ตอนที่ 409 เชิญอันดับหนึ่งของชาร์ตรวม! ยังจะอวดดีได้อีกไหม
ไอริน่าพูดแบบนี้โดยไม่ปิดบังการดูถูกเหยียดหยามของตัวเองแม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่เธอพูดออกมาก็เป็นความจริง
ผู้เข้าแข่งขันที่เข้าร่วมรอบชิงชนะเลิศของไอเอสซีได้ล้วนเป็นหัวกะทิที่มาจากหลายประเทศ บอกว่าเป็นเด็กเนิร์ดก็ยังดูถูกเกินไปด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรเสีย ต่อให้อัจฉริยะแค่ไหนก็เป็นแค่เด็กมัธยมปลาย อัจฉริยะจะเก่งเพียงใด ประสบการณ์ก็มีเท่าที่เห็น เวลาสิบกว่าปีไม่มีทางรอบรู้ความรู้ที่มีอยู่มากมายขนาดนั้นได้
ต่อให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งทุกด้านอย่างไซมอน แบรนด์ ที่หน้าประวัติศาสตร์ของยุโรปต้องจารึกไว้ ตอนเขาอายุสิบแปดปีก็วิจัยแค่ฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์
เมื่ออายุมากขึ้นเขาถึงเริ่มขยับขยายไปสู่ขอบเขตอื่น คณะกรรมการจัดตั้งไอเอสซีขึ้นมาก็เพื่อ หนึ่ง เป็นการรำลึกถึงเขา สอง เพื่อค้นหาอัจฉริยะหน้าใหม่
แต่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
การแข่งขันสนามแรกนี้ก็เป็นการโชว์ฝีมือครั้งแรกของไอริน่าเช่นกัน
เหนือชั้นจริงๆ ไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้แม้แต่น้อย
พอเธอพูดแบบนี้ออกมา ผู้ชมด้านล่างที่สนับสนุนเธอก็ยิ่งฮึกเหิมมากกว่าเดิม
“ไอริน่า! ไอริน่า!”
“เด็กเทพไอริน่า!”
สีหน้าของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นต่างแย่ลงไปมาก ยกเว้นผู้เข้าแข่งขันของทางยุโรป
ผู้เข้าแข่งขันหมายเลขสิบเก้าไม่ได้พูดอะไร เดินลงไปตรงโซนนั่งรอ
“อย่าใส่ใจเลยนะ” เฟิงเย่ว์เม้มริมฝีปาก “เดี๋ยวถึงเวลา…”
เขากลับไม่พูดที่เหลือออกมา
โจทย์ของรอบตัดสินย่อมยากกว่ารอบคัดเลือกรอบแรก และรอบสอง
เฟิงเย่ว์ถนัดวิชาสายวิทย์มากกว่า เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะตอบได้หมด
โดยทั่วไปแค่ได้เกินสิบสองคะแนนก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
แต่ไอริน่าตอบคำถามเสร็จในเวลาห้านาที ทั้งยังตอบถูกหมด
เฟิงเย่ว์รู้ดีว่า ต่อให้เขาแข่งกับไอริน่า ด้วยความเร็วในการตอบคำถามของเขา อย่างมากสุดก็ได้แค่เจ็ดแปดคะแนน เรียกได้ว่า ไม่ว่าผู้เข้าแข่งขันคนไหนแข่งกับไอริน่า คะแนนก็มีแต่จะถูกกดให้ต่ำ
ตรงที่นั่งของศาสตราจารย์ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง จั่วหลีหันไป “นี่คือมารยาทของพวกคุณเหรอครับ”
“ไอริน่าเป็นคนค่อนข้างอวดดีครับ” พอได้ยินแบบนี้อาจารย์คนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเฮลก้าก็ยิ้ม
“อีกอย่างคุณก็รู้ว่าไอริน่าเคยป่วยมาระยะหนึ่ง เธอเป็นคนพูดจาแบบนี้แหละ”
“ศาสตราจารย์จั่ว ก็แค่การพูดข่มเท่านั้น อย่าไปถือสาเลยครับ”
จั่วหลีแสยะยิ้ม “ก็ดีแต่โม้นั่นแหละ”
ถ้าอิ๋งจื่อจินจับได้แข่งเดี่ยว อย่างน้อยก็เอาคืนได้สักรอบ
รอบแรกของการแข่งเดี่ยว ทุกคนจะต้องลงแข่งสิบสนาม การจับฉลากล้วนต้องพึ่งดวงทั้งนั้น
แต่เริ่มต้นแบบนี้สร้างความสะเทือนใจได้มากทีเดียว
บนหน้าจอถ่ายทอดสดของทางประเทศจีนก็แทบระเบิด
[ไอริน่าจะอวดดีเกินไปหรือเปล่า]
[มาบอกว่าผู้เข้าแข่งขันของพวกเราเป็นขยะ แล้วหล่อนน่ะตัวอะไรยะ]
[อวดดีเพราะเธอมีดีให้อวดไง พวกเธอก็ให้เทพอิ๋งของพวกเธอมากำราบไอริน่าสิ]
[นับถือส่งเดช ก็แค่ชอบหน้าตาของอิ๋งจื่อจินไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ไปแข่งชิงชนะเลิศกับต่างชาติก็ไม่ไหวแล้วหรือเปล่า จึ๊!]
