อิ๋งเทียนลี่ว์ไม่คิดว่านี่เป็นเพียงความฝันหรือการคิดไปเอง
เขาหวังเพียงว่าอิ๋งจื่อจินจะปกติสุขดี เขาสามารถชดเชยสิบเจ็ดปีที่เธอลำบากให้ได้
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ
ความเสียหายมันเกิดขึ้นไปแล้ว เอากลับคืนไม่ได้
เขาทำได้เพียงพยายามทำให้ดีที่สุด
แต่ความฝันเมื่อคืนทำให้เขาสะพรึงกลัวมาก
พอได้ยินแบบนี้ดวงตาหงส์ของอิ๋งจื่อจินก็หรี่ลง
เธอหลีกทางให้อิ๋งเทียนลี่ว์เข้ามา
อิ๋งจื่อจินเดินไปที่โต๊ะอาหาร เทน้ำสองแก้ว ยื่นแก้วหนึ่งให้อิ๋งเทียนลี่ว์ “ความฝันนี้ของคุณน่าสนใจ เล่าให้ละเอียดหน่อย”
“ฮู่ว…” อิ๋งเทียนลี่ว์ดื่มน้ำหมดแก้ว หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เขาพูดเสียงเบา “ความฝันนี้เหมือนจริงมาก อิ๋งลู่เวยเกิดอุบัติเหตุ เสียเลือดไปมาก ต้องให้เธอบริจาคเลือดให้”
“พวกเขาบังคับให้เธอเข้าห้องผ่าตัด วางยาสลบเธอ พี่ถึงขั้นเห็นว่าพวกเขาสอดท่อต่างๆ ให้เธอยังไง สูบเลือดออกจากตัวเธอ”
“ร่างกายของเธออ่อนแอมาก แต่พวกเขากลับไม่สนใจ เธอตายไปทั้งแบบนั้น พี่ยังเห็นพอเธอตายไป อิ๋งลู่เวยกอดกับเจียงมั่วหย่วน ยิ้มอย่างมีความสุข บอกว่า…”
อิ๋งเทียนลี่ว์พูดอย่างยากลำบาก ดวงตาแดงก่ำ “บอกว่าเธอตายแล้วก็ดี ในที่สุดก็ไม่มีคนรบกวนพวกเขาแล้ว”
เขานอนไปแปดชั่วโมง แต่ในความฝันกลับเหมือนผ่านไปแล้วหลายปี
มีหลายครั้งที่เขาอยากตื่น แต่ทำไม่ได้ ราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นผลักให้เขาต้องดูต่อจนจบ
หลังจากเงียบไปนาน อิ๋งจื่อจินก็พูดขึ้น “นี่ไม่ใช่ความฝัน”
นี่คือภาพอนาคตเดิม
ถ้าเธอยังคงหลับใหลต่อไป ปลุกจิตใต้สำนึกไม่ตื่น ความสามารถไม่ฟื้นฟู ผลลัพธ์จะต้องเป็นแบบนี้แน่นอน
เพียงแต่เธอพยากรณ์อนาคตของตัวเองไม่ได้
อิ๋งจื่อจินมองอิ๋งเทียนลี่ว์ ดวงตาวูบไหว “ยื่นมือมาให้ดูหน่อย”
อิ๋งเทียนลี่ว์อึ้ง ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงยื่นมือให้
อิ๋งจื่อจินก้มมอง
อิ๋งเทียนลี่ว์ไม่มีพรสวรรค์ด้านการทำนายดวงชะตา แต่เขากลับฝันเห็นอนาคตเดิมของเธอ
หรือเป็นเพราะมีสายเลือดเดียวกันงั้นเหรอ
ระหว่างญาติด้วยกันมีความเป็นไปได้ที่จะฝันแปลกประหลาดแบบนี้
อวี้เสวี่ยเซิงเคยยกเคสตัวอย่างแบบนี้ให้เธอฟัง
ตอนที่เขาอยู่เมืองนอกเคยรักษาผู้ป่วยคนหนึ่ง
ผู้ป่วยคนนั้นเคยถูกคนร้ายแทงสามสิบสองครั้งบนถนน ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแต่ก็รักษาไม่ทันแล้ว
