ตอนที่ 390 ฟู่อวิ๋นเซิน ‘พี่ชายรอไม่ไหวแล้ว’
“อิ๋งเย่ว์เซวียน เธอรู้อยู่ก่อนแล้วใช่ไหม” นักเรียนอีกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรังเกียจเหมือนกัน “เธอสวมรอยเป็นอิ๋งจื่อจิน แถมยังแสร้งทำเป็นใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำเป็นเอาเอกสารการเรียนไปให้อิ๋งจื่อจิน ไม่รู้จักดูตัวเองเสียบ้างว่าคู่ควรหรือเปล่า”
นักเรียนคนอื่นๆ ก็พากันพูดขึ้น
“น่าขยะแขยงจริงๆ ตอนนี้ฉันว่าฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเธอต้องสวมหน้ากากคนดีมาตลอด เอาแต่พูดว่าน้องสาวฉันอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะคิดว่าอิ๋งจื่อจินไม่เก่งเท่าเธอสินะ”
“น่าตลกสิ้นดี ตอนนี้อิ๋งจื่อจินเป็นเทพด้านการเรียนอันดับหนึ่งในเน็ต เธอจะเอาอะไรไปสู้ได้ อิจฉาจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง”
“สวมรอยเป็นคนอื่น คิดว่าตัวเองเป็นองค์หญิงจริงๆ หรือไง”
แน่นอนว่าคลาสเด็กอัจฉริยะก็มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่รับไม่ได้จากการที่อิ๋งจื่อจินเป็นอันดับสุดท้ายของห้องจนก้าวขึ้นมาถึงทุกวันนี้ แต่พวกเขาก็รู้ว่าคนเราเดิมทีก็มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว
พวกเขาอิจฉา มีบ้างที่ริษยานิดหน่อย แต่ไม่มีทางประสงค์ร้าย และก็ไม่มีทางแอบเล่นสกปรกลับหลัง
สีหน้าของอิ๋งเย่ว์เซวียนซีดยิ่งกว่าเดิม เธอเม้มริมฝีปาก อดทนไว้ “ฉันไม่เข้าใจว่าพวกเธอพูดอะไร สวมรอยอิ๋งจื่อจินอะไรกัน ฉันไปยึดครองอะไรของใครที่ไหน พวกเธอพูดมาสิ พูด!”
“พูดเหรอ” นักเรียนหญิงที่อยู่ข้างๆ ปาบัตรเชิญใส่ “พ่อแม่เธอพูดมาหมดแล้ว ยังจะให้พวกเราพูดอะไรอีก อย่ามาทำเสแสร้งอยู่ตรงนี้เลย”
อิ๋งเย่ว์เซวียนมือสั่นหยิบบัตรเชิญใบนั้นขึ้นมาดู เบื้องหน้าวูบไปชั่วขณะ เกือบเป็นลม
เธอแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
แต่เธอจำได้ นี่เป็นลายเซ็นของอิ๋งเจิ้นถิงกับจงมั่นหวา ลายมือเหมือนกัน
ทำไมต้องทำกับเธอแบบนี้!
