สายสัมพันธ์พี่น้องสิบกว่าปี มีเหรอจะถูกทำลายเพราะคนนอกได้
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็แค่พูดถึงนิดหน่อย อิ๋งจื่อจินก็ไม่ได้ยินจะเสียหายอะไรได้ พ่อบ้านทำงานในบ้านตระกูลอิ๋งมาเกือบสามสิบปีแล้ว มองตัวเองเป็นคนในครอบครัวอิ๋งนานแล้ว
ไม่ว่าจะอิ๋งเจิ้นถิงหรือจงมั่นหวาต่างก็ต้องฟังความคิดเห็นของเขา และสิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาทำงานในบ้านตระกูลอิ๋ง กินฟรีอยู่ฟรี ได้เงินตอบแทนเดือนละห้าแสน แค่คอยสั่งให้คนรับใช้ทำงานจัดการเรื่องทุกอย่างภายในบ้าน
ถ้าเขาถูกตระกูลอิ๋งไล่ออก จะไปหางานดีๆ แบบนี้ได้ที่ไหนอีก
อีกทั้งตระกูลอิ๋งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลเศรษฐีใหญ่
คนรับใช้ที่สี่ตระกูลใหญ่ไล่ออก ตระกูลอื่นหนีให้ไกลยังจะไม่ทัน ไม่มีทางเรียกใช้
ไม่ว่าอย่างไรพ่อบ้านก็ไม่อยากไปจากบ้านตระกูลอิ๋ง
“แค่พูดไม่กี่ประโยคงั้นเหรอ” อิ๋งเทียนลี่ว์กระชากคอเสื้อพ่อบ้าน บังคับให้เขายืนขึ้น
“ดูท่าพ่อบ้านจะทำมาหลายครั้งแล้ว ทำตามอำเภอใจเลยสินะ ไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดอะไร”
พ่อบ้านสีหน้าเปลี่ยน “คุณชายใหญ่ ผมไม่ได้…”
“ทุกคนมานี่ให้หมด” อิ๋งเทียนลี่ว์ไม่มองอิ๋งเย่ว์เซวียน เรียกคนรับใช้ในบ้านมา “ยืนเรียงกันให้ดี”
พวกคนรับใช้มีเหรอจะกล้าขัดคำสั่ง รีบวิ่งมาทันที
บางคนอยู่ในช่วงพักกับวันหยุด รวมกับคนสวน มีทั้งหมดยี่สิบห้าคน
“ปกติพวกคุณได้ฟังเขาพูดอะไรบ้าง” อิ๋งเทียนลี่ว์กวาดตามอง
“พูดออกมา ไม่อย่างนั้นก็ไสหัวออกไปพร้อมกับเขา”
ฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของพ่อบ้านก็ซีดลงยิ่งกว่าเดิม ร่างกายสั่นไม่หยุด
พวกคนรับใช้ก็เริ่มลนลาน แย่งกันฟ้องโดยไม่มีปิดบัง
“พ่อบ้านเคยพูดว่า คุณหนูรองก็แค่เกิดมาหน้าตาดี วันๆ ยั่วคนนั้นที ยั่วคนนี้ที หน้าไม่อาย”
“พ่อบ้านยังพูดอีกว่า คุณหนูรองไม่รู้จักมารยาทเลยจริงๆ สมน้ำหน้าแล้วที่ไม่ได้รับความรักจากคุณนายกับคุณท่าน”
“แล้วก็…”
อิ๋งเทียนลี่ว์ทนฟังต่อไปไม่ไหว ยกกำปั้นเหวี่ยงเข้าที่หน้าของพ่อบ้าน “สารเลว!”
