ตอนที่รับสายนี้จากเยี่ยซู่เหอ เจียงฮว่าผิงกำลังอยู่ในคอนโดส่วนตัวของเจียงหราน
สีหน้าของเธอไม่มีความเปลี่ยนแปลง ทั้งยังยิ้มเล็กน้อย “ทำไม จะบอกฉันเหรอ”
เยี่ยซู่เหอแปลกใจนิดหน่อยที่เจียงฮว่าผิงดูไม่ตกใจ แต่ก็อดทนไว้ พูดเสียงขรึม “เธอไม่อยากรู้จริงๆ เหรอว่าทำไมฉันถึงแต่งกับเขาได้ทั้งที่มีลูกของคนอื่น บีบให้แม่ของเธอต้องตาย เอาเจียงซื่อกรุ๊ปมาไว้ในมือ”
“ถ้าเธออยากรู้ก็มาหาฉันคนเดียว ฉันจะบอกเธอ ไม่อย่างนั้นต่อให้ฉันตาย ชีวิตนี้เธอก็อย่าหวังจะได้รู้”
“ฉันส่งที่อยู่เข้ามือถือเธอแล้ว ฉันจะรอเธอแค่สามวัน”
“ตู๊ดๆๆ…”
พอเยี่ยซู่เหอพูดจบก็มีเสียงสายไม่ว่างอย่างเย็นชา
ถูกตัดสายใส่แล้ว
แต่เยี่ยซู่เหอกลับยังคงไม่ร้อนใจ ไม่หงุดหงิด ถึงขั้นที่ยังคงนั่งจิบชา
เธอมั่นใจมากว่าเจียงฮว่าผิงจะต้องมาแน่นอน
นี่เป็นโอกาสเดียวที่เธอจะได้พลิกฟื้นแล้ว
หลังจากที่เยี่ยซู่เหอดื่มชาเสร็จก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ที่เธอไม่ได้ติดต่อนานแล้ว
…
วันเสาร์
อิ๋งจื่อจินกับสองพ่อลูกจี้เฟิงและจี้ชิงหลินนัดเจอกันที่ร้านหม้อไฟที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง
ร้านหม้อไฟร้านนี้เป็นร้านสไตล์โบราณแบบตี้ตู ไม่เผ็ด ทั้งยังช่วยบำรุงร่างกาย
หน้าหนาวได้ซดน้ำซุปร้อนๆ ร่างกายก็โล่งขึ้นมาก
อิ๋งจื่อจินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเบอร์ห้องที่จี้ชิงหลินส่งมาให้ จากนั้นก็เหลือบมองชายหนุ่มข้างกายที่ดูสะดุดตาเหลือเกิน “ผู้บัญชาการ แบบนี้เรียกเนียนมาขอข้าวกินหรือเปล่า”
“พี่ชายไม่กินก็ได้” ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว “เดี๋ยวรออยู่ข้างนอก”
หยุดเล็กน้อย เขายิ้มมุมปาก “เยาเยา อาเวินให้พี่ชายรับผิดชอบความปลอดภัยของเธอ จะปล่อยให้เด็กผู้หญิงแบบเธออยู่ตามลำพังกับผู้ชายสองคนไม่ได้ เธอต้องเชื่อฟังพ่อนะ”
อิ๋งจื่อจินไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “…”
คนอื่นมีพ่อคนเดียว แต่เธอมีสอง
บางครั้งความทุกข์ก็เลยคูณสอง
โดยเฉพาะช่วงนี้เวินเฟิงเหมียนดูข่าว เห็นคดีที่ผู้หญิงตัวคนเดียวออกไปข้างนอกแล้วหายตัวไป จึงเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอมาตลอด
ทั้งสองคนสวมผ้าปิดปากแล้วเดินเข้าไป พนักงานพาพวกเขาไปยังห้องนั้น
จี้เฟิงกับจี้ชิงหลินมารออยู่ก่อนแล้ว
จี้เฟิงนั่งหลังตรง คล้ายเด็กประถมที่ตั้งใจมาก
“คุณหมอเทวดา สวัสดีครับ” พอเห็นเด็กสาวเดินเข้ามา จี้เฟิงก็ยืนขึ้นทันที เขาย่อมสังเกตเห็นฟู่อวิ๋นเซินแล้ว รู้สึกตกใจมาก “ท่านนี้คือ”
“ผมแซ่ฟู่ครับ” ฟู่อวิ๋นเซินมีสีหน้าเรื่อยเปื่อย “มาเป็นเพื่อนญาติครับ”