ความผูกพันสิบกว่าปี เธอไม่มีค่าอะไรเลยเหรอ
พวกเขาไม่เคยคิดเลยเหรอว่า ถ้าเรื่องแบบนี้ถูกเปิดเผยออกมา คนอื่นจะมองเธออย่างไร
นี่เป็นเรื่องที่อิ๋งเย่ว์เซวียนกลัวที่สุด
ในสายตาของคนนอก เธอเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋งมาตลอด ได้รับเกียรติแบบไม่สิ้นสุด
เธอไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าแม่แท้ๆ ของเธอคือจิ่งหงเจิน ด้วยเหตุนี้จึงโน้มน้าวจิตใจคนรอบตัวทางอ้อมอยู่บ่อยครั้งว่า
อิ๋งจื่อจินเป็นลูกเลี้ยง ไม่ว่าอย่างไรก็สู้เธอไม่ได้
แต่ตอนนี้ความจริงปรากฏออกมาแล้ว เธอจะทำอย่างไร
อิ๋งเย่ว์เซวียนกำบัตรเชิญใบนี้แน่น พยายามสงบสติอารมณ์
เธอออกจากห้องเรียนโดยไม่สนใจคนอื่น เรียกรถไปที่อิ๋งซื่อกรุ๊ป
…
สามสิบนาทีต่อมา
อิ๋งเย่ว์เซวียนมาถึงอิ๋งซื่อกรุ๊ป
เธอรู้สึกได้ทันทีว่าสายตาของพวกพนักงานที่มองเธอดูแปลกไป
สายตาดูถูก ทั้งยังหันไปซุบซิบอยู่บ่อยครั้ง อิ๋งเย่ว์เซวียนพยายามอดทนต่อสถานการณ์ที่ย่ำแย่นี้ ขึ้นไปยังห้องทำงานของประธานเพื่อหาอิ๋งเจิ้นถิง
เวลานี้อิ๋งเจิ้นถิงก็กำลังร้อนใจมาก
เขารับสายมากมายตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นจนถึงตอนนี้ เป็นสายของพาร์ทเนอร์ที่ร่วมงานกัน บอกว่าจะยกเลิกสัญญา
อิ๋งเจิ้นถิงเองก็เพิ่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
บัตรเชิญที่พวกเขาแจกออกไปถูกวีนัสกรุ๊ปสับเปลี่ยน
คนที่จะทำได้ถึงขั้นนี้ก็มีแค่วีนัสกรุ๊ปเท่านั้น
ในที่สุดอิ๋งเจิ้นถิงก็เพิ่งมานึกเสียใจเอาตอนนี้
เขาคิดว่าตัวเองคงเข้าหาทางฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้แล้ว เพราะเรื่องอิ๋งจื่อจิน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทางอิ๋งซื่อกรุ๊ปจะถูกปิดตายอย่างสิ้นเชิง
ตระกูลอิ๋งสามารถอาศัยตระกูลหยวนเพื่อเข้าหาตระกูลเนี่ยได้
กอปรกับโปรเจ็กต์ที่เขาทำกับเมืองนอก พอถึงเวลาจะต้องเข้าไปบุกตี้ตูได้แน่นอน
แต่อิ๋งเจิ้นถิงกลับนึกไม่ถึงว่าเพราะเรื่องคุณหนูตัวจริงตัวปลอมจะสร้างความเสียหายให้อิ๋งซื่อกรุ๊ปได้ขนาดนี้
เขาใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อปิดปากสื่อพวกนั้น ถึงทำให้ข่าวสงบลงไปได้ แต่ก็ลือไปทั่วในแวดวงไฮโซของฮู่เฉิงแล้ว
จุดนี้เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
พออิ๋งเจิ้นถิงได้ยินจากเลขาว่าอิ๋งเย่ว์เซวียนมาหาก็ยิ่งไม่อยากเจอเข้าไปใหญ่
โทรศัพท์มือถือดังขึ้นในเวลานี้
เดิมทีอิ๋งเจิ้นถิงอยากกดตัดสาย แต่พอเห็นเบอร์ สุดท้ายก็กดรับ
“คุณอิ๋ง ฉันมีข่าวดีมาบอกค่ะ” คนที่โทรมาคือเมิ่งหรู เธอดีใจมาก “ทางศาสตราจารย์หลี่ส่งข่าวมาว่า เย่ว์เซวียนได้เป็นผู้ช่วยของห้องทดลองพวกเขาแล้วค่ะ”
“แต่จะได้เลื่อนเข้าไปทำอย่างเป็นทางการไหมก็ต้องดูคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยกับผลทดสอบครั้งแรกตอนเข้ามหาวิทยาลัยตี้ตูค่ะ”
ข่าวนี้ทำให้อารมณ์หงุดหงิดของอิ๋งเจิ้นถิงในที่สุดก็ลดลงบ้าง “ทางตระกูลเนี่ยล่ะครับ ว่ายังไงบ้าง”
