ในมือเจียงเฉิงจวินก็มีหนึ่งฉบับ เขาเปิดไปที่หน้าสุดท้าย
เขาไม่เคยมีเยื่อใยกับเจียงมั่วหย่วน ชอบไม่ลง แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียด
เขาไม่มีพรสวรรค์ และความสนใจในด้านการทำธุรกิจ ดังนั้นหลังจากที่ผู้เฒ่าเจียงทิ้งเจียงซื่อกรุ๊ปให้เจียงมั่วหย่วนดูแล เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
มหาวิทยาลัยฮู่เฉิงมีสวัสดิการให้ศาสตราจารย์ดีมาก มีบ้านให้ เจียงเฉิงจวินจึงไม่กลับบ้านตระกูลเจียง
แต่เขาก็รับไม่ได้ที่ในช่วงหลายปีมานี้ตระกูลเจียงถูกคนนอกยึดครอง
ผลพิสูจน์สายเลือดสองฉบับนี้ต่างแสดงผลที่เหมือนกัน
ประโยคสุดท้ายตัวหนังสือสีดำบนกระดาษขาวเขียนไว้อย่างชัดเจน
…จากผลการพิสูจน์ของทางศูนย์ เจียงเฉิงจวินและเจียงฮว่าผิงไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเจียงมั่วหย่วน
สีหน้าของเจียงฮว่าผิงเย็นชาลงในทันที ปลายนิ้วที่ถือเอกสารกำแน่นจนขาวซีด
“เสี่ยวอวิ๋นเซินเดาถูก เขาไม่ใช่ลูกของคุณพ่อจริงๆ”
มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ต่อให้ผู้เฒ่าเจียงจะเลอะเลือนแค่ไหนก็ไม่มีทางยกเจียงซื่อกรุ๊ปให้คนนอก ผู้เฒ่าเจียงตายไปเมื่อสิบสามปีก่อน ตอนนั้นเจียงมั่วหย่วนยังมีอายุแค่สิบหกปี เดิมทีพวกผู้ถือหุ้นของเจียงซื่อกรุ๊ปอยากให้เจียงฮว่าผิงมากุมอำนาจ แต่ติดตรงพินัยกรรมของผู้เฒ่าเจียง
โชคดีที่เจียงมั่วหย่วนในวัยสิบหกปีได้แสดงพรสวรรค์ทางด้านการทำธุรกิจอันน่าตกใจให้เห็น ร่วมทำงานกับพวกผู้ถือหุ้นที่ติดตามผู้เฒ่าเจียงมาตลอด ประคับประคองเจียงซื่อกรุ๊ปจนมั่นคงได้สำเร็จ
ต่อมาพวกผู้ถือหุ้นอาวุโสก็ทยอยล้มหายตายจาก เหลืออยู่แค่สามคน
พออายุยี่สิบสี่เจียงมั่วหย่วนถึงได้เป็นซีอีโอของเจียงซื่อกรุ๊ปอย่างเต็มตัว
ปีนี้เจียงมั่วหย่วนอายุยี่สิบเก้าปี
ไม่เคยมีใครสงสัยในความสามารถของเจียงมั่วหย่วน ยิ่งไปกว่านั้นไม่เคยมีใครคาดเดาเรื่องสายเลือดของเขา
ต่อให้เป็นเจียงเฉิงจวินกับเจียงฮว่าผิงที่ไม่ชอบเจียงมั่วหย่วน ก็ไม่เคยคิดว่าเจียงมั่วหย่วนจะไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลเจียง
ไม่ใช่สายเลือดตระกูลเจียงแล้วทำไมผู้เฒ่าเจียงถึงยกเจียงซื่อกรุ๊ปให้เจียงมั่วหย่วน
หรือว่าแท้จริงแล้วผู้เฒ่าเจียงก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ฮว่าผิง ต้องบอกเรื่องนี้ให้พวกคุณอารู้นะ” เจียงเฉิงจวินโกรธมาก
“เยี่ยซู่เหอต้องเล่นตุกติกอะไรแน่นอน”
“ไป” เจียงฮว่าผิงแสยะยิ้ม “ไปบริษัทก่อน”
…
เรื่องของตระกูลเจียงไม่เกี่ยวข้องกับอิ๋งจื่อจิน
เธอไม่ได้ตามไปด้วย ฟู่อวิ๋นเซินมารับเธอกลับบ้าน
พออิ๋งจื่อจินขึ้นไปนั่งข้างคนขับโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอกดรับ “ฮัลโหล”