แต่สุดท้ายกลับรอดมาได้
เขาบอกว่า เขาฝันเห็นคนมากมายจะลากเขาไปที่หนึ่ง แต่แม่ที่เสียไปแล้วกลับคุกเข่าอ้อนวอนคนเหล่านี้ว่าอย่าเอาตัวเขาไป
บนโลกนี้มีเรื่องราวมากมายที่วิทยาศาสตร์ก็อธิบายไม่ได้
“ขอโทษนะ ทำให้เธอตกใจเลย” หลังจากดื่มน้ำแก้วที่สองเสร็จ ในที่สุดอิ๋งเทียนลี่ว์ก็รู้สึกดีขึ้น เขานวดหว่างคิ้ว “จื่อจิน คิดเสียว่าพี่เล่านิทานให้ฟัง ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจหรอก”
สุดท้ายมันก็เป็นแค่ความฝัน
“คุณนั่งพักที่นี่ก่อน” อิ๋งจื่อจินยืนขึ้น “ฉันจะไปโรงเรียนแล้ว”
“พี่ไม่ต้องพัก” พอผ่านฝันร้ายนั้นมา อิ๋งเทียนลี่ว์ก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเธอจริงๆ “เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
อิ๋งจื่อจินก็ไม่ปฏิเสธ ใส่ชุดนักเรียนแล้วเดินออกไป
…
อีกด้านหนึ่ง
ในที่สุดเจียงหรานก็ถึงหนานเฉิงตอนเจ็ดโมงเช้า
เขามองจุดสีแดงที่อยู่บนระบบพิกัด ไปตามเส้นทางจนถึงหน้าตึกเก่าแห่งหนึ่ง
แต่เขาไม่ได้บุกเข้าไปทันที หาที่นั่งซุ่มอยู่ด้านนอก
จุดแดงยังอยู่ก็แสดงว่าเจียงฮว่าผิงยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
เจียงหรานรู้ว่าถ้าเขาบุ่มบ่ามเข้าไปอาจเข้าไปให้อีกฝ่ายฆ่าทั้งสองคน
เขาหลบอยู่ตรงพงหญ้า โทรหาตระกูลหลิง
…
เวลานี้ภายในห้องเช่า
พอเยี่ยซู่เหอตื่นนอนก็ไปเฝ้าเจียงฮว่าผิง
เธอกำลังรออีกคน
เมื่อคนคนนั้นมาเธอถึงจะลงมือได้
ถึงแม้เธอจะเป็นหมอแผนโบราณ แต่ไม่ได้เก่ง แม้แต่เรื่องจัดการพวกสมุนไพรของแพทย์แผนโบราณให้ดีต้องทำอย่างไร เธอก็ยังทำไม่ได้
คนคนนี้รอบคอบยิ่งกว่าเธอ หากไม่ถึงช่วงเวลาสำคัญจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปรากฏตัว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในเวลานี้
สีหน้าของเยี่ยซู่เหอชะงัก รีบไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
คนที่เข้ามาเป็นผู้หญิงสูงวัย ผมด้านข้างเป็นสีขาว ดวงตาขุ่นมัว แต่มีความคล่องแคล่ว
เยี่ยซู่เหอโค้งตัวให้ด้วยความนอบน้อม “อาจารย์”
นี่คืออาจารย์ที่เคยถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณให้เธอ ชื่อว่าสือเฟิ่งอี๋
ก็ไม่ถึงกับเป็นอาจารย์ สือเฟิ่งอี๋สอนเธออยู่แค่หนึ่งเดือน จากนั้นก็หายตัวไปอย่างรีบร้อน
สือเฟิ่งอี๋บอกเองว่าเธอทำเรื่องไม่ดีไว้มากมาย วงการแพทย์แผนโบราณกำลังตามจับเธอ เธอจะอยู่ที่เดิมไปตลอดไม่ได้