จี้เฟิงพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรมาก
เขาถอดผ้าปิดปากออก นั่งลงตามอิ๋งจื่อจิน
จี้ชิงหลินมองฟู่อวิ๋นเซิน รู้สึกคุ้นหน้า ทันใดนั้นก็ตีศีรษะตัวเอง “คุณฟู่ ผมรู้จักคุณ คุณเป็นประธานของวีนัสกรุ๊ปโซนเอเชียแปซิฟิก”
ปกติเขาชอบอ่านนิตยสารการเงิน ไม่เหมือนจี้เฟิง ช่วงนี้ชื่อเสียงของวีนัสกรุ๊ปมีแต่จะพุ่งสูงขึ้นไม่มีลดลง นิตยสารลงบทสัมภาษณ์อย่างต่อเนื่องหลายครั้งแล้ว
หมอเทวดาก็ยังเป็นหมอเทวดาอยู่วันยังค่ำ แม้แต่ญาติยังเป็นบุคคลระดับตำนาน
“วีนัสกรุ๊ปเหรอ” พอได้ยินชื่อนี้สีหน้าของจี้เฟิงก็หยุดชะงัก “ผมรู้จัก สำนักงานใหญ่ของพวกคุณมีห้องทดลองพีโฟร์”
ห้องทดลองพีโฟร์ก็คือห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพ ก่อตั้งและร่วมลงทุนโดยหลายประเทศ
หากตัดห้องทดลองนี้ของวีนัสกรุ๊ปออก
ทั่วทั้งโลกมีห้องทดลองพีโฟร์อยู่หกสิบแห่ง เทคโนโลยีของห้องทดลองที่อยู่ในเครือวีนัสกรุ๊ปแห่งนี้จัดอยู่ในสามอันดับแรก
จี้เฟิงเรียนมาทางด้านชีวเคมี ย่อมสนใจห้องทดลองพีโฟร์มาก
“ครับ” ฟู่อวิ๋นเซินนั่งพิงเก้าอี้ ยิ้มพลางพูด “ผมก็เคยได้ยิน”
จี้เฟิงไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ
ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจเรื่องธุรกิจ แต่ก็รู้ว่าแต่ละบริษัทมีตำแหน่งมากมาย อีกทั้งวีนัสกรุ๊ปก็แตกแขนงทำหลายด้าน
ฟู่อวิ๋นเซินเป็นประธานวีนัสกรุ๊ปโซนเอเชียแปซิฟิก ดูแลทางด้านธุรกิจ ไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์
จี้เฟิงคิดว่าฟู่อวิ๋นเซินอาจไม่เคยได้ยุ่งเกี่ยวกับห้องทดลองพีโฟร์
แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการชื่นชมในตัวเขา “คุณฟู่เหมือนคุณหมอเทวดาเลยนะครับ เก่งตั้งแต่อายุยังน้อย”
พออาหารขึ้นโต๊ะ อิ๋งจื่อจินก็พูดขึ้น “ฉันอยากถามศาสตราจารย์จี้หน่อยค่ะ เกี่ยวกับห้องทดลองนั่นของพวกคุณเมื่อยี่สิบสามปีก่อน”
พอได้ยินแบบนี้จี้เฟิงก็อึ้งไปชั่วขณะ เขาขมวดคิ้ว “คุณหมอเทวดา ห้องทดลองนั่นของพวกเราเป็นความลับ ผมเซ็นสัญญาปกปิดความลับไว้ ยังไม่ครบวันยุติสัญญา ผมคงเล่าให้ฟังได้แค่คร่าวๆ ครับ”
ถ้าเป็นคนอื่น จี้เฟิงคงไม่แม้แต่จะสนใจ ชักสีหน้าเดินหนี
“เข้าใจค่ะ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเบาๆ “เล่าเท่าที่เล่าได้แล้วกันค่ะ”
“ห้องทดลองนี้เกี่ยวข้องกับชีวเคมี เริ่มดำเนินการในปี 1992 ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งนอกตี้ตู” จี้เฟิงนึกพลางพูด “ผมเข้าร่วมโปรเจ็กต์ในปี 1995 แต่ด้วยความสามารถของผมก็ได้แค่อยู่รอบนอก ไม่มีสิทธิ์เข้าเขตทดลองส่วนกลาง”
