ตอนที่ 431 ตระกูลอิ๋งสติแตกยังเป็นเรื่องเล็ก
ผู้อำนวยการมือสั่น เขาเกือบทำแก้วหล่นใส่ตัวเอง
อาจารย์ฝ่ายวิชาการพอเห็นท่าทางตอบสนองของเขาก็รู้ได้ว่าช็อกไปแล้ว จึงผายมือออกพลางพูด
“ผอ.ครับ ผมบอกแล้วไง ว่าอันดับหนึ่งของปีนี้ไม่ธรรมดา แล้วจะไม่ให้ผมตื่นเต้นได้ยังไง”
ระหว่างอันดับหนึ่งด้วยกันก็มีความแตกต่าง
ยิ่งคะแนนสูง ห่างแค่คะแนนเดียวก็ยิ่งสำคัญ
ในประวัติศาสตร์การสอบเข้ามหาวิทยาลัย ประเทศจีนเคยมีอันดับหนึ่งที่สอบได้คะแนนเต็มแค่สองคน
แต่โจทย์ของสองปีนั้นเทียบกับปีนี้ไม่ได้ ความยากคนละระดับ
อาจารย์ฝ่ายวิชาการนึกถึงคำพูดหนึ่ง
คนอื่นสอบได้เจ็ดร้อยห้าสิบคะแนน เป็นเพราะทำได้เต็มที่เจ็ดร้อยห้าสิบคะแนน
อิ๋งจื่อจินสอบได้เจ็ดร้อยห้าสิบคะแนนเป็นเพราะคะแนนเต็มมีแค่เจ็ดร้อยห้าสิบคะแนน
สมกับเป็นเทพอิ๋ง!
ผู้อำนวยการไม่ตอบอาจารย์ฝ่ายวิชาการ เพราะเขายังไม่ได้สติกลับมาจากผลสอบคะแนนเต็ม
ผ่านไปสักพักเขาก็ถอดแว่นตาออก เอากระดาษเช็ดแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ จากนั้นก็ดูอย่างละเอียดอีกรอบ
เลขหนึ่งสองตัวมันโดดเด่นอยู่ในสายตาเขา ไหนจะคะแนนเต็มพวกนั้นอีก
ผู้อำนวยการผ่อนลมหายใจออกมา นั่งตัวเกร็งอยู่บนเก้าอี้
คนที่สอบได้อันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ฮู่เฉิงเป็นนักเรียนชิงจื้อทั้งนั้น
แต่อันดับหนึ่งข้อสอบรวมทั้งประเทศ ไม่ใช่ว่าชิงจื้อจะคว้ามาได้ทุกปี
โรงเรียนมัธยมชั้นแนวหน้าอีกแห่งหนึ่งที่นอกเหนือจากโรงเรียนในสังกัดมหาวิทยาลัยตี้ตูต่างแย่งชิงอันดับหนึ่งของประเทศกับชิงจื้อมาตลอด
แน่นอนว่าไม่พูดเรื่องอันดับหนึ่งของเมือง
อย่างไรเสียก็อยู่คนละพื้นที่ ก็แค่บางครั้งอาจยกขึ้นมาพูดบ้าง
แต่อันดับหนึ่งของข้อสอบรวมทั้งประเทศได้คะแนนเต็ม…
เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ
“ยังถือว่ามีเมตตา” ผู้อำนวยการกอดแก้ว พูดพึมพำ “นักเรียนอิ๋งเขียนเรียงความด้วย”
เขาก็แค่ถามไปอย่างนั้น ไม่ได้บีบบังคับ
เดิมทีอิ๋งจื่อจินไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการสอบด้วยซ้ำ
ผู้อำนวยการนึกถึงคำพูดที่เธอพูดกับเขาก่อนวันสอบหนึ่งวัน
หนูไม่ชอบสัญญากับใคร แต่เรื่องไหนที่รับปากแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จค่ะ
ผู้อำนวยการถอนหายใจ
โชคดีที่เขาไม่เคยทอดทิ้งนักเรียนที่ยินยอมพยายามคนไหนสักคน
พูดถึงเรื่องเรียงความ อาจารย์ฝ่ายวิชาการก็แอบสงสัย
“ผอ.ครับ ผอ.ไปพูดยังไงนักเรียนอิ๋ง เธอถึงยอมเขียนเรียงความครับ”
