ตอนที่ 395 พ่อแม่อย่างพวกแกมันชวนสะอิดสะเอียนจริงๆ
ก่อนพวกเขาจะมาจากตี้ตูก็แน่ใจแล้วว่าตัวเลือกที่เหมาะสมคือคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋ง
ผู้อาวุโสใหญ่บอกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋งเกิดวันที่ยี่สิบสี่มีนาคม เวลาตีหนึ่ง หนึ่งนาที หนึ่งวินาที ไม่ผิดแน่นอน
แล้วทำไมจะไม่ใช่
สายตาของชายชุดดำเย็นชา แววตาเชือดเฉือนดุจคมมีด
จงมั่นหวาเคยเจอแบบนี้ที่ไหนกัน ร่างกายของเธอสั่นเทา
“จะ…จริงๆ เสี่ยวเซวียนไม่ได้เกิดวันที่ยี่สิบสี่มีนาคม ก็แค่ตอนพวกเรารับมาเลี้ยงแก้วันเกิดของเธอเป็นวันนี้”
เธอเองก็รู้ว่าอายุจริงของอิ๋งเย่ว์เซวียนโตกว่าหน่อย
เพียงแต่ช่วงนั้นสภาพจิตใจของเธอย่ำแย่มาก ถ้าไม่มีอิ๋งเย่ว์เซวียนอยู่เป็นเพื่อน เกรงว่าเธอคงเข้าโรงพยาบาลประสาทไปแล้ว
เธอไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนี้ต้องให้ความสำคัญกับเวลาเกิด แต่จะปล่อยให้พวกเขาเอาตัวอิ๋งเย่ว์เซวียนไปไม่ได้เด็ดขาด
พอได้ยินแบบนี้ชายชุดดำก็แสยะยิ้ม
เขาสาวเท้าเดินขึ้นหน้า ใช้มือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อของจงมั่นหวาดึงเธอขึ้นมา
จงมั่นหวาหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม
สองเท้าของเธอลอยเหนือพื้น แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
อิ๋งเจิ้นถิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งยังคงนั่งอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดไร้สีเลือด
ถึงแม้เขาจะอายุเกินห้าสิบแล้ว แต่ก็ออกกำลังกายบ่อย สุขภาพแข็งแรงกว่าคนหนุ่มทั่วไปที่ชอบดื่มเหล้าสูบบุหรี่
แต่เมื่อครู่ที่ชายชุดดำถีบเขาเหมือนเบามาก ไม่ได้ออกแรงอะไร แต่กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนอวัยวะภายในไปกองรวมกัน
ต่อให้บอดี้การ์ดที่สี่ตระกูลเศรษฐีตั้งใจให้ไปคุ้มกันลูกหลานในตระกูลก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่านี้
“รับเลี้ยงเหรอ” ชายชุดดำมองจงมั่นหวา สายตาเจือไปด้วยการหยามเหยียด
“คิดจะใช้คำพูดพวกนี้มาหลอกฉัน เห็นฉันเป็นไอ้โง่จากตระกูลคนธรรมดาแบบพวกแกหรือไง”
สมองของจงมั่นหวาคิดตามไม่ทันแล้ว
เธอไม่เข้าใจคำพูดที่ออกจากปากชายชุดดำคนนี้ เธอก็แค่ปกป้องอิ๋งเย่ว์เซวียนไปตามสัญชาตญาณ
คนพวกนี้เป็นใครกันแน่
พวกเขากล้าดียังไง!
จงมั่นหวาเสียงสั่นอย่างรุนแรง พูดด้วยน้ำเสียงผิดเพี้ยน
“ฉัน…ฉันพูดเรื่องจริง กะ…แกลองไปถามตระกูลอื่นในฮู่เฉิงดูก็ได้ พะ…พวกเขารู้กันหมดว่าเสี่ยวเซวียนเป็นลูกที่ตระกูลอิ๋งรับเลี้ยง ดังนั้นเธอไม่ได้เกิดวันนั้นจริงๆ!”
