ตอนที่ 452 ฟาดหน้ารัวๆ คนใหญ่คนโตมาหนุนหลังเพียบ
“คิดดูก็รู้ว่าบรรดาผู้ชมที่นั่งอยู่หน้าจอทีวีกับหน้าคอมพิวเตอร์ต่างก็สงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่” พิธีกรยิ้ม “ทางรายการของเราได้เตรียมสกู๊ปเรื่องราวเบื้องหลังของคุณอิ๋งจื่อจินเอาไว้โดยเฉพาะให้ทุกท่านได้ชมกันครับ”
บนจอใหญ่ด้านหลังฉายคลิปที่ตัดต่อไว้ก่อนแล้ว
เดิมทีรายการสายใยหมื่นลี้จะฉายแค่ในโทรทัศน์ มีแค่ครั้งนี้ที่ถ่ายทอดสดในเน็ตไปพร้อมกันด้วย
ผู้ชมรายการคนเก่าๆ ต่างนั่งเฝ้าอยู่หน้าจอทีวี ส่วนผู้ชมในเน็ตมาเพราะชื่ออิ๋งจื่อจิน
ไม่มีใครเคยจงใจขุดประวัติของอิ๋งจื่อจิน ตอนนี้หลังจากดูคลิปเสร็จต่างก็ตะลึง
[ที่แท้เด็กที่ตอนนั้นอิ๋งลู่เวยเอาไปทิ้งก็คือเทพอิ๋งเหรอ มิน่าถึงอยากฆ่าเธอ แถมยังจ้างให้รถไปชนเธอ]
[ฉันไม่เข้าใจตระกูลอิ๋งเลยจริงๆ เด็กคนนี้หายไปยังไปหาตัวแทนมาอีกเหรอ]
[ไม่เห็นที่ในคลิปบอกเหรอ คุณนายอิ๋งสภาพจิตใจไม่ดี อิ๋งเจิ้นถิงถึงได้รับเลี้ยงเด็กเพื่อเยียวยาสภาพจิตใจเธอ]
[คุณนายอิ๋งน่าสงสารจัง ดูเสียใจมาก ในฐานะที่เป็นแม่คน ฉันเข้าใจนะ]
รายการยังคงดำเนินต่อ
“คุณนายอิ๋งครับ ทีมงานรายการของเราก็สงสัยมากครับ” พิธีกรถามต่อ “ทำไมตอนคุณรับคุณอิ๋งจื่อจินกลับมาถึงไม่ประกาศสถานะของเธอล่ะครับ”
“ฉันเลี้ยงเสี่ยวเซวียนมาสิบกว่าปี ผูกพันกับเธอมาก” จงมั่นหวาก็ไม่ได้ปิดบัง พูดออกมาหมด “เธอผ่านช่วงวันเวลาที่ฉันมืดมนที่สุดมาพร้อมกับฉัน เดิมทีฉันเลยอยากบอกคนนอกว่าฉันมีลูกฝาแฝด แต่จื่อจินไม่เข้าใจ ออกจากบ้านไปค่ะ”
“แม่สำนึกผิดแล้ว สำนึกผิดแล้วจริงๆ แม่ไม่ควรเชื่ออาของลูก ให้ลูกบริจาคเลือด” จงมั่นหวาเงยหน้ามองกล้อง น้ำตาไหลพรากออกมาทันที กำลังร้องไห้จริงๆ “แม่ไม่ควรลำเอียงเข้าข้างเสี่ยวเซวียนด้วย ก็แค่เพราะแม่เลี้ยงดูเสี่ยวเซวียนมานานมากจริงๆ ก็เลยผูกพันมาก ไม่ควรตำหนิลูก”
“ลูกจะไม่ให้อภัยแม่ก็ไม่เป็นไร แต่แม่ขอร้อง กลับมาช่วยพ่อของลูกได้ไหม”
ชาวเน็ตมักสงสารคนที่อ่อนแอกว่าเสมอ พอเห็นจงมั่นหวาร้องไห้แบบนี้ก็สะเทือนใจ ช่วยพูดแทนเธอ
[ถ้าเป็นแบบนี้จริง ตัวกลั่นกรองของฉันเริ่มแตกละเอียด เทพอิ๋งเป็นคนจิตใจดี ขนาดผู้เข้าแข่งขันต่างชาติด่าว่าขยะเธอยังช่วยเอาคืนให้ แล้วจะไม่ช่วยพ่อแท้ๆ ของตัวเองได้ยังไง]
[ฉันชักรับไม่ได้แล้ว คนที่เลือดเย็นถึงขั้นไม่ช่วยแม้แต่พ่อแท้ๆ ของตัวเอง แล้วยังจะคาดหวังให้เธอช่วยคนอื่นได้ยังไง]