อิ๋งจื่อจินเป็นคนขี้เกียจขั้นสุด นี่เป็นเรื่องที่ทราบกันดีในชิงจื้อ
มาขอความช่วยเหลือจากเธอ เธอช่วย
ถามโจทย์ จะถามกี่รอบ เธอก็ตอบ
แต่เธอกลับขี้เกียจเดิน ขี้เกียจเขียน
ผู้อำนวยการมองอาจารย์ฝ่ายวิชาการแล้วทำเสียงหึ “ความลับ”
อาจารย์ฝ่ายวิชาการ “…”
เขาว่าผู้อำนวยการต้องดีใจใกล้บ้าแล้วแน่ ถึงขนาดใช้จมูกมองคนแล้ว
อาจารย์ฝ่ายวิชาการลูบหัว เตรียมเอาข่าวดีครั้งนี้ไปบอกอาจารย์ฝ่ายปกครองสหายคู่หูของเขา
“เดี๋ยวก่อน ยังมีอีกเรื่อง” ผู้อำนวยการเรียกอาจารย์ฝ่ายวิชาการ เขาขมวดคิ้ว
“ในใบผลสอบที่คุณส่งมาทำไมผมไม่เห็นชื่อของอิ๋งเย่ว์เซวียนเลยล่ะ”
ถึงแม้ภาพลักษณ์ของอิ๋งเย่ว์เซวียนในชิงจื้อจะพังยับเยินไปหมดแล้ว แต่ผลการเรียนของเธอก็ดีมาก จำลองการสอบทุกครั้งก็ได้ที่หนึ่งของชั้นปี
“อิ๋งเย่ว์เซวียนเหรอครับ” พอได้ยินแบบนี้อาจารย์ฝ่ายวิชาการถึงนึกขึ้นมาได้
“ดูเหมือนผมจะไม่เห็นเหมือนกันนะครับ”
ใบคะแนนชุดนี้เขาขอมาจากทางมหาวิทยาลัยตี้ตู มีแค่รายชื่อผลสอบห้าร้อยอันดับแรกของฮู่เฉิง
ในเมื่อรายชื่อห้าร้อยอันดับแรกนี้ไม่มีชื่ออิ๋งเย่ว์เซวียน งั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งนี้ อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่ติดแม้แต่ห้าร้อยอันดับแรกของเมือง
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องทำงาน
เห็นได้ชัดว่าผู้อำนวยการกับอาจารย์ฝ่ายวิชาการคิดไปในทางเดียวกัน
นี่ไปมีเรื่องสะเทือนใจอะไรมา
ถึงได้ทำผลงานการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แย่ขนาดนี้
จากว่าที่สามอันดับแรกของเมืองกลายเป็นหลุดห้าร้อยอันดับแรก
ทันใดนั้นอาจารย์ฝ่ายวิชาการก็พูดขึ้น
“ผอ.ครับ ผมขอสันนิษฐานจากการที่ดูละครน้ำเน่าที่พวกผู้ปกครองต่างคาดหวังให้ลูกชายเป็นมังกรลูกสาวเป็นหงส์ นักเรียนอิ๋งเย่ว์เซวียนจะต้องถูกคุณนายอิ๋งด่าแน่นอนครับ”
“ผอ.ว่าเธอจะถูกไล่ออกจากบ้านเพราะความโมโหไหมครับ”
อีกทั้งถ้าคุณนายอิ๋งรู้ว่าอิ๋งจื่อจินได้ที่หนึ่ง จะรู้สึกแย่ขนาดไหน
เขาว่าสติแตกยังเรื่องเล็ก
จะมีเรื่องอะไรที่แย่ไปกว่าการที่เคยได้ครอบครองแล้วสูญเสียไป
ผู้อำนวยการเงียบไปสักพัก เขาชี้ประตูแล้วพูดขึ้น “ประตูอยู่ตรงนั้น”
อาจารย์ฝ่ายวิชาการ “…”
เขาจะรีบไสหัวไปบัดเดี๋ยวนี้
…
ทางด้านมหาวิทยาลัยตี้ตูได้ตั้งใจเอาข้อสอบของอิ๋งจื่อจินออกมาโดยเฉพาะ
ชื่ออิ๋งจื่อจินได้กลายเป็นชื่อที่ไม่มีใครในมหาวิทยาลัยชั้นนำไม่รู้จักไปแล้ว และก็เพราะเห็นชื่อในผลสอบ บรรดาศาสตราจารย์และอาจารย์ถึงได้รู้ว่าเธอปลอดภัยดี
