ตอนที่ 460 เมียคุมเข้ม ไม่รู้คนตระกูลจี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน
เขาหมายถึงเวินเฟิงเหมียนกับจี้อี้หาง
ชายวัยกลางคนก็คือคนที่สายทางจี้อี้หยวนที่มีอิทธิพลมากที่สุดตอนนี้ในตระกูลจี้ส่งมา
พวกเขาจับตาดูจี้อี้หางมานานมากแล้ว
รอแค่จี้อี้หางกับเวินเฟิงเหมียนมาเจอกัน จากนั้นก็จะได้จับสองพี่น้องคู่นี้
ไม่มีใครรู้ว่ายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ เวินเฟิงเหมียนยังมีความสามารถอีกแค่ไหน
แต่ดูจากการที่เวินเฟิงเหมียนสามารถบ่มเพาะเด็กที่สอบได้อันดับหนึ่งมาถึงสองคนก็พิสูจน์แล้วว่าสติปัญญาและพรสวรรค์ของเขายังอยู่
จะปล่อยให้เวินเฟิงเหมียนมีชีวิตรอดไปเข้าห้องวิจัยไม่ได้เป็นอันขาด
คุณนายจี้ได้ยินเสียงก็วิ่งออกมาทันที สีหน้าซีดลงเล็กน้อย “พวกแกคิดจะทำอะไร”
“คุณนายจี้ ก็แค่มาถามไถ่ไปตามประสาครับ” ยังถือว่าชายวัยกลางคนสุภาพกับเธอ “ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ พวกเราจะพาคนกลับมาส่งอย่างปลอดภัยครับ”
คุณนายจี้โมโหจนตัวสั่น “พวกแกโกหก!”
ตอนนั้นที่การทดลองบนเกาะล้มเหลว จี้อี้หางก็ถูกเอาตัวไปแบบนี้
พอกลับมาได้ก็สภาพร่อแร่
“ไม่มีคนทรยศอะไรทั้งนั้น” อิ๋งจื่อจินกดตัดสายในโทรศัพท์แล้วยืนขึ้น “และก็ไม่มีใครต้องถูกจับ”
“เทพอิ๋ง” เห็นได้ชัดว่าจี้หลีเคยได้ยินจี้อี้หางกับคุณนายจี้พูดถึงคนพวกนี้มาก่อนแล้ว เธอจับอิ๋งจื่อจินไว้ “อย่าไปเถียงพวกเขา ที่นี่มีจอมยุทธ์”
คนที่ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นต้นยังสามารถล้มนักเทควันโดสายดำได้ในหมัดเดียว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์สองคนที่อยู่ข้างกายชายวัยกลางคนที่ฝึกมาแล้วอย่างน้อยสิบปี
จี้หลีเข้าไปอยู่ในกลุ่มแฟนคลับแล้วถึงรู้ว่าอิ๋งจื่อจินก็มีทักษะป้องกันตัวที่ใช้ได้
แต่คนทั่วไปก็เทียบกับจอมยุทธ์ไม่ได้จริงๆ
จี้หลีกลัวว่าอิ๋งจื่อจินจะไม่เคยได้ยินเรื่องจอมยุทธ์จึงพูดเสริม “พวกเขาฆ่าคนได้จริงๆ นะ”
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ
เธอเงยหน้า ส่ายหน้าเล็กน้อยไปทางด้านหนึ่ง
จี้หลีสังเกตเห็นท่าทางของเธอ “เทพอิ๋ง มองอะไรเหรอ”
อิ๋งจื่อจินละสายตา “เปล่า เมื่อยคอน่ะ เลยขยับหน่อย”
“อ่อ ฉันรู้จักเธอ คนที่สอบได้อันดับหนึ่ง แชมป์ไอเอสซี เก่งมาก รุ่นเด็กในตระกูลจี้ก็ไม่มีใครที่วัยเท่าเธอสามารถทำผลงานอันทรงเกียรติในระดับโลกแบบนี้ได้” ชายวัยกลางคนหันมามองอิ๋งจื่อจิน พูดกึ่งยิ้ม “แต่น่าเสียดายมาก ต่อให้มีตระกูลมู่ ตระกูลเนี่ย และตระกูลตี้อู่ร่วมกันหนุนหลังเธอ พวกเขาก็มายุ่งเรื่องภายในตระกูลจี้ไม่ได้อยู่ดี”
พวกเขาไม่กลัวตระกูลมู่กับตระกูลเนี่ย
ถ้าเป็นคนของบ้านเก่าแก่ตระกูลตี้อู่ พวกเขายังจะถอยให้หนึ่งก้าว
อย่างไรเสียคนพวกนั้นต่างหากที่มีพรสวรรค์ทางด้านพยากรณ์และสืบทอดตระกูลตี้อู่ต่อไป
พวกลูกหลานตระกูลตี้อู่กลุ่มนั้นที่แยกตัวออกมา ถึงแม้จะเป็นที่รู้จักในโลกภายนอก แต่ก็แค่กลุ่มคนธรรมดา
