นักเรียนพวกนั้นยังคงคุยต่อ มีทั้งชายและหญิง
“นายได้รูปของเทพอิ๋งมาหรือยัง ฉันไปแอบถ่ายแต่ถูกจับได้ เลยถูกยึดของกลางไปทั้งหมดเลย”
“เฮ้อ ฉันก็ไม่มี ฉันใช้ดินสอวาดเอาง่ายๆ แขวนไว้หน้าโต๊ะหนังสือ จุดไม้ขีดไฟหนึ่งก้านทุกวัน ใช้แทนธูป”
“…นายมันแน่ว่ะ”
“ไหว้เทพอิ๋งก่อนสอบ ฉันต้องได้คะแนนเพิ่มมายี่สิบคะแนนแน่นอน!”
พวกนักเรียนก็ปวดหัว นี่เป็นเรื่องที่จนปัญญา
พวกลูกน้องห้องสิบเก้าที่เดินตามหลังเจียงหรานแต่ละคนโหดมาก ไม่ให้พวกเขาถ่ายแม้แต่ด้านหลัง
ทำได้เพียงไหว้แก้ขัดแบบนี้
คราวนี้จงมั่นหวาได้ยินชัดแล้ว
เทพอิ๋งเหรอ
เธอนึกไม่ถึงว่านักเรียนชิงจื้อยังเรียกอิ๋งเย่ว์เซวียนแบบนี้ด้วย
ถึงขั้นที่อยากไหว้ก่อนสอบเพื่อให้ได้คะแนนสูงๆ
ไม่มีรูปของอิ๋งเย่ว์เซวียนเหรอ
เธอเอาให้พวกเขาได้
นี่ก็แสดงว่าอิ๋งเย่ว์เซวียนเป็นที่ชื่นชอบมากในบรรดานักเรียนด้วยกัน เธอดีใจที่เห็นแบบนี้
ครั้นแล้วจงมั่นหวาจึงเรียกนักเรียนชายที่บอกว่าตัวเองถูกยึดของกลางไป
“อยากได้รูปของอิ๋งเย่ว์เซวียนเหรอ น้าเอาให้ได้นะ”
นักเรียนชายรีบร้อนจะไปกินหม้อไฟเสียบไม้กับพวกเพื่อนๆ พอถูกขวางไว้แบบนี้ก็หงุดหงิด พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“ผมจะเอารูปของอิ๋งเย่ว์เซวียนไปทำไม ผมไม่ได้ชอบเธอเสียหน่อย ถ้าให้รูปของเจ๊อวี่ยังจะดีเสียกว่า”
เขาชอบซิวอวี่ผู้หญิงแบบที่ปกป้องเขาได้มากกว่า ให้เขาเป็นเด็กน้อย แต่เขาไม่กล้าเข้าหาเธอ
รอยยิ้มของจงมั่นหวาค้างเติ่ง สีหน้าเริ่มไม่พอใจ
“เธออยากไหว้เทพอิ๋งไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ครับ อยากได้รูปเทพอิ๋ง” นักเรียนชายเริ่มรำคาญ
“แต่เกี่ยวอะไรกับอิ๋งเย่ว์เซวียนด้วย”
จงมั่นหวาชักมีน้ำโห แต่สมบัติผู้ดีบอกเธอว่าจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กไม่ได้ จึงฝืนระงับความไม่พอใจเอาไว้
“เด็กคนนี้ทำไมเป็นแบบนี้ เธอต้องการกราบไหว้อิ๋งเย่ว์เซวียน แต่เธอไม่มีรูป น้าอุตส่าห์หวังดีจะเอาให้ ทำไมทำท่าทางแบบนี้”
“ประสาทหรือเปล่า” นักเรียนชายรู้สึกเพียงว่าจงมั่นหวาน่ารำคาญ
“เทพอิ๋งคืออิ๋งจื่อจิน คุณคงไม่ได้คิดว่าสองคนนี้แซ่อิ๋งเหมือนกันเลยแทนกันได้ใช่ไหม”
พูดจบเขาก็ดึงตัวเพื่อนแล้วรีบเดินหนี ไม่อยากสนใจจงมั่นหวาอีก
ส่วนจงมั่นหวารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ยืนนิ่งอยู่กับที่ยังไม่ได้สติกลับมา
ผ่านไปสักพักเธอถึงเหมือนตื่นจากฝัน เรียกนักเรียนหญิงคนหนึ่ง
“เทพอิ๋งที่พวกเธอว่าคือใครเหรอ ไม่ใช่อิ๋งเย่ว์เซวียนเหรอ”
“อิ๋งจื่อจินค่ะ” นักเรียนหญิงตกใจมาก แต่ก็ยังคงตอบอย่างใจเย็น
“จะเป็นอิ๋งเย่ว์เซวียนได้อย่างไรกันคะ”
พูดจบเธอก็รู้สึกว่าตัวเองพูดไม่ค่อยถูก จึงพูดเสริมต่อ “อิ๋งเย่ว์เซวียนก็เก่งเหมือนกัน แต่เธอคนละระดับกับเทพอิ๋งเลยล่ะค่ะ”