แต่ไม่รวมจั่วหลี
อิ๋งจื่อจินกลัวจั่วหลีเป็นห่วง ดังนั้นพอเธอฟื้นขึ้นมาก็เลยโทรบอกเขา
จั่วหลีไม่ใช่อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบ เขาก็เพิ่งเคยเห็นข้อสอบของอิ๋งจื่อจินเป็นครั้งแรก
ไม่ต้องดูวิชาคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์เขาก็รู้ว่าอิ๋งจื่อจินใช้วิธีที่ง่ายสุดเร็วสุดคิดคำตอบออกมาได้แน่นอน ดีกว่าเฉลยเสียอีก
ข้อสอบที่เขาดูคือข้อสอบวิชาภาษาจีน
แม้จะผ่านการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของไอเอสซีมาแล้ว จั่วหลีก็ยังอดตะลึงไม่ได้
“ความเรียงในเรียงความอย่างนั้นเหรอ”
เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไร แต่แค่ดูสีหน้าของพวกศาสตราจารย์สาขาภาษาจีนก็รู้แล้วว่าเรียงความเรื่องนี้เขียนได้สละสลวยกินใจเพียงใด
อีกทั้งอักษรก็ยังสวยงามมาก
ตอนตรวจต่างดื่มด่ำกันพอสมควร
“โทรเลย!” ในที่สุดศาสตราจารย์ของสาขาภาษาจีนก็พูดขึ้น วิ่งออกไปเหมือนคนบ้า
“ฮัลโหล ชิงจื้อใช่ไหมครับ ขอเบอร์โทรผู้ปกครองของนักเรียนอิ๋งจื่อจินหน่อยสิครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ”
จั่วหลี “…”
ให้ตายเหอะ ศัตรูโผล่มาอีกคนแล้ว
จั่วหลีมองพวกศาสตราจารย์ที่วิ่งออกไปด้วยความดีใจ รู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน
เขาเดินออกไป แอบโทรหาอิ๋งจื่อจิน
“นักเรียนอิ๋ง รู้หรือเปล่าว่าตัวเองสอบได้กี่คะแนน”
อิ๋งจื่อจินที่อยู่ปลายสายหาวออกมา
“ได้เต็มสินะ เว้นเสียแต่หนูลืมเขียนหัวข้อเรียงความ”
จั่วหลี “…”
สมกับเป็นเธอ เทพอิ๋ง
…
บ้านครอบครัวเวิน
เวินเฟิงเหมียนกำลังอ่านหนังสือ เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นมาทำลายความสงบ
เขาหันไปมอง
เป็นเบอร์แปลกโทรมา
แต่บนนั้นกลับถูกระบุคำว่าเบอร์กวนใจ
มีลูกชายอัจฉริยะอย่างเวินทิงหลานได้ ความจำของเวินเฟิงเหมียนก็ดีไม่แพ้กัน
ดังนั้นแม้จะผ่านมาหนึ่งปีแล้ว เขาก็ยังจำได้ว่านี่เป็นเบอร์ของมหาวิทยาลัยตี้ตู
อีกทั้งเขาก็เป็นคนเซฟชื่อว่าเบอร์กวนใจเอง
ตอนนั้นเขารำคาญสายจากมหาวิทยาลัยตี้ตูมากจริงๆ อีกทั้งแต่ละคณะก็ไม่ได้โทรมาแค่ครั้งเดียว เขาก็เลยไล่เซฟชื่อทีละเบอร์
วันนี้วันที่ยี่สิบเอ็ด อีกไม่ถึงสามวันผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะประกาศอย่างเป็นทางการ
เวินเฟิงเหมียนแค่คิดดูก็รู้ว่ามหาวิทยาลัยตี้ตูโทรมาด้วยสาเหตุอะไร