“งั้นลูกสาวแท้ๆ ของแกล่ะ” ชายชุดดำเชื่อครึ่ง แต่น้ำเสียงกลับเย็นชายิ่งกว่าเดิม
“แกดูแลลูกสาวที่รับเลี้ยงดีขนาดนี้ ทะนุถนอมเอาใจใส่ แล้วทำไมลูกสาวแท้ๆ ของแกถึงไม่อยู่ หรือเธอเป็นศัตรูของแกงั้นเรอะ”
พวกเขาแอบดักซุ่มอยู่นอกคฤหาสน์ตระกูลอิ๋งมาครึ่งวันแล้ว
ชายชุดดำก็กลัวจับผิดคน หลังจากที่สังเกตลาดเลา เช็คดูครั้งแล้วครั้งเล่าดูการอยู่ร่วมกันระหว่างอิ๋งเย่ว์เซวียน อิ๋งเจิ้นถิงและจงมั่นหวา จึงแน่ใจว่าเป็นลูกแท้ๆ
คำพูดนี้ทำให้จงมั่นหวาหน้าแดงก่ำ เธอรู้สึกอาย
แต่ชีวิตอยู่ในกำมือของชายชุดดำ ต่อให้จงมั่นหวาจะโกรธแค่ไหนก็จำต้องพูดออกมา
ริมฝีปากของเธอสั่น “เธอ…เธอตัดขาดกับตระกูลอิ๋งของพวกเราแล้ว ฉันสาบานได้ว่าที่ฉันพูดมาเป็นความจริง พวกแกไปหาอิ๋งจื่อจิน เธอต่างหากที่เกิดวันที่ยี่สิบสี่มีนาคม!”
ชายชุดดำหรี่ตาลง ผ่อนแรงที่มือ จากนั้นค่อยๆ พูดออกมาว่า “อิ๋งจื่อจินเหรอ”
“ใช่!” ราวกับเจอหนทางรอดชีวิต จงมั่นหวาขอร้อง
“เธอนั่นแหละ พวกแกไปเช็คดูได้เลย เรื่องนี้ง่ายมาก คนฮู่เฉิงรู้กันหมด ฉันจะโกหกพวกแกทำไม”
ชายชุดดำถึงได้หันหน้าไปส่งสายตาให้ลูกน้องที่อยู่ด้านซ้าย “ไปถาม”
จากนั้นเขาก็ปล่อยมือ โยนจงมั่นหวาไปบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ
ลูกน้องเข้าใจ รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
จงมั่นหวาได้สูดอากาศสะดวกก็หายใจหอบแรง
พอเห็นท่าทางของชายชุดดำเธอก็อึ้ง มือสั่นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “พะ…พวกแกโทรถามดูก็ได้”
ชายชุดดำหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ พูดเสียงเย็นชา
“ไม่ชอบใช้ของพวกนี้ เข้าใจไหม”
จงมั่นหวาไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว ฟันกระทบกันดังกึกๆ
ชายชุดดำกวาดตามองภายในห้องโถง นั่งลงบนโซฟาอย่างสบายๆ
แต่สำหรับทั้งสามคนในตระกูลอิ๋ง ทุกนาทีทุกวินาทีราวกับถูกแผดเผาอยู่บนกองไฟ
สิบนาทีต่อมาลูกน้องที่ออกไปก็กลับมา
เขากำมือคารวะ คุกเข่าลงหนึ่งข้าง ทำตามธรรมเนียมของจอมยุทธ
“คุณชายรอง ถามจากหลายบ้านดูแล้วครับ เธอเป็นลูกเลี้ยงของตระกูลอิ๋งจริง คุณหนูตัวจริงของตระกูลอิ๋งชื่ออิ๋งจื่อจินครับ”
“ดี” ชายชุดดำเงยหน้ามองจงมั่นหวาด้วยสายตาเย็นชา “อิ๋งจื่อจินอยู่ที่ไหน”
“เธอ…” จงมั่นหวาอยากตอบออกไป แต่กลับพบว่าเธอเองก็ไม่รู้ ยิ่งหน้าเสียเข้าไปใหญ่ “ฉะ…ฉันไม่รู้”
ชายชุดดำหันไปมองอิ๋งเจิ้นถิง
อิ๋งเจิ้นถิงตัวเกร็ง “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เขาไม่ได้สนใจอิ๋งจื่อจินแม้แต่น้อย ช่วงหลายวันมานี้ก็ยุ่งเรื่องที่บริษัท ยังจะมีแรงสนใจเรื่องอื่นที่ไหนกัน
“คุณชายรองครับ” ลูกน้องเดินขึ้นหน้า กระซิบบอกข้างหู
ชายชุดดำฟังลูกน้องรายงานจบก็เข้าใจเรื่องของตระกูลอิ๋ง
“พ่อแม่อย่างพวกแกทำถึงขั้นนี้ มันน่าขยะแขยงจริงๆ” เขาแสยะยิ้ม ก้มมองต่ำ