[? พวกเธอลืมรายการตอนก่อนๆ ไปแล้วเหรอ คลอดแต่ไม่เลี้ยง ทำไมต้องช่วย]
[พ่ออิ๋งเป็นบุคคลสาธารณะ การที่พวกเราคาดหวังในตัวเธอสูงมันไม่สมควรเหรอ
ไม่อย่างนั้นก็อย่าเป็นบุคคลสาธารณะเลย ได้สิทธิพิเศษก็ต้องแบกรับหน้าที่เอาไว้ด้วย
เธอเป็นแบบอย่างของคนจำนวนมาก ถ้าทุกคนเอาอย่างเธอหมด สังคมนี้ยังจะมีความรักความเห็นใจอยู่อีกเหรอ]
…
ไม่นานก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเน็ต จนเกิดแฮชแท็กติดอันดับคำค้นยอดนิยม
#พ่อแม่แท้ๆ ของอิ๋งจื่อจิน#
#ข่าวลับบันลือโลกของเศรษฐี#
#อิ๋งจื่อจินเห็นคนจะตายไม่ยอมช่วย#
[เป็นแม่ไม่ง่ายเลย เอาใจลูกเลี้ยงก็ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก ถ้าไม่มีลูกเลี้ยง เธอไม่เข้าโรงพยาบาลบ้าไปแล้วเหรอ เป็นลูกสาวยังไงกัน ไม่เข้าใจพ่อแม่เลยสักนิด]
[เทพอิ๋ง แม่ของเทพอิ๋งสำนึกผิดขนาดนี้แล้ว ให้อภัยแม่เถอะนะ ใครจะรับประกันได้ว่าทั้งชีวิตตัวเองจะไม่ทำผิดพลาด ระหว่างพ่อแม่กับลูกไม่มีความแค้นที่ข้ามคืนหรอก]
[เทพอิ๋ง กลับบ้านเถอะนะ]
หลังจากซิวเหยียนที่ดูถ่ายทอดสดมาตลอดเห็นกระแสในเน็ตก็พอใจมาก
เธอรู้ว่า ขอแค่จงมั่นหวาทำตัวน่าสงสารในรายการก็จะมีคนจำนวนมากเข้าข้างจงมั่นหวา
อย่างไรเสียสักแต่พูดไม่เสียหายอะไร ไม่ได้ประสบเหตุการณ์กับตัว ใครก็สามารถอ้างศีลธรรมเพื่อประณามคนอื่นได้
หากเป็นไปตามขั้นตอนของรายการ เวลานี้ทีมงานจะต้องทำการติดต่ออิ๋งจื่อจินให้ทันที อีกทั้งช่วยจงมั่นหวาเชิญเธอมา
ซิวเหยียนรู้ดีว่ามีคนมากมายขนาดนี้ดูอยู่ อิ๋งจื่อจินไม่มีทางปฏิเสธรับสายแน่นอน
ไม่อย่างนั้นก็จะสูญเสียภาพลักษณ์
ซิวเหยียนจิบชา ดูรายการต่อ อารมณ์ดีมาก
ตามคาด พิธีกรพูดขึ้นในเวลานี้ “เอาล่ะครับ ตอนนี้ผู้ชมทุกท่านคงได้ทราบที่มาที่ไปแล้ว พวกเรามาดูภาพและคลิปอีกส่วนกันนะครับ”
พอได้ยินแบบนี้จงมั่นหวาก็อึ้ง “พวกคุณ…หมายความว่าไงคะ”
ลำดับถัดไปไม่ใช่ว่าทีมงานควรช่วยเธอโทรหาอิ๋งจื่อจินเหรอ
ทำไมต้องฉายภาพฉายคลิปอะไรด้วย
พิธีกรยังคงมีรอยยิ้มสุภาพ เจตนามองข้ามจงมั่นหวา “เชิญดูที่หน้าจอครับ”
เป็นรูปถ่ายก่อน
รูปถ่ายช่วงเวลาที่อิ๋งจื่อจินใช้ชีวิตในอำเภอชิงสุ่ย
เธอซูบผอม หน้าซีดเหมือนคนป่วย ผอมเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าก็มีรอยปะ