ตระกูลจี้แห่งตี้ตูพึ่งพาโลกจอมยุทธ์ อีกทั้งยังมีการติดต่อกับวงการวิจัยในยุโรป
ถ้าจะให้นับรวมจริงๆ ตระกูลมู่กับตระกูลเนี่ยก็ยังไม่พอ
“ศูนย์ในส่งคำสั่งมาด้วยตัวเอง” ชายวัยกลางคนไม่มองอิ๋งจื่อจินอีก หยิบกระดาษสีขาวออกมา บนนั้นมีตราประทับสีแดง “เวินเฟิงเหมียน อย่าคิดว่าเปลี่ยนแซ่ ออกไปจากตระกูลจี้นานขนาดนี้ จะไม่ต้องทำตามกฎของตระกูลจี้แล้ว”
จี้อี้หางสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
ห้องทดลองของตระกูลจี้มีเยอะมาก แต่ศูนย์วิจัยมีแค่หนึ่งเดียว
แบ่งเป็นศูนย์นอกกับศูนย์ใน
ศูนย์ในต่างหากที่มีอำนาจอย่างแท้จริง
การลงมือปฏิบัติการต่างๆ ของตระกูลจี้ล้วนมีการอนุญาตมาจากศูนย์ใน
ถ้าศูนย์ในออกคำสั่งมาจริง แบบนั้นก็เรื่องใหญ่แล้ว
ตราบใดที่เป็นคนตระกูลจี้ก็ต้องทำตามคำสั่งของศูนย์ใน
“ต่อให้เป็นคนทรยศก็ต้องมีเหตุผลหรือเปล่า” จี้อี้หางแค่อยากหัวเราะ “เรื่องตอนนั้นจะโทษเฟิงเหมียนไม่ได้ หรือจี้อี้หยวนก็ควบคุมศูนย์ในได้ด้วยงั้นเหรอ”
ชายวัยกลางคนสีหน้าขรึมลง แววตาเกรี้ยวกราด “จี้อี้หาง ระวังคำพูดด้วย”
หากถูกใส่ความแบบนั้น คนที่ทรยศก็คือจี้อี้หยวนแล้ว
“เวินเฟิงเหมียน แกเป็นนักวิจัยอันดับหนึ่ง ทำการทดลองล้มเหลว แกต้องรับผิดชอบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีคนตายไปตั้งมากขนาดนั้น แต่แกกลับหนีไป แกไม่ควรสำนึกผิดหรือไง”
“คนที่ลงทุนให้ห้องทดลองบนเกาะไม่ได้มีแค่ตระกูลจี้” เวินเฟิงเหมียนใจเย็นมาก “ยุโรปกับมหาวิทยาลัยตี้ตูก็ลงทุนด้วย การทดลองของฉันล้มเหลวได้ยังไง พวกแกรู้ดี”
“อย่าพูดมาก” ชายวัยกลางคนสีหน้าเปลี่ยน ไม่อยากพูดให้มากความอีก “เอาตัวไป”
จอมยุทธ์สองคนเดินขึ้นหน้า ยกมือจะจับบ่าเวินเฟิงเหมียน
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะแตะถูกตัวเวินเฟิงเหมียน ทันใดนั้นแขนก็สั่น ล้มลงไปทั้งแบบนั้น ทั้งยังเป็นตะคริวบนพื้นอย่างต่อเนื่อง
จี้หลีตกใจ รีบถอยหลัง “พวกเขาเป็นอะไรไป”
อิ๋งจื่อจินถกแขนเสื้อ พูดอย่างไม่สนใจ “ไม่รู้สิ เป็นลมบ้าหมูมั้ง”
เธอไม่ได้ลงมือ ก็แค่พกสมุนไพรชนิดหนึ่งติดตัวมาด้วย พร้อมทั้งกำจัดกลิ่นหอมทิ้ง
สมุนไพรชนิดนี้จะเล่นงานแค่จอมยุทธ์ระดับต่ำ ทำให้กำลังภายในของพวกเขาปั่นป่วน รวมศูนย์ไม่ได้
ถ้าไม่เดินลมปราณให้ทันเวลาก็มีความเป็นไปได้สูงที่กำลังภายในจะเสียหายหมด
ถึงแม้ชายวัยกลางคนจะมีจอมยุทธ์อยู่ข้างกาย แต่กลับไม่ได้รู้เรื่องจอมยุทธ์ดีนัก
เขามองจอมยุทธ์สองคนที่ล้มอยู่บนพื้น ตัวเกร็ง
ยังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะไหวตัวทัน ศีรษะของเขาก็ถูกลูกเตะกลางอากาศ ถูกเตะกระเด็นออกนอกห้องรับแขก
แรงนั้นมหาศาลมาก ชายวัยกลางคนจุกอก จากนั้นก็หมดสติไป
อิ๋งจื่อจินมองจี้หลีที่ชักเท้ากลับ
“ฮี่ๆ” จี้หลีลูบศีรษะ พูดด้วยความเขินอาย “ฉันแรงเยอะ แถมยังเคยเรียนวิชาป้องกันตัว”