อิ๋งจื่อจินทำข้อสอบของคลาสเด็กอัจฉริยะได้คะแนนเต็ม ชิงจื้อตั้งคลาสเด็กอัจฉริยะมาสิบกว่าปี ไม่เคยมีใครทำได้แบบนี้มาก่อน
จงมั่นหวาแทบไม่อยากเชื่อว่าตัวเองได้ยินอะไร ริมฝีปากสั่น “คนละระดับเหรอ”
ถ้าบอกว่าอิ๋งจื่อจินเป็นคนละระดับกับอิ๋งเย่ว์เซวียน เธอเชื่อ
แต่ถ้ากลับกัน ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่อยากเชื่อ
อิ๋งเย่ว์เซวียนเป็นคุณหนูใหญ่ที่เธอเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี ศิลปะแขนงต่างๆ ก็เก่งหมด แถมยังมีพรสวรรค์ในด้านวิจัยวิทยาศาสตร์
เรื่องเดียวที่นึกเสียดายคือ อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเธอ
แต่โชคดีที่อิ๋งเย่ว์เซวียนเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีทั้งพ่อและแม่ เธอเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องในภายหลัง
จงมั่นหวาเจตนาเลี่ยงเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอิ๋งจื่อจินมาตลอด ถึงขั้นที่ว่าแค่ได้ยินชื่ออิ๋งจื่อจินเธอก็จะเดินหนีอย่างรวดเร็ว จะเป็นเรื่องอะไรเธอก็ไม่อยากฟังแล้ว
เพราะเธอรู้สึกว่าฟังไปก็มีแต่เรื่องไม่ดี หลังจากอิ๋งจื่อจินไปจากตระกูลอิ๋ง เธอรู้สึกหงุดหงิดอยู่ระยะหนึ่ง แต่ต่อมากลับอารมณ์ดีขึ้นมาก
ตระกูลอิ๋งไม่มีจุดด่างพร้อย เธอเองก็ไม่มีทางขายหน้า
แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้
ผลการเรียนของอิ๋งจื่อจินไม่ใช่รั้งท้ายของทั้งโรงเรียนเหรอ
จงมั่นหวาไม่รู้ว่าตัวเองกลับถึงบ้านมาอย่างไร รู้สึกเพียงว่าเหม่อลอยยิ่งกว่าเดิม ช่วงหลายวันมานี้อิ๋งเย่ว์เซวียนไปพักกับเมิ่งหรูที่คอนโดใจกลางเมืองจึงไม่อยู่บ้าน จงมั่นหวารู้สึกโล่งอก ไม่อย่างนั้นเธอไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากกับอิ๋งเย่ว์เซวียนอย่างไร
ตั้งแต่อิ๋งเจิ้นถิงกลับจากบริษัทก็เห็นจงมั่นหวานั่งเหม่ออยู่ สีหน้าก็ซีดมาก
เขาขมวดคิ้ว วางกระเป๋าเอกสารลงแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างเธอ
“มั่นหวา เป็นอะไรไป”
ถึงแม้ช่วงไม่กี่ปีมานี้พวกเขาจะแยกกันอยู่คนละที่เป็นส่วนใหญ่ แต่ความสัมพันธ์ก็ยังคงดีมาก
“เจิ้นถิง…” จงมั่นหวารู้สึกตัวแบบงงๆ “วันนี้ฉันไปลาหยุดให้เสี่ยวเซวียนที่โรงเรียนมา ฉันได้ยิน…ได้ยินพวกนักเรียนเรียก เรียกจื่อจินว่าเทพอิ๋ง”
“เทพอิ๋งเหรอ” อิ๋งเจิ้นถิงไม่เข้าใจพวกเด็กวัยรุ่น และไม่รู้คำที่นิยมใช้กันในตอนนี้ “หมายความอย่างไร”
“พวกเขาบอกว่า จื่อจินเรียนเก่งกว่าเสี่ยวเซวียนมาก” จงมั่นหวาเม้มริมฝีปาก
“สาเหตุที่เสี่ยวเซวียนได้ที่หนึ่งเป็นเพราะจื่อจินไม่ได้ร่วมสอบ”
อิ๋งเจิ้นถิงฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว เขาแสยะยิ้ม “เหลวไหลสิ้นดี!”