[รำคาญพวกชวนทะเลาะในห้องถ่ายทอดสดหลัก ไปดูห้องย่อยดีกว่า บาย…]
ครั้งนี้ที่สถานีโทรทัศน์กลางกับชูกวงมีเดียถ่ายทอดสดได้เปิดไว้ทั้งหมดสี่ห้อง
ห้องถ่ายทอดสดหลักจะถ่ายทอดการแข่งเดี่ยวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วนอีกสามห้องที่เหลือจะแยกเป็นสามทีมในสนามแข่งทีม
ผู้เข้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศมีทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยคน แข่งทีมสามร้อยคน แข่งเดี่ยวเก้าร้อยคน
ส่วนผู้เข้าแข่งขันชาวจีนที่เข้ารอบมีทั้งหมดเก้าสิบสามคน ถูกจัดอยู่อันดับสามในบรรดาประเทศที่เข้าแข่งขันทั้งหมด
อิ๋งจื่อจินอยู่ทีมเดียวกับนักเรียนหญิงที่ได้อันดับหนึ่งในคลาสทดลองวิทยาศาสตร์ของชิงจื้อ รวมถึงเซี่ยงซุ่นที่ได้อันดับห้าของชาร์ตรวมทั่วโลก
การแข่งทีมมีโจทย์ใหญ่ทั้งหมดสามข้อ ให้เวลาสามชั่วโมง ถึงแม้ปริมาณโจทย์จะน้อย แต่ความรู้ที่ครอบคลุมมีมากทีเดียว
ก่อนอื่นต้องแปลโจทย์
อิ๋งจื่อจินเอากระดาษที่มีโจทย์แปะบนกระดานดำ กล้องซูมเข้าไปใกล้ เผยให้เห็นหัวข้อบนกระดาษ
ข้อความเลื่อนในห้องแยกมีน้อยมาก เมื่อโจทย์ทั้งสามข้อปรากฏ ข้อความเลื่อนก็หายไปสักพัก
[ฉะ…ฉันงงไปเลยจ้า นี่มันโจทย์อิหยัง อย่าว่าแต่ไม่เข้าใจเลย นี่มันภาษาอะไร]
[บรรทัดที่สองคล้ายภาษาเยอรมัน แต่ก็คล้ายภาษาฝรั่งเศสด้วย แต่กลับไม่ใช่สองภาษานี้]
ในที่สุดผ่านไปหลายนาทีก็มีข้อความเลื่อนที่ยาวมากโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอ
[ขอให้ความรู้กับทุกท่าน โจทย์ชุดนี้ของการแข่งทีม ลำพังแค่หัวข้อก็ใช้ไปแล้วถึงสิบแปดภาษา มีภาษาละติน ภาษารูน ภาษาจีน ภาษาปรัสเซีย ภาษาไอซ์แลนด์ ภาษาฮีบรู…]
[สุดยอด]
[ฉันมันโง่เอง บางภาษาไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ]
[ภาษาจีนยาวขนาดนี้ ไม่ต้องแปลหรอก ง่ายมากๆ]
[ข้อความบน โง่เหรอ ภาษาจีนเป็นหนึ่งในหลายภาษาที่ยากสุดในโลก พวกเรารู้จักก็ไม่ได้หมายความว่าคนประเทศอื่นจะรู้จักด้วย]
ผู้เข้าแข่งขันที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ อย่างน้อยต้องถนัดภาษาต่างประเทศสามภาษา
แต่ภาษาละตินกับภาษาฮีบรูตอนนี้ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว คนที่ได้ภาษาพวกนี้ก็มีน้อยมาก