“คนนี้เหรอ” สายตาของสือเฟิ่งอี๋มองไปที่เจียงฮว่าผิง ทำเสียงหึ “เธอนี่เข้าใจเลือกคนนะ”
ถึงแม้เจียงฮว่าผิงจะมีเจียงหรานที่โตขนาดนี้แล้ว แต่กลับยังเหมือนเด็กสาวที่อ่อนต่อโลก ยังคงสวยอ่อนเยาว์
“เพราะอาจารย์สอนมาดีค่ะ” เยี่ยซู่เหอโค้งตัวอีกครั้ง “อาจารย์วางใจได้ค่ะ ถ้าสำเร็จเงินมาแน่ๆ”
สือเฟิ่งอี๋ถึงผุดรอยยิ้มพอใจ “งั้นก็ดี”
เจียงฮว่าผิงมองสือเฟิ่งอี๋ ขมวดคิ้ว
“นี่คืออาจารย์ของฉัน เป็นหมอแผนโบราณที่เก่งมาก ถึงขั้นที่เปลี่ยนใบหน้าได้ ดังนั้นฉันเตรียมจะให้เธอเข้าไปรับโทษแทนมั่วหย่วน” เยี่ยซู่เหอเดินเข้ามา เอามือลูบไล้ใบหน้าของเจียงฮว่าผิง “จากนั้นฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อโดยอาศัยตัวตนของเธอ”
เจียงฮว่าผิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเธอมีสามีมีลูกชาย ไม่ได้อยากได้เจียงซื่อกรุ๊ป แถมยังยกเรื่องพวกนี้มาอวดฉัน เยาะเย้ยฉัน” เยี่ยซู่เหอแสยะยิ้ม “งั้นเธอก็ลิ้มรสการไม่มีอะไรเลยดูแล้วกัน”
“แต่ลูกชายของเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหมนี่สิปัญหา ฉันไม่มีทางปล่อยให้เขาเป็นภัยต่อฉัน ฉันน่ะ ถนัดเล่นงานเด็กที่สุด”
เยี่ยซู่เหอระมัดระวังตัวมาตลอด สืบมาหลายวัน จนแน่ใจแล้วว่าตระกูลฝ่ายสามีของเจียงฮว่าผิงไม่ใช่ตระกูลชั้นยอดอะไร เธอก็วางใจ
แต่ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่ชั้นแนวหน้า เธอก็มีหนทางที่จะปลอมเป็นเจียงฮว่าผิงเข้าไป
พอถึงตอนนั้นก็ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายแบบที่ทำกับผู้เฒ่าเจียง วางแผนแย่งชิงทรัพย์สมบัติของตระกูล
“เอาล่ะ พูดเยอะเดี๋ยวเป็นเรื่อง” สือเฟิ่งอี๋กลับไม่อยากพูดอะไรไร้สาระให้มาก “วางยาสลบก่อน”
เยี่ยซู่เหอก็ตระหนักได้ว่าตัวเองตื่นเต้นเกินไป เธอหยิบเข็มฉีดยาที่เตรียมไว้ออกมาแล้วเดินเข้าไปหาเจียงฮว่าผิง
ทว่าใบหน้าของเจียงฮว่าผิงกลับไม่แสดงอารมณ์หวาดกลัวใดๆ
เธอผ่อนลมหายใจ พูดเสียงเบา “ในที่สุดก็ออกมาแล้ว”
มือของเยี่ยซู่เหอยังถือเข็มฉีดยาอยู่ วินาทีถัดมากลับถูกจับข้อมือไว้ แขนถูกบิดไปด้านหลัง
ความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้เยี่ยซู่เหอร้องโอดโอย
“ถึงฉันจะไม่ใช่จอมยุทธ์ แต่ก็เรียนศิลปะป้องกันตัวมาพอตัว” เจียงฮว่าผิงยิ้ม “ฉันไม่มีทางคิดว่าเธอจะทำอะไรฉันได้ เพราะเธอไม่มีความสามารถนั้น เข้าใจหรือเปล่า”
