่อนเธอออกมาจากมหาวิทยาลัยนอร์ตัน เธอได้เอาพวกส่วนประกอบของการเล่นแร่แปรธาตุมาด้วย
เอามาใช้กับจี้เฟิงได้พอดี
จี้ชิงหลินรีบเข็นจี้เฟิงออกไป ผู้อำนวยการก็ตามไปติดๆ
…
สองชั่วโมงต่อมาการผ่าตัดก็เสร็จสิ้น
กว่าอิ๋งจื่อจินจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว
“เยาเยา กลับมาแล้วเหรอ” เวินเฟิงเหมียนกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ พอได้ยินเสียงกุกกักเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มพลางพูด “อากาศเย็น พ่อต้มซุปไว้ มากินหน่อยสิ”
“พ่อคะ” อิ๋งจื่อจินเดินเข้าไป ครุ่นคิด สุดท้ายก็พูดขึ้น “วันนี้หนูรักษาคนไข้คนหนึ่ง”
“รักษาคนเหรอ” เวินเฟิงเหมียนไม่ค่อยเห็นด้วย เขาเป็นห่วง “เยาเยา ลูกยังต้องเรียนหนังสือ ไหนจะต้องลงแข่งขันอีก อย่าไปทำเรื่องแบบนี้เลย เหนื่อยเกินไปจะไม่ดีนะ”
อิ๋งจื่อจินเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ย่อมไม่มีทางที่เวินเฟิงเหมียนจะไม่รู้สึก
แต่เขาไม่ได้ถาม
เขารู้ว่านี่คือลูกสาวเขา จุดนี้ไม่เปลี่ยนก็เพียงพอแล้ว
“ก็แค่บางครั้งบางคราวค่ะ” อิ๋งจื่อจินตักซุปมาวางตรงหน้าเวินเฟิงเหมียน เงียบไปชั่วขณะ “พ่อคะ หนูเห็นเขามีอาการเดียวกับพ่อค่ะ”
ตอนนั้นที่เธอตรวจร่างกายของเวินเฟิงเหมียนก็สังเกตเห็นแล้ว ไม่เพียงแต่เวินเฟิงเหมียนจะมีอาการหอบ กระเพาะอาหารก็มีแนวโน้มจะเป็นมะเร็ง
อาการเหมือนจี้เฟิงไม่มีผิด
แต่ที่โชคดีคือ ตอนเธอฟื้นมา เวินเฟิงเหมียนเพิ่งเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะแรก ยังรักษาได้สะดวกมาก
นี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่เธอทำการรักษาให้จี้เฟิง
มือของเวินเฟิงเหมียนชะงัก เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “บังเอิญขนาดนี้เลยเหรอ”
เขาเงียบไปสักพักแล้วถึงถาม “เยาเยา คนที่ลูกรักษาชื่ออะไร”
“จี้เฟิงค่ะ” อิ๋งจื่อจินกินซุปหนึ่งคำ “เขาเป็นศาสตราจารย์”
พอได้ยินชื่อที่ค่อนข้างคุ้นเคย เวินเฟิงเหมียนก็อึ้ง นึกถึงอดีต “เขาเองเหรอ”
“พ่อคะ” อิ๋งจื่อจินมองเวินเฟิงเหมียน “ถ้ามีเรื่องอะไรพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ยังมีหนูอยู่”
เวินเฟิงเหมียนตัวสั่น ยิ้มพลางพูด “พ่อรู้”
ตอนที่ภรรยาพาลูกสาวคนโตหนีไป ใช่ว่าเขาจะไม่สะเทือนใจ เศร้าเสียใจอยู่นาน
แต่สวรรค์ก็ได้ประทานลูกสาวมาให้เขาอีกหนึ่งคน
เขาไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย
เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไป
เขาเองก็ไม่อยากคิดมากอีก
เวินเฟิงเหมียนกลับเข้าห้องนอน เวินทิงหลานวิดีโอคอลมาหาพอดี
“พ่อครับ”
เด็กหนุ่มที่อยู่ในจอสวมชุดนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ตัน ร่างกายผึ่งผาย สีหน้าก็ดูสดชื่นขึ้นไม่น้อย
โรคจิตเวชที่เคยเป็นได้รับการรักษาจนหายสนิทแล้ว
ตอนแรกเวินเฟิงเหมียนยังไม่ค่อยสบายใจที่เวินทิงหลานไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แต่ต่อมาก็วางใจแล้ว
มหาวิทยาลัยนอร์ตันเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ
หลังจากเวินเฟิงเหมียนฟังเวินทิงหลานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยเสร็จเขาก็ถาม “อวี้อวี้ เรียนเป็นไงบ้าง ยากไหม”