นี่จึงเป็นโจทย์แรกที่ยากมากของการแข่งทีม
ภายในห้องถ่ายทอดสด ชาวเน็ตเห็นอิ๋งจื่อจินมองโจทย์แล้วหยิบปากกามาร์คเกอร์ขึ้นมาเขียนบนกระดาน
สีหน้าของเธอเรียบเฉย เขียนเร็วมาก แต่อักษรกลับสวย
[โวะ อึ้งไปเลยสิครับ เทพอิ๋งเริ่มแปลแล้วเหรอ]
[ของกล้วยๆ ไม่ต้องชม]
[เทพอิ๋งเซด แค่มองก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ]
[อย่าว่าแต่สิบแปดภาษาเลย ต่อให้เป็นร้อยแปดสิบภาษา เทพอิ๋งก็เอาอยู่ทุกอย่าง (อีโมชันหัวหมา)]
ขณะที่ทีมอื่นกำลังแปลประโยคแรกของหัวข้ออยู่ อิ๋งจื่อจินก็ได้แปลหัวข้อทั้งหมดเป็นภาษาจีน และเขียนลงบนกระดานเสร็จแล้ว
เพื่อให้สมาชิกทุกคนในทีมเห็นโดยทั่วกัน
เซี่ยงซุ่น “…”
เขาช็อกอย่างรุนแรง
เดิมทีคิดว่าได้อันดับห้าของชาร์ตรวมทั่วโลกจะสามารถเทียบชั้นกับผู้เข้าแข่งขันที่ได้โควตาผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้
แต่นึกไม่ถึงว่าความแตกต่างจะมีมากขนาดนี้
“เพื่อนซุ่น ไม่ต้องช็อกไป เทพอิ๋งไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา” นักเรียนหญิงที่นั่งข้างๆ ปลอบใจเขา
“เดี๋ยวเจอบ่อยเข้าก็ชิน”
เซี่ยงซุ่น “…”
เขาชินไม่ไหวน่ะสิ
เซี่ยงซุ่นถอนหายใจ หยิบปากกาเริ่มแก้โจทย์
แต่ต้องยอมรับเลยว่า มีอิ๋งจื่อจินอยู่พวกเขาก็สบายขึ้นมาก
พอแปลโจทย์สามข้อนี้ออกมาทั้งหมดก็ไม่ยากถึงขั้นแก้ไม่ได้
คณะกรรมการจงใจเพิ่มความยากตอนออกโจทย์
บรรดาอาจารย์ที่อยู่หลังเวทีย่อมสังเกตเห็นกลุ่มของอิ๋งจื่อจิน พากันเงียบสนิท
อาจารย์คนหนึ่งเงยหน้ามองไปยังคนออกโจทย์รวมที่ผมหงอกเต็มหัว “ไหนว่าประโยคสุดท้ายไม่มีคนแปลได้แน่นอนไงครับ”
ประโยคสุดท้ายของโจทย์ข้อสามเกี่ยวพันถึงเงื่อนไขสำคัญในการแก้โจทย์
หากไม่มีเงื่อนไขข้อนี้ แก้โจทย์ได้ก็จริง แต่ความยากจะเพิ่มเป็นยี่สิบเท่า
แต่พออิ๋งจื่อจินแปลออกมาได้ก็แก้โจทย์ได้ง่ายขึ้นมาก
อาจารย์ที่ออกโจทย์ถึงกับช็อก “…”
เขาก็งงเหมือนกันไหมล่ะ
ทั้งๆ ที่เขาหาภาษาที่คนใช้น้อยมากแล้วนะ อย่าว่าแต่เรียนเลย คนปกติก็ไม่เคยได้ยิน
“น่ากลัวจริงๆ” คนออกโจทย์เช็ดเหงื่อ
“ถ้าผู้เข้าแข่งขันคนนี้ไปแข่งเดี่ยวคงดี เธอแข่งกับไอริน่าจะต้องดุเดือดมากแน่ ขนาดผมยังอยากดู”