เขาไม่ต้องถามก็รู้ว่าอิ๋งจื่อจินจะต้องสอบได้อันดับหนึ่งแน่นอน
แต่ปีนี้มหาวิทยาลัยตี้ตูโทรมาเร็ว และถี่กว่าปีที่แล้ว เวินเฟิงเหมียนเดาว่า คะแนนของอิ๋งจื่อจินถ้าไม่ได้เจ็ดร้อยห้าสิบก็คงเจ็ดร้อยสี่สิบเก้าคะแนน
เวินเฟิงเหมียนคิดๆ ดู สุดท้ายก็รับสาย
แต่ยังไม่ทันรับก็มีอีกเบอร์โทรเข้ามา
มีคำว่า ‘เบอร์กวนใจ’ เหมือนกัน
เวินเฟิงเหมียน “…”
มหาวิทยาลัยตี้ตูที่ไร้ความสามัคคี ปีแล้วปีเล่า
เวินเฟิงเหมียนไม่ได้รับสองสายนี้ เขาค่อยๆ ยืนขึ้น เดินไปด้านหลังแล้วดึงสายโทรศัพท์ออก
“ตู๊ด…”
โทรศัพท์หยุดดัง
โลกกลับสู่ความสงบ
…
ในขณะที่คนจำนวนไม่น้อยกำลังตื่นเต้นรอประกาศผลคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัย เวลาสองทุ่มก็มีโพสต์ในเวยปั๋วที่ทำผู้คนฮือฮา
[แอทถงอวี่เฟย : ใจเย็นมาหลายวัน สุดท้ายก็ใจเย็นไม่ไหวอีกต่อไป เรื่องนี้ส่งผลต่อสภาพร่างกายและจิตใจของฉันมาก หากพูดออกไป ฉันไม่รู้ว่าจะได้รับสายตาแปลกๆ มากขนาดไหน
แต่ถ้าฉันไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ฉันไม่รู้ว่ายังจะมีดาราสาวในวงการบันเทิงที่มีความฝันอีกกี่คนต้องมาเจอความทุกข์ทรมานแบบนี้
ตอนนี้ฉันจะเขียนเล่าความทุกข์ใจทั้งหมดที่ฉันได้รับในวันนั้นค่ะ
เย็นวันที่สิบห้ามิถุนายน ฉันตอบรับไปที่โรงแรมเหม่ยเล่อ ผู้จัดการส่วนตัวบอกว่าบริษัทหาหนังให้ฉันเล่น ต้องการให้ฉันไปคุยเพื่อเลือกมาเรื่องหนึ่ง
ฉันเชื่อใจผู้จัดการส่วนตัวของฉันมากก็เลยไป
แต่นึกไม่ถึงว่า สิ่งที่รอฉันอยู่ไม่ใช่หนังหรือละคร แต่เป็นกลุ่มคนใช้ความรุนแรงที่ไร้มนุษยธรรม
พวกเขาลวนลามฉัน ทั้งยังข่มขู่ว่าห้ามพูดเรื่องนี้ออกไป ไม่อย่างนั้นฉันจะหมดอนาคตในวงการบันเทิง
ตอนแรกฉันกลัวมาก ฉันยังอยากเป็นนักแสดงต่อ ยังอยากโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงต่อไป
แต่ต่อมาฉันเข้าใจแล้วว่า ความอดทนอดกลั้นมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายได้ใจ
ยังไงซะฉันก็เป็นผู้ถูกกระทำไปแล้ว ฉันก็ไม่กลัวล่วงเกินพวกคุณอีก ฉันขอระบุตัวเลยแล้วกัน
ซีอีโอของชูกวงมีเดีย ผู้อำนวยการสามคน คนระดับหัวหน้าอีกหนึ่งคน ก็คือคนเลวที่ฉันเจอในห้องนั้น
ชูกวงมีเดีย พวกคุณอาศัยความที่เป็นบริษัทบันเทิงอันดับหนึ่งของประเทศ เลยคิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ
ไม่มีทาง!
วันนี้ฉันก้าวออกมาก็เพื่อเปิดโปงพฤติกรรมต่ำช้าของพวกคุณ
ชูกวงมีเดีย พวกคุณไม่ใช่คน! พวกคุณมันน่าขยะแขยง! พวกคุณมันชั่วช้า!
ฉันเฝ้ารอวันที่พวกคุณจะได้รับผลกรรม!