“คุณหมอเทวดา!” น้ำเสียงปลายสายดูตื่นเต้นมาก
“ไม่รู้ว่าคุณหมอยังจำผมได้ไหม ผมจี้ชิงหลินครับ”
อิ๋งจื่อจินนิ่งเงียบ
เธอจำชื่อนี้ไม่ได้จริงๆ
“พ่อผมชื่อจี้เฟิงครับ” จี้ชิงหลินพอเดาได้ จึงเอ่ยชื่อเตือนความจำให้
“พ่อผมเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย คุณหมอเคยทำการผ่าตัดให้ครั้งหนึ่ง”
“อ๋อ จำได้ค่ะ” อิ๋งจื่อจินนึกออกแล้ว “มีอะไรเหรอคะ”
เธอย่อมจำจี้เฟิงได้ สาเหตุเป็นเพราะเวินเฟิงเหมียน
แต่ช่วงหลายวันมานี้ยุ่งมาก เธอจึงไม่ได้ถามไถ่เรื่องจี้เฟิงมาตลอด
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่ตั้งใจโทรมาขอบคุณคุณหมอ” จี้ชิงหลินตอบ
“ขอบคุณคุณหมอมากจริงๆ ครับ ถึงแม้เซลล์มะเร็งในตัวคุณพ่อผมจะยังมีอยู่เยอะ แต่ร่างกายของเขาก็ดีขึ้นไม่น้อย เคลื่อนไหวสะดวกแล้วครับ”
พวกเขาตั้งใจไปตรวจที่โรงพยาบาลชั้นนำมาสามแห่ง พวกหมอต่างรู้สึกเหลือเชื่อ
เซลล์มะเร็งกับเซลล์อื่นในร่างกายจี้เฟิงอยู่ในภาวะสมดุลอย่างน่าประหลาด และก็เพราะความสมดุลนี้ทำให้ร่างกายของจี้เฟิงฟื้นฟูกำลังกลับมา
แต่ทว่าโรคมะเร็งยังคงอยู่ ไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ยังคงได้ผลลัพธ์เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย
แบบนี้ถือเป็นปาฏิหาริย์ในทางการแพทย์
จี้ชิงหลินพูดต่อ “คุณหมอว่างเมื่อไรพวกเราอยากเลี้ยงข้าวคุณหมอครับ ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณอย่างไรดี”
“ได้ค่ะ” อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วครู่ “ฉันก็มีเรื่องอยากถามพวกคุณพอดีค่ะ”
เวินเฟิงเหมียนไม่พูดถึงเรื่องในตอนนั้น เธอย่อมไม่มีทางเค้นถาม
“ได้ครับ” น้ำเสียงของจี้ชิงหลินตื่นเต้นแบบที่ยากจะปิดบัง
“พวกเราจะพักอยู่ที่ฮู่เฉิงระยะหนึ่ง คุณหมอนัดเวลามาได้เลยครับ ผมก็อยากไปกินข้าวกับคุณหมอครับ”
อยู่ๆ ฟู่อวิ๋นเซินก็หันมา ดวงตาดอกท้อโค้งมน เขาเรียก “เยาเยา”
พอได้ยินเสียงชายหนุ่ม จี้ชิงหลินที่อยู่ปลายสายก็อึ้งไปเล็กน้อย คำพูดก็หยุดลง
ฟู่อวิ๋นเซินยกมือ พูดเสียงเนือย
“มีใบไม้ติดอยู่ที่หัว”
เขาเอามือลง มีใบไม้แห้งอยู่ในมือเขาจริงๆ
อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเขา ไม่พูดอะไร ตอบจี้ชิงหลิน
“สัปดาห์หน้าได้ค่ะ ส่วนเรื่องเวลาเดี๋ยวฉันให้ผู้อำนวยการบอกพวกคุณอีกที”
พอเห็นเธอวางสายแล้วแววตาของฟู่อวิ๋นเซินก็ขรึมลง เขาพูด
“ถ้าว่าง ลองตรวจดีเอ็นเอดูบ้างไหม”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงัก
เธอรู้ว่าเขาหมายถึงตรวจดีเอ็นเอระหว่างเธอกับจงมั่นหวา อิ๋งเจิ้นถิง
“ไม่จำเป็น” อิ๋งจื่อจินตอบ
“คนแปลกหน้า เสียเวลา เปลืองเงิน”
นับตั้งแต่หมดเวรหมดกรรมกันครั้งนั้น ตระกูลอิ๋งก็ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเธออีก
ส่วนอิ๋งเจิ้นถิงกับจงมั่นหวาจะคิดยังไง นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา
ถ้ามาวนเวียนอยู่รอบตัวเธออีก เธอก็ไม่แคร์ที่จะเอาถึงขั้นพิกลพิการ
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินตอบ “ก็ดีเหมือนกัน”
อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเก้าอี้พักผ่อน
“จริงสิ ครั้งนี้อย่าคิดว่าจะไปได้ง่ายๆ” ฟู่อวิ๋นเซินเอานิ้วเรียวยาวเกี่ยวผมเธอเล่น
“ตอนบ่ายทำไมใช้สายตาแบบนั้นมองพี่ชายล่ะ พี่ชายล่วงเกินเด็กน้อยตรงไหนเหรอ”
ตอนนั้นเขารู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตจริงๆ
“สายตาอะไร” อิ๋งจื่อจินมองเขา ยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ไม่มีแม้แต่การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้า
เธอมองผมตัวเองแล้วมองมือของเขา
สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก เลิกคิ้วขึ้น
เขาปล่อยมือ ยิ้มพลางพูด “แบบนี้นี่แหละ” เขาลืมไป
เด็กน้อยของเขาเป็นคนไร้เยื่อใยมาตลอด
เวลาเอาใจเขาก็เอาใจจริงๆ ถ้าอยากจะลงไม้ลงมือกับเขาก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เขาคิดมากไปเอง
อาจเพราะเวลาชอบใครสักคน ความน้อยเนื้อต่ำใจกับความหลงตัวเองมักจะมาพร้อมกัน แต่ก็ยังอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเธอ
ค่อยเป็นค่อยไป เขาไม่รีบ
…
เวลาเย็น
ณ คฤหาสน์ตระกูลเจียง
เจียงมั่วหย่วนย่อมได้ยินเสียงเอะอะนอกบ้านเมื่อตอนบ่าย
เขาเห็นซูหร่วนยังคงหมดอาลัยตายอยาก จึงพูดอย่างเย็นชา
“อย่ามาทำหน้าเหี่ยวเฉาแถวนี้ อยากทำก็ไสหัวไปทำข้างนอก”
ถ้าไม่ใช่เพราะซูหร่วนวางแผนอยากจับเขา เรื่องคงไม่กลายเป็นอย่างตอนนี้
“ให้ฉันออกไปเหรอ” แน่นอนว่าซูหร่วนไม่มีทางไว้หน้าเขา
“เจียงมั่วหย่วน อย่าลืมนะว่าพวกเราจดทะเบียนกันแล้ว”
เจียงมั่วหย่วนถูกถอดออกจากตำแหน่งซีอีโอ นี่เป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึง
แต่ซูหร่วนยังพอทำใจรับได้
อย่างน้อยเจียงมั่วหย่วนก็ถือหุ้นอยู่ไม่น้อย วันหน้าเธอก็ยังคงมีชีวิตที่สุขสบาย
“หรือว่าคุณยังคิดถึงอิ๋งจื่อจินล่ะ” ซูหร่วนทำสีหน้าดูถูก
“เลิกเพ้อฝันได้แล้ว ยัยนั่นไม่มีทางชอบคุณหรอก”
คำพูดนี้จุดชนวนความโกรธของเจียงมั่วหย่วนขึ้นมาทันที
สีหน้าของเขาน่ากลัวมาก “ลองพูดอีกทีซิ!”
“ทำไมอยากฟังอีกเหรอ” ซูหร่วนแสยะยิ้ม
“ฉันบอกว่าคุณมันน่าสงสารจริงๆ ชอบอิ๋งจื่อจิน แต่น่าเสียดายที่ยัยเด็กนั่นไม่ชายตามองคุณแม้แต่น้อย แถมยังขยะแขยงคุณอีกต่างหาก คุณสู้ฟู่อวิ๋นเซินตรงไหนได้บ้าง หน้าตาสู้ไม่ได้ อำนาจก็สู้ไม่ได้ จึ๊ๆ เจียงมั่วหย่วน คุณนี่มัน…”
ยังไม่ทันพูดจบเจียงมั่วหย่วนก็เข้าไปกระชากหัวของซูหร่วนแล้วดันเข้าหากำแพง “หุบปากไปเลย!”