อิ๋งจื่อจินมีความสามารถแค่ไหน เขาจะไม่รู้เลยเหรอ
ถ้าอิ๋งจื่อจินเรียนเก่ง ตอนนั้นเขาจะต้องยัดเงินให้ชิงจื้อเพื่อส่งเธอเข้าไปเรียนด้วยเหรอ ยังจะเทียบกับอิ๋งเย่ว์เซวียน
สองคนนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว
“เป็นเรื่องจริงนะคะ” จงมั่นหวาหยิบผลการเรียนกับรูปถ่ายข้อสอบที่ขอมาจากอาจารย์ฝ่ายวิชาการออกมา
เธอบากหน้าเข้าไปขอ แถมยังถูกอาจารย์ฝ่ายวิชาการต่อว่าไปหนึ่งยก
อิ๋งเจิ้นถิงดูเสร็จ เป็นครั้งแรกที่เขาเงียบไป
“เจิ้น เจิ้นถิง พวกเรารับ รับจื่อจินกลับมาเถอะค่ะ” จงมั่นหวาจับแขนของเขา
“ผลการเรียนของจื่อจินดีกว่าเสี่ยวเซวียน รับกลับมาเถอะค่ะ”
“รับเหรอ” อิ๋งเจิ้นถิงตอบโดยไม่ต้องคิด
“เป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นเด็กคนนั้นชักสีหน้าใส่พวกเราอย่างไร ยังจะให้ผมไปรับอีกเหรอ”
จงมั่นหวานึกถึงเรื่องตอนนั้นก็รู้สึกแย่เหมือนกัน ให้เธอไปขอร้องอิ๋งจื่อจิน ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ทำไม่ได้
“ทางตระกูลหยวนพอใจในตัวเสี่ยวเซวียนมาก คุณไปรับเด็กคนนั้นกลับมา เสี่ยวเซวียนจะคิดยังไง เดิมทีเสี่ยวเซวียนก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วเพราะเรื่องเทียนลี่ว์” อิ๋งเจิ้นถิงสีหน้าเย็นชา
“อีกอย่าง เด็กคนนั้นมีเส้นสายในตี้ตูบ้างหรือเปล่าล่ะ รู้จักตระกูลเนี่ย ตระกูลซิว ตระกูลมู่ไหมล่ะ”
“พวกเราก็ไม่ได้ร่วมงานกับวีนัสกรุ๊ปเสียหน่อย ไม่ได้ต้องการฟู่อวิ๋นเซิน”
เขาผูกมิตรกับบริษัทแห่งหนึ่งในยุโรปไว้ เป็นบริษัทที่อยู่ในเครือใหญ่
เครือบริษัทนั้นเป็นคู่แข่งของวีนัสกรุ๊ปพอดี
อิ๋งเจิ้นถิงก็รู้ดีว่า ไม่ว่าฟู่อวิ๋นเซินจะแค่เล่นๆ กับอิ๋งจื่อจินหรืออะไร แต่วีนัสกรุ๊ปก็กินรวบโซนเอเชียแปซิฟิกแล้ว
งั้นเขายิ่งไม่มีทางไปประจบ ไปก็มีแต่ผิดหวัง ไม่จำเป็นต้องเอาหน้าตัวเองไปขาย
อย่างไรเสียก็ยังมีทางอื่น จะปิดกั้นทุกเส้นทางได้เลยหรือไง
อิ๋งเจิ้นถิงพูดต่อ “ยังมีอีกข้อ เสี่ยวเซวียนรู้จักหมอเทวดาที่อยู่เมืองนอกไม่ใช่เหรอ ช่วงนี้กำลังติดต่ออยู่ อยากรักษาคุณแม่ พวกเรายิ่งต้องทำดีกับเสี่ยวเซวียนหน่อย เด็กคนนั้นช่วยทำให้คุณแม่กลับมาหายดีได้หรือไง”
พวกเขาติดต่อหมอเทวดาของโรงพยาบาลเซ่าเหรินไม่ได้ โรงพยาบาลอื่นก็จนปัญญา
ตระกูลอิ๋งทำธุรกิจ ไม่ค่อยได้ข้องเกี่ยวกับวงการแพทย์ อิ๋งเย่ว์เซวียนก็เพราะรู้จักกับเผยเทียนอี้ถึงได้รู้จักคนมากขึ้น อาการป่วยของคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งจะปล่อยไว้ไม่ได้อีกแล้ว
ก่อนหน้านี้คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งเข้าโรงพยาบาล หมอวินิจฉัยว่าอย่างมากคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งก็อยู่ได้อีกแค่หนึ่งปี
เว้นเสียแต่จะรักษาอาการปวดหัวของเธอได้
คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งกับอิ๋งเย่ว์เซวียน รวมถึงอนาคตของตระกูลอิ๋งย่อมสำคัญกว่าอิ๋งจื่อจิน และสิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาอิ๋งเจิ้นถิงไม่ต้องการลูกสาวที่ไม่เชื่อฟัง
ฟังถึงตรงนี้จงมั่นหวาก็ไม่พูดอะไรอีก
ก็จริง!