ถ้าวันนี้เขาไม่บังเอิญมาได้ยิน เขาไม่มีทางรู้เลยว่าหนึ่งปีที่อิ๋งจื่อจินอยู่ในบ้านตระกูลอิ๋ง แม้แต่คนรับใช้ก็กล้าเหยียบหัวเธอ
“คุณหนูใหญ่!” พ่อบ้านถูกต่อยจนปากแตกคิ้วแตก หวาดกลัวขั้นสุด
“คุณหนูใหญ่ ช่วยขอร้องคุณชายใหญ่หน่อยครับ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่เคยเห็นอิ๋งเทียนลี่ว์โมโหขนาดนี้มาก่อน
ตอนเธอเรียนมัธยมต้นเคยถูกพวกนักเลงพูดจาลวนลาม อิ๋งเทียนลี่ว์ก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง จัดการถีบนักเลงคนนั้นส่งเข้าโรงพัก
แต่ไม่ได้โมโหอาละวาดขนาดนี้ อีกทั้งการอาละวาดครั้งนี้ยังเป็นเพราะอิ๋งจื่อจิน
“พี่ ก็แค่พูดไม่กี่ประโยคเอง ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้” อิ๋งเย่ว์เซวียนสูดลมหายใจเข้าลึกในใจรู้สึกแย่
“คุณอาพ่อบ้านก็สำนึกผิดแล้ว เขาทำงานในบ้านเรามานานขนาดนี้ เหน็ดเหนื่อยมาตั้งหลายปี”
อิ๋งเทียนลี่ว์แค่เหลือบมองเธอแต่ไม่พูดอะไร แค่มองแวบเดียวนี้กลับทำให้อิ๋งเย่ว์เซวียนรู้สึกผิดปกติ เธออึ้ง “พี่?”
“เธอรู้หรือเปล่าว่าตอนนั้นแฟนคลับของอิ๋งลู่เวยโจมตีจื่อจินในเน็ตมากี่ครั้ง” อิ๋งเทียนลี่ว์แววตาเคร่งขรึม
“จื่อจินเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว นี่เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ถ้าอาการรุนแรงถึงขั้นฆ่าตัวตายได้ เธอรู้หรือเปล่า”
อิ๋งเย่ว์เซวียนใจหายวาบ เธอเม้มริมฝีปาก “ฉัน…ฉันไม่รู้”
ตอนแรกสุดเธอยังอยากช่วยอิ๋งจื่อจินพัฒนาผลการเรียน ต่อมาก็พบว่าความคิดนี้เป็นเรื่องที่น่าขบขันสิ้นดี
ต่อมาเธอก็ไม่อยากไปยุ่งอะไรกับอิ๋งจื่อจินอีก
“เสี่ยวเซวียน เธอบอกฉันมาตลอดว่าเธอเป็นห่วงจื่อจินมาก จะมองจื่อจินเป็นน้องสาวแท้ๆ แต่ดูจากตอนนี้มันไม่ใช่” อิ๋งเทียนลี่ว์ยิ้ม พูดอย่างเย็นชา “เธอก็แค่พูดไปอย่างนั้น แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย”
“เธอยึดครองสถานะของจื่อจิน ใช้ชื่อกับวันเกิดของจื่อจิน จื่อจินลำบากอยู่ข้างนอกมาสิบกว่าปี เรื่องนี้เธอรู้ดีแก่ใจ แต่เธอกลับยังจะปล่อยให้คนอื่นดูถูกจื่อจิน บอกว่าเรื่องแค่นี้เอง”
“ฉันเห็นเธอเป็นน้องสาว แต่ถ้าจะให้บอกว่าใครเป็นคนนอก เธอนั่นแหละ และก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าพี่แล้ว ฉันมีจื่อจินเป็นน้องสาวคนเดียวก็พอแล้ว”
อิ๋งเย่ว์เซวียนรู้สึกราวกับฟ้าผ่า แทบไม่อยากเชื่อว่าอิ๋งเทียนลี่ว์จะพูดแบบนี้ใส่เธอ
อีกทั้งยังพูดเรื่องสถานะของเธอออกมา
พวกคนรับใช้ที่ไม่รู้เรื่องราวต่างตะลึงมาก
ที่แท้คุณหนูรองต่างหากที่เป็นคุณหนูใหญ่ที่แท้จริง!