“ตอนปี 1997 ศูนย์กลางการทดลองเกิดรังสีไอออไนซ์ที่รุนแรงมาก”
จี้เฟิงหยุดเล็กน้อยแล้วถึงพูดเสียงเบา “พวกคนที่อยู่ในเขตทดลองส่วนกลางถูกรังสีอย่างรุนแรง ทยอยล้มตายกันไป ผมอยู่ไกล ถึงแม้จะได้รับรังสี แต่ก็น้อยมาก นึกไม่ถึงว่ายี่สิบกว่าปีต่อมาร่างกายจะมีความผิดปกติแบบนี้”
แววตาของอิ๋งจื่อจินชะงักเล็กน้อย
สารกัมมันตรังสีบางชนิดจะแผ่รังสีไอออไนซ์อย่างรุนแรง
รังสีไอออไนซ์สามารถก่อให้เกิดมะเร็ง
แต่รังสีไอออไนซ์ของธาตุอะไรที่ส่งผลรุนแรงได้ขนาดนี้
“นักวิจัยสำคัญตายกันหมด การทดลองก็ย่อมยุติไป ผมก็เลยถอนตัวออกมาสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย” จี้เฟิงยิ้มเศร้า “ผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว บนเกาะแห่งนั้นยังมีรังสีไอออไนซ์หลงเหลืออยู่ ถึงได้ถูกปิดตายไว้ เข้าไปไม่ได้ครับ”
ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินหลุบต่ำลง เขาลูบหัวของอิ๋งจื่อจิน “วางใจได้ เดี๋ยวพี่ชายสืบให้”
ทันใดนั้นมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ขอโทษทีครับคุณหมอ” จี้เฟิงลุกขึ้น “ผมขอไปรับโทรศัพท์ก่อน”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ”
จี้เฟิงเดินออกจากห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู อดตกใจไม่ได้
เขาจำเบอร์นี้ได้เป็นอย่างดี
นี่เป็นเบอร์ที่คุณชิงจยาที่เจอกันโดยบังเอิญให้เขามาตอนที่เขาไปตระเวนหาหมอที่เมืองนอก
เธอบอกว่าพอกลับประเทศจีนแล้วจะติดต่อเขา
เพียงแต่ผ่านไปสามเดือนแล้ว เขาได้รับการรักษาจากอิ๋งจื่อจิน เกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“สวัสดีค่ะศาสตราจารย์จี้” เป็นเสียงอ่อนหวานของผู้หญิง “ฉันหลินชิงจยานะคะ ตอนนี้ฉันกลับมาจากยุโรปแล้วค่ะ เลยตั้งใจโทรมาถามศาสตราจารย์ อาการป่วยเป็นไงบ้างแล้วคะ”
“คุณชิงจยา” จี้เฟิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย “นึกไม่ถึงว่าคุณยังจำผมได้”
“ศาสตราจารย์เป็นคนไข้ของฉัน ฉันต้องจำได้สิคะ” หลินชิงจยายิ้ม “ไม่ทราบว่าศาสตราจารย์จี้อยู่ที่ไหนคะ ฉันอยู่สนามบิน จะได้ซื้อตั๋วบินไปหาค่ะ”
“คุณชิงจยาครับ รบกวนคุณมากจริงๆ” จี้เฟิงพูด “และก็ขอบคุณในน้ำใจของคุณนะครับ ผมโชคดีได้เจอคุณหมอเทวดาอีกท่านหนึ่ง เธอทำการรักษาให้ผมแล้ว ตอนนี้ผมไม่ทรมานจากมะเร็งแล้วครับ”
มีอาการเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่เล็กน้อย และก็เป็นแค่บางครั้งบางคราว
“หมอเทวดาเหรอคะ” หลินชิงจยาประหลาดใจนิดหน่อย “ศาสตราจารย์จี้เป็นคนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง งั้นฉันไม่รบกวนแล้วค่ะ”