พอได้ยินคำถามนี้เวินทิงหลานก็เงียบไปเล็กน้อย “พอไหวครับ”
เวินทิงหลานไม่กล้าบอกเวินเฟิงเหมียนว่าเมื่อครู่เขากับพวกรุ่นพี่ช่วยกันสร้างอาวุธไฮเทคขนาดเล็กขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ตอนทดสอบประสิทธิภาพของมันได้ทำห้องทดลองระเบิดไป
แต่พวกรุ่นพี่ก็ใจเย็นมาก ตบบ่าของเขาแล้วบอกว่าเรื่องปกติ
ทั้งยังบอกอีกว่าพวกรุ่นพี่ทำระเบิดไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว นายเพิ่งครั้งเดียวเอง ยังต้องพยายามอีกมาก
ก็แค่เงินค่าซ่อมห้องทดลองต้องหักจากทุนการศึกษาของพวกเขา จุดนี้ก็ออกจะโหดร้ายไปหน่อย
โชคดีที่มหาวิทยาลัยนอร์ตันรวยมาก เขาเป็นนักศึกษาของคณะระดับดับเบิ้ลเอส (SS) ไม่ใช่แค่กินฟรีอยู่ฟรี ทุกเดือนยังมีทุนการศึกษาให้หนึ่งแสนดอลลาร์ด้วย
ตอนนี้ในที่สุดเวินทิงหลานก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมตอนที่พี่สาวมาส่งเขาขึ้นเครื่องถึงบอกให้เขาเตรียมใจไว้ให้ดี
เพราะอาจช็อกสุดขีด
มหาวิทยาลัยนอร์ตันเป็นสวนสนุกของพวกอัจฉริยะสติเฟื่องทั้งหลาย
…
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่เผยเทียนอี้เสร็จสิ้นภารกิจสำรวจวิจัยในหนึ่งวันก็กลับเข้าห้องพักในโรงแรม
เขานวดหว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า เปิดคอมพิวเตอร์ ล็อกอินเข้าเว็บบอร์ดเอ็นโอเค
นี่เป็นแอ๊กเคานท์ที่อาจารย์ของเขาให้มา บอกว่าในเว็บบอร์ดนี้มีคนประหลาดมากมาย มีเวลาก็เข้าไปท่องดูได้
แน่นอนว่าเผยเทียนอี้ดูได้แค่หน้าหลัก เขาเข้าพื้นที่ปิดไม่ได้
ผู้ใช้งานที่ไต่จากหน้าหลักเข้าพื้นที่ปิดได้ หลายปีมานี้ยังมีไม่ถึงหนึ่งร้อยคน
อย่างไรเสียก็ใช่ว่าใครจะเข้าสมาพันธ์ลับก็ได้
แต่บางครั้งก็จะมีพวกบอสโผล่มาเล่นในหน้าหลักบ้างยามว่าง ลองดูว่ามีเรื่องสนุกอะไรไหม
ตอนแรกสุดเผยเทียนอี้ไม่รู้สึกว่าเว็บบอร์ดนี้มีความพิเศษตรงไหน ถึงขั้นที่ว่าเขาไม่ชอบโทนสีดำนี้ด้วย
ก่อนหน้านี้เขาลองโพสต์ภารกิจดู และก็มีคนมาช่วยจัดการให้เขาจริงๆ
เผยเทียนอี้โพสต์เอกสารภาษาอังกฤษยุคกลางที่เขาต้องแปล พร้อมทั้งกำหนดเงินรางวัล
เอกสารมีทั้งหมดห้าหน้า หน้าละห้าหมื่น
แต่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีใครรับ
เผยเทียนอี้ขมวดคิ้ว เพิ่มมูลค่าเงินรางวัลเป็นหน้าละหนึ่งล้าน
ถ้ามีคนได้ภาษาอังกฤษยุคกลางจริง แปลเอกสารไม่กี่หน้านี้ใช้เวลาสิบกว่านาทีก็เสร็จ
เขามีเงินเหลือเฟือ ทุกปีโรงเรียนเอลานจะมีงบให้ห้องวิจัยหลายพันล้าน
ถ้าแปลเอกสารพวกนี้ออกมาได้จะช่วยเขาได้มากทีเดียว
ถึงแม้เงินรางวัลจะเพิ่มขึ้นขนาดนี้แล้ว แต่ผ่านไปสิบนาทีก็ยังคงไม่มีใครมารับ
เผยเทียนอี้หงุดหงิด แต่นี่ก็อยู่ในความคาดหมายของเขา
ในเอกสารไม่กี่หน้านี้ ไม่ได้มีแค่ภาษาอังกฤษยุคกลาง ยังมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษโบราณจำนวนมากอีกด้วย
ภาษาอังกฤษยุคกลางยังมีคนเข้าใจบ้าง แต่ภาษาอังกฤษโบราณไม่มีใครเข้าใจแล้ว
ในขณะที่เขาเตรียมจะล๊อกเอ๊าออกจากเว็บบอร์ด ระบบก็เด้งหน้าต่างขึ้นมา
สีหน้าของเผยเทียนอี้ชะงัก เขาเห็นชัดเจน
[คนชี้ทางรับภารกิจของคุณ]