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย
พ่อบ้านตัวเย็นเฉียบ สมองตื้อไปหมด
เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง
อิ๋งเทียนลี่ว์เพิ่งกลับมานานเท่าไร เขาเห็นอิ๋งจื่อจินสำคัญกว่าอิ๋งเย่ว์เซวียนแล้วเหรอ
“อีกอย่าง เหน็ดเหนื่อยงั้นเหรอ” อิ๋งเทียนลี่ว์ละสายตากลับมาที่พ่อบ้านอีกครั้ง “ฉันว่าไม่ใช่”
เขานั่งลงบนโซฟารอคนรับใช้ที่ส่งไปก่อนหน้านี้กลับมารายงาน
ทุกคนต่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงรู้สึกกลัวมาก
ครึ่งชั่วโมงต่อมาคนรับใช้คนนั้นก็กลับมา ยื่นกระดาษให้อิ๋งเทียนลี่ว์หลายแผ่น
ในกระดาษนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าช่วงหลายปีมานี้พ่อบ้านเอาทรัพย์สมบัติของตระกูลอิ๋งอะไรไปบ้าง ไม่ใช่ของชิ้นใหญ่แต่มูลค่ารวมกันก็นับสิบล้าน
“สามสิบห้าล้าน” อิ๋งเทียนลี่ว์พูด “เป็นคดีความได้แล้ว”
เขากำลังกลุ้มอยู่ว่าจะจัดการพ่อบ้านอย่างไรนี่เป็นตัวช่วยชั้นดี
พ่อบ้านนึกไม่ถึงว่าจะถูกขุดเรื่องพวกนี้ออกมา ลนลานอย่างสิ้นเชิง
“คุณชายใหญ่ ผมผิดไปแล้วครับ! ผมสำนึกผิดแล้วจริงๆ ครับ! ให้โอกาสผมนะครับ ผมขอร้อง”
เขาทำเรื่องนี้ลับๆ มาตลอด ของที่เขาเอาไปจากบ้านตระกูลอิ๋งก็มีแต่ของชิ้นเล็กทั้งนั้น แบบที่จงมั่นหวาไม่มีทางสนใจ
พวกคนรับใช้ก็อยู่ในความดูแลของเขา ยี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยมีใครสังเกตเห็น หลังจากที่เขาขายพวกของชิ้นเล็กๆ พวกนี้ออกไป เขาก็เอาเงินไปใช้สุรุ่ยสุร่าย เงินที่เหลือก็ส่งไปให้ทางบ้าน
“ได้ ให้โอกาส” อิ๋งเทียนลี่ว์ลุกขึ้น
“บอกมาว่ายังมีใครอีกที่เคยนินทาจื่อจิน ถ้าเกินห้าคนฉันจะไม่แจ้งตำรวจ”
“เขา แล้วก็คนนี้ด้วย!” พ่อบ้านเหมือนคว้าโอกาสรอดชีวิตไว้ได้
“พวกนี้เคยนินทาทั้งนั้น พูดจาแย่กว่าผมเสียอีก!”
คนรับใช้ที่ถูกกล่าวหาแข้งขาอ่อนแรงขึ้นมาทันที รีบคุกเข่าลง
“ไปเก็บของให้หมด” สายตาของอิ๋งเทียนลี่ว์เย็นชา “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ผมต้องการแจ้งความครับ มีคนลักขโมย”
“คุณชายใหญ่!” พ่อบ้านเงยหน้าขึ้นทันที “ไหนคุณชายบอกว่า…”
“ว่าอะไร” อิ๋งเทียนลี่ว์ตัดสาย กระชากคอเสื้อพ่อบ้านขึ้นมาอีกครั้ง “ไป…ไปโรงพัก”
ประตูใหญ่เปิดออกแล้วปิดลงอีกครั้งลมหนาวพัดเข้ามาในบ้าน
อิ๋งเย่ว์เซวียนยืนอยู่คนเดียวที่เดิม ยืนอึ้งอยู่แบบนั้น
…
วันต่อมา
โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ
หลังจากการแข่งขันรอบสองของไอเอสซีเริ่มขึ้น อิ๋งจื่อจินกลับใช้ชีวิตเกษียณอย่างสบายใจ
เพราะไม่มีใครกล้ามาท้าประลองกับเธอ
เธอยกเลิกความคิดใช้ชีวิตเกษียณทั้งยังเป็นฝ่ายเสนอคำท้าก่อน แต่ทุกคนก็พากันขอยอมแพ้รวมถึงอแมนด้าที่อยู่อันดับสองของชาร์ตรวมทั่วโลก