แต่แววตาของเธอสุกใส ราวกับท้องทะเลผืนใหญ่
“คนส่วนใหญ่น่าจะไม่เคยได้ยินสถานที่อย่างอำเภอชิงสุ่ย” พิธีกรอธิบาย “ที่นี่เป็นเขตยากแค้นสำคัญของประเทศ ช่วงสองปีมานี้เพิ่งจะดีขึ้นมาก”
“ทีมงานลงไปสำรวจอำเภอชิงสุ่ยโดยเฉพาะ แตกต่างจากความเข้าใจเรื่องหมู่บ้านชนบทในความคิดของทุกคนครับ เมื่อสิบปีก่อนที่นั่นบางครั้งก็ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้าใช้ ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องอาหารการกินเลยครับ”
“ดังนั้นเมื่อก่อนคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋งใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ส่วนคุณนายอิ๋งของพวกเราพาเด็กที่ตัวเองรับเลี้ยงไปร่วมงานเลี้ยงของพวกเศรษฐีไฮโซ ไม่เคยคิดว่าลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองจะมีชีวิตแบบนี้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีความคิดจะไปตามหาเธอ”
ฟังถึงตรงนี้อยู่ๆ จงมั่นหวาก็ตระหนักได้แล้วว่าทีมงานรายการจะทำอะไร แต่ก็ไม่ทันแล้ว
เธอนั่งอยู่ตรงนั้น แต่หน้าจอใหญ่ถูกควบคุมโดยหลังเวที อยากห้ามก็ห้ามไม่ได้
พิธีกรไม่สนใจเธอ เขาพูดต่อ “ต่อไปเป็นคลิปวิดีโอ เชิญทุกท่านรับชมพร้อมกันครับ”
“ตำแหน่งคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋งเป็นของเสี่ยวเซวียนตลอดไป อย่าหวังลมๆ แล้งๆ กับสิ่งที่เธอไม่มีทางได้” จงมั่นหวาในคลิปก้มมองเด็กสาวที่อ่อนแอ พูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “ดูสภาพตัวเองซิ เปียโนก็เล่นไม่เป็น ยังจะเทียบกับเสี่ยวเซวียนได้อีกเหรอ”
“ทำตัวดีๆ ไม่อย่างนั้นฉันกับเจิ้นถิงจะส่งเธอกลับไป”
พอเงยหน้าขึ้นจงมั่นหวาก็หน้าซีดทันที
นับตั้งแต่เกิดเรื่องเด็กทารกหายไป เธอก็ให้ติดตั้งกล้องวงจรปิดในบ้านตระกูลอิ๋ง
ดูจากมุมกล้องเธอก็จำได้ทันทีว่า คลิปวิดีโอตอนนี้มาจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ในห้องโถงใหญ่
จงมั่นหวาลุกพรวด หยิบไมโครโฟนจะพูด
แต่เสียงของเธอกลับไม่ออกมา ไม่รู้ว่าไมโครโฟนถูกตัดตั้งแต่เมื่อไร
จงมั่นหวาตัวแข็งทื่อ เลือดในกายแทบไหลย้อนกลับ
คลิปวิดีโอยังคงดำเนินต่อ มีเสียงพูดดังขึ้น
“ไม่ต้องฝึกแล้ว ฝึกทำไม สู้ไม่ได้ก็คือสู้ไม่ได้”
“ฉันล่ะผิดหวังจริงๆ ที่รับเธอกลับมา ดูเอานะ เธอเหมือนคุณหนูไฮโซที่ไหนกัน เธอทำให้ฉันรู้สึกเกลียดมากจริงๆ”