อาจารย์พยักหน้า แอบรู้สึกเสียดาย “อันที่จริงคนที่พวกเราอยากดูมากที่สุดคืออันดับหนึ่งของชาร์ตรวม ทางคณะกรรมการส่งข้อความหา ‘เขา’ เป็นการเฉพาะ ทั้งยังเสนอให้แข่งแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ ‘เขา’ ก็ไม่ตอบกลับมาเลย”
คนออกโจทย์ถอนหายใจ
“เป็นเรื่องที่จนปัญญา”
ใครใช้ให้อันดับหนึ่งของชาร์ตรวมคนนี้พอได้เงินรางวัลก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเลยล่ะ
…
การแข่งทีมพอได้อิ๋งจื่อจินนำทีมก็ใช้เวลาทำโจทย์สามข้อไปแค่ครึ่งชั่วโมง
ผลคะแนนรวมในตอนท้ายคือ คะแนนเต็มหนึ่งร้อยรวมกับคะแนนพิเศษจากเวลาที่ใช้ทำโจทย์ ทั้งหมดเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบคะแนน
ส่วนทีมอื่นจะได้คะแนนอยู่ระหว่างห้าสิบถึงหกสิบคะแนน มากสุดก็แค่หกสิบเจ็ดคะแนน
การแข่งทีมเสร็จสิ้นในตอนเที่ยง แม้การแข่งเดี่ยวจะมีทั้งหมดสิบเวที แต่ก็ดำเนินไปได้แค่หนึ่งร้อยสามสิบรอบ ดังนั้นการแข่งเดี่ยวจะใช้เวลาสามวันต่อเนื่อง
เถิงอวิ้นเมิ่งกับเฟิงเย่ว์ดวงดีใช้ได้ ไม่เจอไอริน่าในรอบแรก ได้คะแนนเต็มเข้ารอบสองอย่างราบรื่น
ตอนอิ๋งจื่อจินไปหา เถิงวิ้นเมิ่งกำลังปลอบนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ร้องไห้อยู่ นักเรียนหญิงไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขันที่ได้โควตาผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่ได้อันดับสิบเจ็ดของชาร์ตรวมทั่วโลก
อิ๋งจื่อจินชะงักเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“ก็ไอริน่าน่ะสิ” เฟิงเย่ว์พูดขึ้นก่อน โมโหมาก “รอบแรกทางพวกเรามีผู้เข้าแข่งขันถึงสิบเก้าคนที่เจอไอริน่า คนที่แข่งได้คะแนนไม่เกินหกเลย”
“ยัยนั่นก็โรคจิตจริงๆ ทุกครั้งที่แข่งกับคนของเราเสร็จจะพูดว่าขยะ แถมยังมองด้วยสายตาดูถูก ใครจะไปทนไหว”
สายตาของอิ๋งจื่อจินชะงัก แสยะยิ้ม “ขยะเหรอ”
“ใช่” เฟิงเย่ว์เม้มริมฝีปาก “ผู้ตัดสินเป็นคนของพวกเขาหมด ไม่สนใจ ฉันว่าเธอต้องล้างแค้นเรื่องเมื่อวันก่อนแน่”
คะแนนของผู้เข้าแข่งขันสิบเก้าคนถูกไอริน่ากดไว้หมด เมื่อเป็นแบบนี้คะแนนรวมของประเทศจีนก็จะต่ำมาก ถึงขั้นที่ว่าอาจรั้งท้ายได้
“ยัยนั่นน่าขยะแขยงจริงๆ” เถิงอวิ้นเมิ่งโมโหจนดวงตาแดงก่ำ
“ถ้าพวกเรามีอันดับหนึ่งของชาร์ตรวม ยัยนั่นยังจะอวดดีได้อีกเหรอ”
ก็แค่ทางคณะกรรมการเชิญอันดับหนึ่งของชาร์ตรวมมาไม่ได้