ซิวอวี่เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะเรียนของอิ๋งจื่อจิน มองพ่ออิ๋งที่ไม่ต้องทำอะไร คะแนนก็ยังคงอยู่ที่หนึ่งแบบไม่มีสั่นคลอน
ซิวอวี่ “…”
ไร้คู่แข่งมันเหงาขนาดไหน
ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ไม่พอใจมาก ทำเสียงฮึดฮัดแข่งกับตูตู
“ผมไม่อยากให้พ่ออิ๋งไปสอนคลาสอื่น ผมมันคนใจแคบแบบนี้แหละ”
หลังจากที่อิ๋งจื่อจินกลับมาจากค่ายติวไอเอสซีที่ตี้ตู ผู้อำนวยการโรงเรียนก็อยากให้เธอไปสอนนักเรียนชั้นมอปลายมาตลอด
“เอาน่า ก็แค่คาบเดียว” ซิวอวี่ไม่แคร์ “ไป…พวกเราไปจองที่ก่อน”
เวลานี้เหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาบ่ายสองโมง แต่หอประชุมใหญ่ก็แทบจะนั่งกันเกือบเต็มแล้ว
นักเรียนห้องสิบเก้านึกไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินจะได้รีบความนิยมล้นหลามขนาดนี้ อย่าว่าแต่จองที่เลย แม้แต่ที่นั่งพวกเขาก็แทบหาไม่ได้
เจียงหรานตบๆ เสื้อผ้า นั่งลงตรงทางเดิน
พอถึงเวลาหอประชุมใหญ่ก็มีคนนั่งอยู่เต็ม
สถานการณ์แบบนี้ ครั้งก่อนที่ซังเย่าจือมาบรรยายก็ยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ
อย่างไรเสียก็ยังมีนักเรียนอีกมากที่ไม่ได้สนใจดารา พวกเขาสนใจเรื่องการเรียนมากกว่า
นักเรียนจากคลาสเด็กอัจฉริยะก็อยู่ด้วย รวมถึงอิ๋งเย่ว์เซวียนที่นั่งอยู่ด้านซ้ายสุด
อิ๋งเย่ว์เซวียนมองอิ๋งจื่อจินเดินขึ้นเวทีนึกถึงคำพูดที่เมื่อวานอิ๋งเทียนลี่ว์พูดกับเธอ ในใจรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
ส่วนสายตาของทุกคนรอบตัวเธอต่างอยู่ที่อิ๋งจื่อจินทั้งหมด
มีคนประเภทหนึ่งที่แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็เปล่งแสงออร่าด้วยตัวเองได้
อิ๋งจื่อจินพูดเป็นภาษาอังกฤษเพราะจะได้เข้าใจทั้งเด็กสายวิทย์และสายศิลป์
พวกนักเรียนฟังกันด้วยความตั้งใจ
“เสี่ยวเซวียน เทพอิ๋งสุดยอดมากเลย!” นักเรียนหญิงที่นั่งข้างอิ๋งเย่ว์เซวียนพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“วิธีเรียนของเทพอิ๋งมีประโยชน์ต่อพวกเรามากเลยนะ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่ตอบ
เวลาสี่สิบห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใกล้เลิกคลาส อาจารย์ที่รับผิดชอบคาบนี้พูดใส่ไมโครโฟน
“มีใครมีคำถามอะไรไหม เหลือเวลาอีกห้านาทีเปิดโอกาสให้ถามได้”
พอได้ยินแบบนี้พวกนักเรียนก็ยิ่งตื่นเต้น แต่ถามกันแต่ล่ะคำถามที่อาจารย์ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเป็นต้นว่า
“เทพอิ๋งชอบผู้ชายแบบไหน”
“เทพอิ๋งอยากมีแฟนหรือยัง”
“ฉันมีคำถามที่ไม่เข้าใจ อยากถามน้อง…อยากถามอิ๋งจื่อจิน” อิ๋งเย่ว์เซวียนยกมือขึ้นในเวลานี้
“คำถามนี้ยากมากสำหรับฉัน แต่ฉันคิดว่า อิ๋งจื่อจินจะต้องตอบได้อย่างแน่นอน”