“ถ้าไม่ติดว่าศาลสถิตยุติธรรมให้โควตาพวกเรามาแค่คนเดียว ฉันขยะแขยงพวกแกขนาดนี้ ไม่งั้นวันนี้พวกแกตายแน่”
เขาไม่มองจงมั่นหวาอีก สะบัดมือ “ไปบ้านตระกูลจง”
พวกชายชุดดำยกโขยงออกไปกันอย่างรวดเร็ว
จงมั่นหวาทรุดลงบนพื้น หน้าซีดเหมือนกระดาษ เหงื่อออกท่วมตัว
“คุณแม่!” ในที่สุดอิ๋งเย่ว์เซวียนก็ได้สติกลับมา เธอกระโจนเข้าไปกอดจงมั่นหวาไว้ พูดเสียงสะอื้น “คุณแม่…”
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ” จงมั่นหวายกมือกอดอิ๋งเย่ว์เซวียน เสียงยังคงสั่น
“คนพวกนั้นไม่มีทางมาอีกแล้ว”
อิ๋งเย่ว์เซวียนเม้มริมฝีปาก
“แต่ว่าแม่คะ พวกเขาไปหาน้องจื่อจินแล้ว งั้นไม่เท่ากับว่า…”
ตอนนี้อยู่ๆ เธอก็รู้สึกโชคดีที่ตระกูลน้อยใหญ่ในฮู่เฉิงต่างรู้เรื่องที่เธอเป็นลูกเลี้ยง
ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องถูกคนพวกนั้นเอาตัวไปแน่นอน
จงมั่นหวาเหมือนได้สติตื่นจากฝัน เธอเริ่มลนลานอีกครั้ง
“เจิ้นถิง ทะ ทำไงดีคะ พวกเราต้องช่วยจื่อจินนะคะ”
อิ๋งเจิ้นถิงขี้ขลาด แต่สีหน้ากลับเย็นชา
“ทำยังไงเหรอ พวกเราไปมีเรื่องกับคนพวกนั้นได้เหรอ อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องเลยน่า ผมว่านะ เด็กคนนั้นมันตัวซวย”
จงมั่นหวาหน้าซีด
ก่อนหน้านี้เธอมัวแต่สนใจจะปกป้องอิ๋งเย่ว์เซวียน จนลืมไปว่าอิ๋งจื่อจินก็เพิ่งจะบรรลุนิติภาวะไปไม่นานเหมือนกัน
คนพวกนี้วิธีการโหดเหี้ยม พูดคำว่าตายออกมาได้อย่างง่ายดาย
ต่อให้อิ๋งจื่อจินสนิทกับฟู่อวิ๋นเซิน วีนัสกรุ๊ปเป็นอาณาจักรธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ฟู่อวิ๋นเซินก็เป็นแค่ประธานที่สำนักงานใหญ่ส่งมาดูแลโซนเอเชียแปซิฟิก
แล้วจะต่อกรกับคนพวกนั้นได้ยังไง
“พ่อคะ แม่คะ หนูไปยุโรปคนเดียวก็พอแล้วค่ะ” อยู่ๆ อิ๋งเย่ว์เซวียนก็พูดขึ้น ขัดจังหวะความคิดของจงมั่นหวา
“วันนี้พ่อกับแม่ขวัญเสีย คุณพ่อยังได้รับบาดเจ็บ เดี๋ยวหนูพาไปส่งโรงพยาบาลก่อนนะคะ”
จงมั่นหวาถูกดึงความสนใจกลับมา พูดด้วยความเป็นห่วง “ลูกไปคนเดียวได้เหรอ”
“รุ่นพี่จะมารับหนูค่ะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนพูดเสียงเบา
“วางใจได้ค่ะแม่ สถานที่จัดแข่งขันรอบตัดสินไอเอสซีอยู่ที่เมืองข้างๆ โรงเรียนเอลานพอดี”
พอได้ยินแบบนี้จงมั่นหวาก็พยักหน้า
เธอตัวสั่นขยับเข้าไปช่วยพยุงอิ๋งเจิ้นถิง
“เจิ้นถิง พวกเราไปโรงพยาบาลกันค่ะ”
พอทั้งสองคนออกไปแล้ว อิ๋งเย่ว์เซวียนก็ถือสัมภาระของตัวเอง
มุมปากของเธอถูกกดลง แต่กลับปิดบังรอยยิ้มไว้ไม่มิด ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าอิ๋งจื่อจินไปหาเรื่องคนน่ากลัวพวกนั้นได้ยังไง แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงแต่จับตัวอิ๋งจื่อจินไปได้ก็ไม่มีใครเป็นภัยต่อเธอแล้ว
…
อีกด้านหนึ่ง
ชายชุดดำกับพวกลูกน้องที่เขาพามาไปถึงบ้านตระกูลจงอย่างรวดเร็ว
แต่ประตูรั้วกลับปิดสนิท