กิจการของตระกูลเนี่ยเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์
อิ๋งซื่อกรุ๊ปเป็นเครือบริษัทที่ทำการค้าล้วน จึงเข้าหาตระกูลเนี่ยไม่ได้มาตลอด
พูดให้ถูกคือตระกูลเนี่ยไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสี่ตระกูลเศรษฐีของฮู่เฉิง
กิจการในเครือวีนัสกรุ๊ปมีอยู่มาก แต่กิจการที่มาตั้งสำนักงานในประเทศจีนมีแค่เสื้อผ้า เครื่องสำอาง และอัญมณี
ฟู่อวิ๋นเซินเป็นประธานโซนเอเชียแปซิฟิกก็คือดูแลกิจการเหล่านี้
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์แม้แต่น้อย
อิ๋งเจิ้นถิงจึงวางใจมาก
อย่างน้อยเส้นทางนี้ที่เขาเลือกก็ไม่มีทางถูกปิดกั้น
“กับตระกูลเนี่ยยังอยู่ในช่วงหาทางติดต่อค่ะ” เมิ่งหรูตอบ “ถ้ามีข่าวดีอะไรฉันจะรีบบอกพวกคุณทันทีค่ะ”
คิ้วที่ขมวดอยู่ของอิ๋งเจิ้นถิงคลายออก “งั้นก็ดีครับ”
เขาวางสาย ผ่อนลมหายใจออก เรียกเลขาเข้ามา “ให้คุณหนูใหญ่เข้ามา”
“คุณหนูใหญ่เหรอครับ” เลขาอึ้ง “คุณหนูใหญ่ไม่ได้มาครับ”
“อะไรนะ” อิ๋งเจิ้นถิงหน้าบึ้ง “เมื่อกี้คุณบอกว่าเธอมาหาผมไม่ใช่เหรอ”
“นั่นลูก…” เลขาหยุดพูดทันที เขากระอักกระอ่วน “ประธานอิ๋ง ผมจะไปเรียกเธอเดี๋ยวนี้ครับ”
อิ๋งเจิ้นถิงสีหน้าแย่ลงมาก
เขาย่อมรู้ว่าเลขาจะพูดอะไร
พออิ๋งเย่ว์เซวียนเดินเข้ามาดวงตาก็แดงก่ำ “พ่อคะ ที่โรงเรียน…”
“เสี่ยวเซวียน พ่อเคยบอกแล้วว่าลูกเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋ง และจะเป็นไปตลอด” อิ๋งเจิ้นถิงปลอบใจอิ๋งเย่ว์เซวียน “บัตรเชิญถูกสับเปลี่ยน พ่อเองก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ลูกตั้งใจเรียนไปนะ ตระกูลอิ๋งยังต้องพึ่งพาลูก”
ทางอิ๋งจื่อจินพึ่งพาไม่ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว พวกเขาต้องพึ่งอิ๋งเย่ว์เซวียน
อิ๋งเย่ว์เซวียนอึ้ง “งั้นคุณพ่อจะไม่รับน้องกลับมาแล้วเหรอคะ”
“ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องรับกลับมาอยู่แล้ว” อิ๋งเจิ้นถิงถอนหายใจ “แต่น้องไม่ยอมกลับมา พ่อก็จนปัญญา ถ้าพึ่งพาน้องได้ พวกเรายังจะต้องเข้าหาตระกูลเนี่ยอีกเหรอ”
เดิมทีตระกูลอิ๋งทำกิจการเสื้อผ้ากับอาหาร เพียงแต่ช่วงครึ่งปีมานี้เบนเข็มไปทางออกแบบอิเล็กทรอนิกส์
เดิมทีวีนัสกรุ๊ปเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
พอนึกถึงตรงนี้อิ๋งเจิ้นถิงก็หงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
อิ๋งเย่ว์เซวียนถึงได้ยิ้มออก เธอก้มหน้า “ได้ค่ะคุณพ่อ หนูจะตั้งใจเรียนค่ะ”
เธอไม่มีทางบอกอิ๋งเจิ้นถิงว่าเธอเจออิ๋งจื่อจินที่งานเลี้ยงของตระกูลเนี่ย
และก็ยิ่งไม่มีทางบอกว่าอิ๋งจื่อจินยังรู้จักกับผู้สืบทอดของตระกูลเนี่ยด้วย
ข่าวเรื่องคุณหนูตัวจริงตัวปลอมถูกเปิดเผยออกไป พอเป็นแบบนี้ตระกูลอิ๋งกลับต้องพึ่งแค่เธอด้วยซ้ำ ไม่มีทางไล่เธอออกไป
สีหน้าของอิ๋งเจิ้นถิงผ่อนคลายลง “ต้องแบบนี้สิ ไปเถอะ ถ้าไม่อยากไปโรงเรียนแล้วงั้นก็เรียนอยู่ที่บ้าน สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ที่หนึ่งเลยนะ”