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ชวนให้ตะลึงยิ่งกว่า
เป็นต้นว่า จงมั่นหวาตั้งใจใส่ยานอนหลับลงในอาหารของอิ๋งจื่อจิน เพื่อไม่ให้เธอไปร่วมงานเลี้ยง
และเรื่องที่ชวนให้ทนไม่ไหวมากที่สุดคือ อิ๋งเจิ้นถิงกับจงมั่นหวาอยู่ในร้านกาแฟ คิดจะเอาเช็คปิดปากอิ๋งจื่อจิน
[…]
เมื่อคลิปเล่นไปเรื่อยๆ ข้อความเลื่อนบนหน้าจอก็ทยอยหายไป เหลือเพียงจุดไข่ปลา
คนที่รับชมรายการก็ตะลึง นั่งเหม่อไปชั่วขณะ
ภายใต้การผลักดันของหน้าม้าและชาวเน็ตผู้เป็นแม่พระ ทำให้แฮชแท็ก #อิ๋งจื่อจินเห็นคนจะตายไม่ยอมช่วย# ยังคงติดอันดับที่สิบเจ็ดไม่ตกลงไป
แต่ไม่นานก็มีสองแฮชแท็กใหม่ปรากฏ
เป็นสองแฮชแท็กร้อนแรงอันใหม่
#ซังเย่าจือขอพูด#
#ฉินหลิงอวี๋ขอพูด#
แอทซังเย่าจือ : [ถ้าคุณอิ๋งต้องการอะไรสั่งมาได้เลยนะครับ]
แอทฉินหลิงอวี๋ : [ครอบครัวขยะ ไม่อยู่น่ะดีแล้ว ออกมาเถอะ มาช่วยตรวจการบ้านแฟนคลับฉัน สนุกจะตายใช่ไหมล่ะ]
พวกแฟนคลับที่กำลังดีใจว่าไอดอลของตัวเองปรากฏตัวแล้ว “…”
ทำตัวให้มันจริงจังหน่อยสิ!
แต่นี่ยังไม่จบ ไม่นานก็มีคำค้นยอดนิยมอันที่สามปรากฏขึ้น
#มหาวิทยาลัยนอร์ตันขอพูด#
แอทมหาวิทยาลัยนอร์ตัน : [นักศึกษาที่รับหน้าที่ช่วยคณะเราได้โพสต์คลิป]
ในคลิปเป็นเด็กหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว
อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปร่างผึ่งผาย หน้าตาสดใส
ใบหน้าของเขาละม้ายคล้ายเวินเฟิงเหมียน แต่ว่าหล่อกว่า
ดวงตาของเขาเป็นประกาย ใบหน้าขาวนวลเหมือนหยก แต่กลับฉายแววเย็นชา
มหาวิทยาลัยไม่เคยเปิดเผยข้อมูลนักศึกษาต่อโลกภายนอกมาตลอด
ด้วยเหตุนี้แม้แต่ทางประเทศจีนเองก็ไม่รู้ว่ามีคนจีนจำนวนเท่าไรที่เข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันได้ ต่างก็คิดกันเอาเองว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้ไม่มีเลย
อันที่จริงมี แถมยังไม่น้อยด้วย
แต่นักศึกษาคณะระดับดับเบิลเอส (SS) ก็มีแค่เวินทิงหลานคนเดียว
“สวัสดีครับทุกคน ผมเวินทิงหลานครับ” เด็กหนุ่มมองกล้องแล้วเงียบไปสักพักถึงพูด “ตอนอยู่ชิงจื้อ เพื่อนร่วมห้องของผมต่างรู้ว่าผมเป็นโรคหวาดกลัวและมีปัญหาทางด้านสภาพจิตใจอย่างรุนแรง”
“ตอนแรกสุดผมเข้าสังคมไม่ได้เลย ใช้ชีวิตแบบคนปกติไม่ได้ ผมอยากตาย แต่พ่อกับพี่สาวก็ช่วยชุดผมออกมาจากโคลนตมนั้นทีละนิด”