ปกติก็มีแค่ผู้เฒ่าจงที่อาศัยอยู่ที่นี่ พอเขาไปยุโรปกับอิ๋งจื่อจินก็ให้พ่อบ้านจงกับคนอื่นๆ หยุดงานกันหมด
ชายชุดดำไม่ได้เข้าไป ใช้กำลังภายในสัมผัสก็รู้แล้วว่าด้านในไม่มีคน
สีหน้าของเขาบึ้งตึง “ไปบ้านครอบครัวเวิน”
ยกโขยงไปที่คอนโดบ้านครอบครัวเวิน แต่ที่คอนโดก็ไม่มีใครอยู่เหมือนกัน
“คุณชายรองครับ” เวลานี้ลูกน้องที่ก่อนหน้านี้มาสืบข่าวได้พูดขึ้น
“คุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋งเป็นนักเรียนมอปลายของชิงจื้อ จะไปดูที่ชิงจื้อหน่อยไหมครับ”
“จับเพื่อนนักเรียนของเธอมาข่มขู่ เธอจะต้องกลับมาแน่ครับ”
“มอปลายเหรอ” ชายชุดดำขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักคำนี้
ลูกน้องรีบอธิบาย “ก็คือโรงเรียนมัธยมครับ”
ชายชุดดำเงียบไปชั่วครู่ ส่ายหน้า “ไม่ได้ ที่นั่นมีคนหมู่มาก ถ้าพวกเราไปจะสร้างความวุ่นวาย เดี๋ยวจะแก้ตัวกับศาลสถิตยุติธรรมไม่ขึ้น”
ครั้งนี้พวกเขาออกมาจากโลกจอมยุทธ ถึงแม้จะได้รับอนุญาตจากศาลสถิตยุติธรรมแล้ว แต่ศาลก็อนุญาตให้พวกเขาพาคนธรรมดากลับไปแค่คนเดียว
ถ้าร่องรอยถูกเปิดเผยจะต้องรับโทษ
ลูกน้องถามต่อ “งั้นไปยุโรปไหมครับ”
“ก็ไม่ได้เหมือนกัน” ชายชุดดำขมวดคิ้ว “พวกนักล่าบนเว็บบอร์ดเอ็นโอเคส่วนใหญ่ตระเวนอยู่ในยุโรป มีศัตรูของตระกูล ถ้าไปตอนนี้ไม่ต่างกับบอกพวกเขาว่าพวกเรามีจุดอ่อน”
ลูกน้องลังเล “แต่ถ้าไม่พาตัวคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋งกลับไป อาการป่วยของคุณชายใหญ่…”
“รอก่อน” ชายชุดดำขมวดคิ้วแน่น
“นายบอกว่าการแข่งขันอะไรนั่นปลายเดือนพฤษภาก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ เธอยังต้องกลับมาสอบเข้ามหาวิทยาลัย ระยะเวลาแค่นี้พี่ใหญ่ยังรอได้ พวกเรารอเธอกลับมาค่อยเอาตัวไป”
ลูกน้องพูดหยั่งเชิง “แต่กลัวเธอจะไม่ยอม ยังไงซะเธอก็มีชื่อเสียงในโลกภายนอกพอสมควร ถ้าหายตัวไป…”
“พี่ใหญ่ของฉันคือมังกรในฝูงชน ถ้าไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตระกูลหลินคงมาขอเกี่ยวดองถึงบ้านไปแล้ว” สายตาของชายชุดดำเย็นชาลงในทันที
“เธอเป็นแค่คนธรรมดาในตระกูลปุถุชน ได้แต่งเข้าไปก็ถือเป็นเกียรติของเธอ”
ลูกน้องก้มหน้า ไม่พูดอะไร
โลกจอมยุทธถือเป็นปริศนาสำหรับโลกภายนอก คนทั่วไปไม่มีทางได้รู้
คุณชายใหญ่เป็นมังกรในฝูงชนจริง ไม่เพียงแต่จะมีรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ พรสวรรค์ในการเป็นจอมยุทธก็ถือว่าเป็นชั้นยอดแบบที่ร้อยปีจะเจอสักคนในตระกูล
แต่เมื่อเดือนที่แล้วอยู่ๆ ร่างกายของเขาก็ทรุดลง อ่อนแอจนถึงขั้นลงจากเตียงไม่ได้
พวกเขาพาคุณชายใหญ่ไปที่วงการแพทย์แผนโบราณมาแล้ว และก็ได้กินสมุนไพรหายากไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงไม่หาย
ต่อมาผู้อาวุโสใหญ่กลับมาจากท่องเที่ยวข้างนอก ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเดิมทีไม่ใช่คนในตระกูล แต่เป็นนักพยากรณ์