…
ณ สนามบินตี้ตู
หลินชิงจยามองหน้าจอสนทนา ตกอยู่ในห้วงความเงียบ
พ่อบ้านหลินที่อยู่ข้างๆ มารับเธอ “คุณชิงจยาจะไปที่ไหนครับ”
“ไม่ต้องแล้วค่ะ” หลินชิงจยาส่ายหน้า “กลับโลกจอมยุทธ์เลย”
พ่อบ้านหลินเห็นเธอรับโทรศัพท์เสร็จก็เปลี่ยนใจ แต่เขาเป็นเพียงคนรับใช้ จึงไม่ถามต่ออย่างรู้งาน
เขาเปิดประตูให้หลินชิงจยา
โลกจอมยุทธ์อยู่ไม่ไกลจากสนามบินเท่าไร แต่ที่นี่ไม่สะดวกให้ใช้กำลังภายใน นั่งรถสะดวกที่สุด
หลินชิงจยาเข้าไปนั่ง มองวิวนอกหน้าต่าง อยู่ๆ ก็ถามขึ้น “มะเร็งระยะสุดท้ายรักษาได้ด้วยเหรอ”
“มะเร็งระยะสุดท้ายเหรอครับ” พ่อบ้านหลินอึ้งไปชั่วขณะ ตอบอย่างสุภาพ “คุณชิงจยาน่าจะรู้ดีกว่าผมนะครับ”
ในสายตาของโลกภายนอก มะเร็งระยะสุดท้ายคือตายสถานเดียว
หลินชิงจยามีพรสวรรค์ด้านจอมยุทธ์ที่สูงมาก ขณะเดียวกันก็เป็นวิชาแพทย์แผนโบราณ
ดังนั้นต่อให้เธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของหลินจิ่นอวิ๋นนายใหญ่ตระกูลหลิน เป็นเพียงลูกเลี้ยง แต่สถานะก็สูงกว่าพวกสมาชิกสายตรงของตระกูลหลิน
มีศักยภาพ นี่ต่างหากท่าไม้ตายขั้นสูง
“ฉันไม่แน่ใจ” หลินชิงจยาเม้มริมฝีปากเบาๆ “อย่างน้อยฉันก็ทำไม่ได้ อาจารย์ก็ไม่น่าจะทำได้”
เธอเคยตรวจร่างกายของจี้เฟิง เซลล์มะเร็งเยอะถึงขั้นที่เธอใช้เข็มทองก็ยังควบคุมไม่ได้
ถ้าจี้เฟิงมาหาเธอก่อนหน้านั้นสักหนึ่งเดือนเธอก็มีหนทาง
นอกวงการแพทย์แผนโบราณ ยังจะมีหมอเทวดาคนไหนที่เก่งกว่าอาจารย์ของเธออีกงั้นเหรอ
หลินชิงจยาเงียบไปชั่วครู่ “ช่วยสืบร่องรอยของจี้เฟิงในช่วงนี้หน่อย ดูว่าเขาไปโรงพยาบาลไหนมาบ้าง”
“จี้เฟิงเหรอครับ” พ่อบ้านหลินจดชื่อนี้ไว้ “ได้ครับคุณชิงจยา”
…
ตอนเย็น
เจียงหรานกลับคอนโดส่วนตัวของเขา
เขาแอบกลับมา
อย่างไรเสียพอเจียงฮว่าผิงมา เขาก็ทำได้แค่นอนโรงเรียน เบียดเตียงเดียวกับลูกน้อง กลางคืนยังต้องทนฟังเสียงลูกน้องกรนอีก
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ แม่ของเขาไม่อยู่
เขาเดินวนหนึ่งรอบ เปิดตู้เย็นก็พบว่ายังมีไข่ผัดมะเขือเทศหนึ่งจาน รู้สึกซาบซึ้งใจอีกครั้ง
เจียงฮว่าผิงมีฝีมือทำอาหาร แต่เจียงหรานเคยกินอยู่ไม่กี่ครั้ง เพราะหลิงฉงโหลวบอกว่า นี่เป็นของที่เมียเขาทำ ลูกชายห้ามกิน
เจียงหรานเอากับข้าวไปอุ่นแล้วคลุกข้าวกิน
ทันใดนั้นเจียงฮว่าผิงก็โทรหาเขา
โดยปกติทุกครั้งที่แม่โทรหาเขาจะขึ้นต้นแบบนี้
เจียงหราน ฉันมีเรื่องต้องคุยกับแก
และทุกครั้งล้วนไม่ใช่เรื่องดี
เจียงหรานกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ กดรับด้วยความเกร็ง พูดอย่างระมัดระวัง “ฮัลโหล แม่”
ปลายสายไม่พูดอะไร