อันดับหนึ่งของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้จะเป็นใคร ไม่ต้องบอกก็รู้
อิ๋งเย่ว์เซวียนกำมือแน่น ออกไปจากห้องทำงาน
…
เวลาเย็นที่บ้านครอบครัวเวิน
ตอนอิ๋งจื่อจินกลับถึงบ้าน ฟู่อวิ๋นเซินกำลังเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเวินเฟิงเหมียน
“เยาเยากลับมาแล้วเหรอ” เวินเฟิงเหมียนเช็ดมือ ลุกขึ้น “พ่อจะไปทำอาหาร พวกลูกคุยกันไปนะ”
เขาเดินเข้าห้องครัว
อิ๋งจื่อจินวางกระเป๋าเป้ลง นั่งพิงโซฟา
“เยาเยา อะ” ทันใดนั้นฟู่อวิ๋นเซินได้ล้วงบัตรธนาคารออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้เธอ
อิ๋งจื่อจินอึ้งไปเล็กน้อย เธอรับมา “อะไรเหรอ”
“ค่าปิดปากที่อิ๋งเจิ้นถิงจ่ายให้สื่อ” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม “ในนั้นมีอยู่ร้อยล้าน”
เขารู้ว่าอิ๋งจื่อจินไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋งอีก ก็เลยทำให้เรื่องนี้กระจายไปในเน็ตอย่างไม่ตั้งใจ
เดิมทีค่าปิดปากไม่มีทางเยอะขนาดนี้ ก็แค่จงใจขูดรีดตระกูลอิ๋ง
เขาต้องการทำให้ตระกูลอิ๋งสัมผัสถึงความหวังที่ดับมอดลงทีละนิด ถูกปิดตายทุกเส้นทาง ก้าวเข้าสู่ความสิ้นหวัง
อิ๋งจื่อจินไม่ปฏิเสธ เธอรับไว้
เธอเปิดกระเป๋าเป้ หยิบกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมา “รางวัลของคุณ”
“หืม?” ขนตาของฟู่อวิ๋นเซินขยับ ดวงตาดอกท้อโค้งมน “เด็กน้อย ปากไม่ตรงกับใจนะ”
เขาเปิดกล่องออก
ในนั้นเป็นเนกไทสีดำหนึ่งเส้น ทำขึ้นมาอย่างประณีต เรียบแต่หรู
ดูก็รู้ว่าราคาไม่ใช่ถูกๆ
สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินชะงักเล็กน้อย
นิ้วเรียวยาวของเขาเกี่ยวเนกไทเส้นนี้ขึ้นมา “ทำไมถึงอยากให้เนกไทพี่ชายล่ะ”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดเล็กน้อย ให้คำตอบ “คุณใส่สูทแล้วดูดี”
“แค่นี้เหรอ” ฟู่อวิ๋นเซินสีหน้าเรื่อยเปื่อย “เยาเยา รู้หรือเปล่าว่าผู้หญิงให้เนกไทผู้ชายมันมีความหมายพิเศษยังไง”
อิ๋งจื่อจินที่กำลังดื่มน้ำหยุดชะงัก “ยังมีความหมายด้วยเหรอ”
“แน่นอน” ฟู่อวิ๋นเซินยกมุมปาก ดวงตาสีอำพันทอประกายชวนหลงใหล “เธอให้เนกไทพี่ชาย ความหมายคือ เธอต้องการผูกพี่ชายไว้ข้างกาย ชีวิตนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะไม่ยอมปล่อย”
อิ๋งจื่อจินนึกถึงท่าทางตื่นเต้นกระตือรือร้นของซิวอวี่ตอนแนะนำของขวัญให้เธอ “…”
เธอสีหน้าเรียบเฉย
เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปโรงเรียนเธอว่าเธอน่าจะได้ใช้กำลัง
ฟู่อวิ๋นเซินเก็บเนกไทเส้นนี้วางคืนใส่กล่อง จากนั้นก็พูดขึ้น “วันนี้วันที่สิบเก้ามีนาคม”
“อืม” อิ๋งจื่อจินเหลือบดูวันที่ “ทำไมเหรอ”
“อีกห้าวันจะถึงวันที่ยี่สิบสี่มีนาคม” ฟู่อวิ๋นเซินหันมา พูดเสียงทุ้มต่ำ “แต่พี่ชายคิดว่าพี่ชายรอไม่ไหวแล้ว”
เขาลุกขึ้น
เป็นครั้งแรกที่ทำท่าทางขึงขัง