เมื่อนานมาแล้วเนื่องจากนายใหญ่คนก่อนๆ ของตระกูลเคยช่วยชีวิตผู้อาวุโสใหญ่ไว้ ต่อมาก็ได้มอบตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ให้ และอยู่ในตระกูลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้ทำนายดวงชะตาให้คุณชายใหญ่
ดวงชะตาบอกว่า คุณชายใหญ่จะมีเคราะห์แบบนี้
ถ้าอยากหายดีก็ต้องหาคนมาแต่งงานกับเขา เพื่อช่วยให้พ้นเคราะห์
เมื่อพ้นเคราะห์นี้ไปแล้ว คุณชายใหญ่ก็จะสามารถกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ร่างกายจะหายเป็นปกติ วิทยายุทธก็จะสูงส่งกว่าเมื่อก่อน
แต่เงื่อนไขคนที่จะมาแต่งงานด้วยซับซ้อนมากทีเดียว
จะต้องเป็นผู้หญิงอายุสิบแปดปี และเป็นลูกหลานของตระกูลเศรษฐี
เวลาเกิดต้องเป็นวันที่ยี่สิบสี่มีนาคม เวลาตีหนึ่ง หนึ่งนาที หนึ่งวินาที ขาดหรือเกินก็ไม่ได้เด็ดขาด
ซึ่งคนเดียวที่เข้าเงื่อนไขก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋ง
พวกเขาถึงได้ออกมาจากโลกจอมยุทธ เดินทางไกลนับพันลี้มาที่เมืองฮู่เฉิง
“ตอนนี้รออยู่ที่ฮู่เฉิง” ชายชุดดำพูด “หาบ้านว่างพักอาศัย พอเธอกลับมาก็พากลับโลกจอมยุทธทันที”
…
วันต่อมา
ที่ยุโรป
เมืองมหาวิทยาลัย
อิ๋งจื่อจินตื่นเช้ามาก
เธอล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เงยหน้าขึ้น หรี่ตามองไปนอกหน้าต่าง
นอกจากกล้องวงจรปิดที่อยู่ตามซอกมุมแล้ว ที่นี่ยังมีทหารองครักษ์ที่โยกมาจากแต่ละราชวงศ์ในยุโรป ทำหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยโดยรอบ เฝ้ายามอย่างเข้มงวด
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นการแข่งขันความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ระดับโลกเป็นครั้งแรก ไม่เหนือความคาดหมาย มีอิทธิพลจำนวนไม่น้อยที่คิดจะมาทำลายงาน
ต่อให้ไม่ใช่ระหว่างที่มีงานแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของไอเอสซี ที่นี่มีมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกสองแห่งกับห้องปฏิบัติการ ซึ่งต่างก็เป็นที่ที่มีคนคิดจะบุกเข้าไป
ตรงทางเข้าเมืองมหาวิทยาลัยมักจะมีพัสดุนิรนามปรากฏ พอเปิดออก หลายครั้งที่ข้างในเป็นระเบิดเวลา
อิ๋งจื่อจินละสายตา แต่งตัวแล้วเดินลงไป
พอลงมาถึงชั้นล่างก็มีลูกโป่งลอยมาเหนือศีรษะของเธอ
เป็นตัวโดนัลด์ ดั๊ก กอดปลาหนึ่งตัว
มีเสียงทุ้มต่ำพูดกึ่งหัวเราะ
“อรุณสวัสดิ์ ลูกโป่งสำหรับเด็กน้อยของเรา”
อิ๋งจื่อจินเหลือบมองชายหนุ่มรูปงาม และก็รับลูกโป่งไว้จริงๆ เธอพูด “ยกมือขึ้น”
ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว “จะทำอะไร”
อิ๋งจื่อจินเอาลูกโป่งโดนัลด์ ดั๊กผูกไว้ที่ข้อมือของเขา ถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วมองสำรวจ
“คราวนี้คนที่ดูซื่อบื้อก็คือคุณแล้ว”
ฟู่อวิ๋นเซินมองลูกโป่งที่อยู่บนหัวเขา จากนั้นก็เดินขึ้นหน้า
มือข้างหนึ่งยันกำแพง โอบอิ๋งจื่อจินเข้ามา ก้มหน้าลง