อย่าว่าแต่เยี่ยซู่เหอเลย แม้แต่สือเฟิ่งอี๋ก็นึกไม่ถึงว่าเจียงฮว่าผิงจะหลุดจากเชือกที่มัดไว้ได้
และที่สำคัญที่สุดคือ เธอพูดถึง ‘จอมยุทธ์’
นอกจากจอมยุทธ์เองกับคนที่ติดต่อกับวงการจอมยุทธ์ คนทั่วไปไม่มีทางรู้จักจอมยุทธ์
สีหน้าของสือเฟิ่งอี๋เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา “เธอรู้จักจอมยุทธ์ด้วยรึ ถ้าเธอเป็นจอมยุทธ์ ฉันจะไม่พูดอะไรแล้ว แต่เธอไม่ใช่ หรือว่าเธอพาจอมยุทธ์มาด้วย”
เจียงฮว่าผิงขยับมือ โยนเยี่ยซู่เหอไปบนพื้น
เท้าข้างหนึ่งของเธอเหยียบบ่าของเยี่ยซู่เหอไว้ “เดาแม่นจริงนะ”
ยังไม่ทันที่สือเฟิ่งอี๋จะได้ตั้งตัวก็มีสองคนปรากฏตัวขึ้นในห้องเช่า
สองคนนี้ก็คือคนคุ้มกันที่หลิงฉงโหลวส่งมาปกป้องเจียงฮว่าผิง
สือเฟิ่งอี๋ย่อมเห็นสัญลักษณ์ที่อยู่บนตัวสองคนนี้ อดรู้สึกกลัวไม่ได้ “ตระกูลหลิง”
วงการจอมยุทธ์กับวงการแพทย์แผนโบราณติดต่อกันอยู่ตลอด ข่าวถึงกันเร็วมาก
เธอจะปล่อยจอมยุทธ์สองคนนี้ไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกผู้อาวุโสของวงการแพทย์แผนโบราณจะต้องมาเอาตัวเธอกลับไปลงโทษแน่นอน
ในวงการจอมยุทธ์ ตระกูลหลิงไม่ใช่ตระกูลที่เก่งที่สุด
สือเฟิ่งอี๋มั่นใจว่ารับมือกับจอมยุทธ์สองคนนี้ได้
สือเฟิ่งอี๋ยังดูใจเย็น แต่เยี่ยซู่เหอกลับลนลาน
มันเรื่องอะไรกัน
เจียงฮว่าผิงเป็นคนธรรมดา ทำไมถึงมีจอมยุทธ์อยู่ข้างกายได้!
“สือเฟิ่งอี๋ ฉันขอเตือนให้หยุดดีกว่านะ” ทันใดนั้นมีเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังขึ้น “หยุดเสียตอนนี้ ยังจะมีชีวิตรอดได้”
เสียงมาจากทางประตู
เป็นผู้ชายวัยสี่สิบกว่า ใบหน้าหล่อเหลา มีเสน่ห์แบบผู้ชายที่ผ่านโลกมามาก บุคลิกผึ่งผาย
“จอมยุทธ์อีกแล้วรึ” สายตาของสือเฟิ่งอี๋มองผู้ชายคนนี้อย่างสำรวจ ไม่แคร์ “มาอีกก็ไม่มีประโยชน์ สั่งให้ฉันหยุด คิดว่าตัวเองเป็นนายใหญ่ตระกูลหลิงหรือไง”
ถึงแม้เธอจะหนีออกมาจากวงการแพทย์แผนโบราณ แต่เมื่อก่อนสถานะก็ไม่ต่ำ
พวกจอมยุทธ์ทั่วไปคิดจะมาสั่งเธองั้นเหรอ
ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
สือเฟิ่งอี๋ไม่เห็นจอมยุทธ์สามคนนี้ในสายตา มือของเธอหนีบเข็มเงินไว้สามเล่ม เตรียมลงมือแล้ว
ทันใดนั้นคนคุ้มกันที่อยู่ข้างตัวเจียงฮว่าผิงได้คุกเข่าให้ผู้ชายคนนั้น พูดด้วยความนอบน้อม
“หลิงตัน”
“หลิงซวง”
“น้อมเคารพนายใหญ่”