“พลั่ก” หัวของซูหร่วนกระแทกกำแพงอย่างแรง เห็นดาวเห็นเดือนในชั่วขณะ
ซูหร่วนนึกไม่ถึงว่าเจียงมั่วหย่วนจะลงไม้ลงมือ เธอกรีดร้องออกมาทันที พยายามดิ้นรนสุดชีวิต
“พ่อ! พ่อคะ ช่วยหนูด้วย!”
ซูเหลียงฮุยที่กำลังหารือกับเยี่ยซู่เหออยู่ในห้องทำงานได้ยินเสียงตะโกนจึงรีบลงมา สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“เจียงมั่วหย่วน ปล่อยเสี่ยวหร่วนนะ!”
เจียงมั่วหย่วนมองซูหร่วนด้วยสายตาเย็นชา เขาปล่อยมือ
“อย่าให้ฉันได้ยินคำพูดแบบนี้อีก”
ซูหร่วนทรุดลงบนพื้น หายใจลำบาก
“พอได้แล้ว” เยี่ยซู่เหอเดินลงมาจากชั้นบน
“ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของลูก ถ้าคนนอกมาเห็นเข้าเดี๋ยวได้เกิดเรื่องขึ้นมาอีก”
“เสี่ยวหร่วน อย่าโกรธไปเลยลูก” ซูเหลียงฮุยปลอบ
“ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือแก้ปัญหา พวกลูกต้องร่วมกันฝ่าฟัน”
ซูหร่วนเอาแต่ร้องไห้ ไม่ตอบ
“คุณก็เห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว” เยี่ยซู่เหอหมุนลูกประคำ มองซูเหลียงฮุย
“ฉันต้องการเงินมาหมุน ไม่อย่างนั้นซื้อหุ้นที่กระจัดกระจายอยู่ไม่ได้”
พอได้ยินแบบนี้ซูเหลียงฮุยก็ขมวดคิ้ว
เขายังมีเงินอีกส่วนหนึ่ง แต่เขาไม่อยากเอาออกมา
แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้น เจียงมั่วหย่วนก็กลับไปเป็นซีอีโอไม่ได้
สุดท้ายซูเหลียงฮุยก็ยอม
“ได้ เดี๋ยวผมจะโอนเงินให้”
หลังจากเยี่ยซู่เหอได้เงินจากซูเหลียงฮุยสามสิบล้าน ในที่สุดใบหน้าก็มีรอยยิ้ม
ในขณะที่กำลังจะขึ้นชั้นบนไปจัดเตรียม ทันใดนั้นประตูบ้านก็ถูกถีบออก
ผู้ถือหุ้นสิบกว่าคนเดินเข้ามา รวมถึงเจียงฮว่าผิงกับเจียงเฉิงจวิน
ด้านหลังพวกเขายังมีพวกสื่อที่แบกกล้องตามมา
“พวกเธอทำอะไร” เยี่ยซู่เหอหน้าบึ้ง “ตอนนั้นท่านผู้เฒ่ายกบ้านหลังนี้ให้ฉันแล้ว พวกเธอไม่มีสิทธิ์เข้ามา เชิญออกไปเดี๋ยวนี้”
ต่อให้เจียงฮว่าผิงกับเจียงเฉิงจวินเป็นลูกแท้ๆ ของผู้เฒ่าเจียงแล้วไงล่ะ
สุดท้ายก็มีบ้านแต่กลับไม่ได้
“ออกไปงั้นเหรอ เยี่ยซู่เหอ เธอมันใจกล้าเหลือเกินนะ!” ผู้ถือหุ้นอาวุโสคนหนึ่งเอาเอกสารในมือปาใส่หน้าเยี่ยซู่เหอ “ดูเอาแล้วกันว่าเธอทำเรื่องอะไรไว้!”
เขาเงยหน้ามองเจียงมั่วหย่วน แสยะยิ้ม
“เจียงมั่วหย่วน นายไม่ใช่สายเลือดของท่านผู้เฒ่า ให้เวลาสิบนาที รีบเก็บของแล้วไสหัวออกจากตระกูลเจียงไปทั้งแม่ทั้งลูกเดี๋ยวนี้!”
“แชะๆ”
เสียงกดชัตเตอร์ดังรัวๆ