อิ๋งจื่อจินตัดขาดกับพวกเขาไปแล้ว อยากกลับมาคืนดีกันเป็นเรื่องที่ยากเกินไป อีกทั้งเธอก็ก้มหัวให้ไม่ลง มีเวลาคิดแบบนี้ไม่สู้หันไปทุ่มเทให้อิ๋งเย่ว์เซวียนมากขึ้น อย่างน้อยอิ๋งเย่ว์เซวียนก็ช่วยเบิกทางให้ตระกูลอิ๋งเข้าสู่ตี้ตูได้ ผูกมิตรกับตระกูลมู่ตระกูลเนี่ย
จุดนี้อิ๋งจื่อจินทำไม่ได้ แค่เก่งยังไม่พอ ต้องมีอำนาจด้วย
“เอาล่ะมั่นหวา เรื่องก็เป็นแบบนี้ เลิกคิดเถอะ” อิ๋งเจิ้นถิงปลอบเธอ
“ไม่อย่างนั้นสภาพจิตใจของคุณจะแย่ลงไปอีก ผมไปเอายาจากโรงพยาบาลอันดับหนึ่งมาให้คุณแล้ว อย่าลืมกินนะ”
จงมั่นหวาพยักหน้า แต่ก็ยังคงนึกเสียใจ
ถ้าตอนนั้นเธอไม่เลี่ยงเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับอิ๋งจื่อจิน ทำดีไว้ก่อน อิ๋งจื่อจินคงไม่มีทางไปจากตระกูลอิ๋ง เธอเองก็จะได้หน้ามากกว่านี้
ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว
ที่พึ่งพาของเธอมีแค่อิ๋งเย่ว์เซวียน เธอต้องดีกับอิ๋งเย่ว์เซวียนให้มากขึ้น
จงมั่นหวาไปอุ่นนมที่ห้องครัวแล้วขึ้นชั้นบนพักผ่อน
…
อิ๋งจื่อจินจองตั๋วไปตี้ตูวันที่ยี่สิบเก้าธันวาคมหรือก็คือ วันมะรืน
เจียงฮว่าผิงกับหลิงฉงโหลวกลับตี้ตูไปแล้ว หลิงเหมียนซีอยู่ต่อ แอบตามเจียงหรานกับซิวอวี่เข้าไปในโรงเรียนมัธยมชิงจื้อ
แน่นอนว่าได้รับอนุญาตจากผู้บริหารระดับสูงของโรงเรียนแล้ว อีกทั้งให้อยู่ได้แค่วันเดียว
ปีนี้หลิงเหมียนซีอายุสิบแปดปี ก่อนพิธีปักปิ่นตอนอายุสิบห้า เธออยู่ในโลกจอมยุทธ์มาตลอด เรียนก็เรียนโรงเรียนแบบดั้งเดิมของโลกจอมยุทธ์ ทุกวันมีแต่ฆ่าฟัน
หลิงเหมียนซียังไม่เคยมาโรงเรียนมัธยมแบบปกติ เธออยากรู้อยากเห็นมาก
เธอรู้สึกว่าชุดนักเรียนของชิงจื้อสวยเหลือเกิน จึงตั้งใจวิ่งไปขอซื้อสิบชุดจากอาจารย์ฝ่ายวิชาการ
อาจารย์ฝ่ายวิชาการรู้สึกว่าในที่สุดก็มีคนเข้าใจการออกแบบของเขาแล้ว จึงลดให้หลิงเหมียนซีเป็นพิเศษ
ลูกน้องทำหน้าจะร้องไห้ “พี่หราน เธอบอกว่าผมเตี้ยไป”
เจียงหรานเหลือบมองลูกน้อง ทำเสียงฮึดฮัด
ขนาดพี่หรานของนายหลิงเหมียนซียังกล้าอัด บอกว่านายเตี้ยยังถือว่าเล็กน้อย
อิ๋งจื่อจินกำลังพิงหน้าต่างพักผ่อน
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น