“พวกเราให้จี้หลีเรียนวิชาป้องกันตัวเอาไว้บ้าง” คุณนายจี้กอดจี้หลี เม้มริมฝีปาก “ยุ่งยากแล้ว พวกเขาต้องมาอีกแน่นอน”
ไม่ว่าจี้อี้หยวนจะใช้วิธีไหนทำให้ศูนย์ในออกคำสั่งได้ พวกเขาก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ” อิ๋งจื่อจินเดินขึ้นหน้า เขี่ยจอมยุทธ์สองคนออกไปอย่างใจเย็น
จากนั้นก็นั่งยอง เริ่มเอาไม้แขวนเสื้อล้วงกระเป๋ากางเกงของชายวัยกลางคนกับจอมยุทธ์สองคนนั้น
จี้หลีไม่เข้าใจ “เทพอิ๋งทำอะไรอยู่เหรอ”
“เอาเงินมาซื้อประตู”
“…”
…
อีกด้านหนึ่ง
บ้านตระกูลเนี่ย
“คุณชายครับ” อวิ๋นซานทำความเคารพเสร็จก็เกาหัว “คนตระกูลจี้ไปที่นั่นแล้วครับ แต่สลบหมด น้องสามยังดูอยู่ที่นั่น ผมกลับมารายงานก่อนครับ”
พวกเขาป้องกันตระกูลจี้มาตลอด
พูดตามตรง พวกจอมยุทธ์ที่ตระกูลจี้ในโลกจอมยุทธ์ส่งมา ส่วนใหญ่เป็นระดับฝึกหัด
จอมยุทธ์ก็มีการแบ่งระดับ โดยแบ่งตามจำนวนปีที่ฝึกและความเก่งกาจ
ระดับฝึกหัดเป็นกลุ่มที่มีระดับต่ำสุด
ยังฝึกได้ไม่ถึงห้าปีด้วยซ้ำ
อวิ๋นซานรู้สึกว่าเขาใช้มือเดียวก็สามารถฆ่าจอมยุทธ์ฝึกหัดสิบคนได้สบาย
ไม่รู้จริงๆ ว่าตระกูลจี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน
ฟู่อวิ๋นเซินพยักหน้า
เขาเหลือบมองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่แล้วกดรับ
“เจ้าหนุ่ม จื่อจินอยู่ข้างๆ หรือเปล่า” ผู้เฒ่าจงโทรหาอิ๋งจื่อจินไม่ติดเลยโทรหาฟู่อวิ๋นเซินด้วยความร้อนใจ “เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงโครมครามจากฝั่งจื่อจิน ต่อมาโทรศัพท์ก็ตัดไป ไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม”
“ไม่มีครับ” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม “ผมดูเธออยู่ ไม่ปล่อยให้ซนแน่นอนครับ”
“อ่อๆ” ผู้เฒ่าจงก็เชื่อ “ฉันได้ยินว่าคนในครอบครัวเฟิงเหมียนมาหาเขาแล้ว เป็นยังไงบ้าง”
ถึงแม้ตอนนั้นเวินเฟิงเหมียนจะทำการทดลองลับอยู่บนเกาะมาตลอด แต่ก็เคยออกมา ทั้งยังพักอยู่ในมหาวิทยาลัยตี้ตูหลายวัน
ตอนนั้นผู้เฒ่าจงไปมหาวิทยาลัยตี้ตูพอดี ถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าเวินเฟิงเหมียน
เพียงแต่เป็นเพราะตระกูลจี้ต้องเก็บรักษาความลับ เขาจึงไม่รู้จักตระกูลจี้
“ก็ดีครับ” ฟู่อวิ๋นเซินตอบทีละคำถาม “พวกเขากินข้าวกันอยู่ ครอบครัวลุงเวินดีกับเขามากครับ”
คราวนี้ผู้เฒ่าจงก็วางใจแล้ว กดวางสาย
“คุณชายครับ” อวิ๋นซานถามด้วยความระมัดระวัง “กล้าพูดแบบนั้นกับคุณอิ๋งไหมครับ”
“อืม ไม่กล้า” ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินหลุบลง ยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย “เธอเอาฉันอยู่หมัด”
อวิ๋นซาน “…”
…
บ้านตระกูลจี้
สุดท้ายชายวัยกลางคนก็กลับไปมือเปล่า ทั้งยังเสียจอมยุทธ์ไปสองคน ทำให้จี้อี้หยวนโมโหมาก
“เขามีพรสวรรค์จอมยุทธ์หรือไง” จี้อี้หยวนคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ “ถึงแม้จอมยุทธ์สองคนนี้จะไม่ได้เก่งมาก แต่ก็เป็นจอมยุทธ์เลยนะ”
มีแค่จอมยุทธ์เท่านั้นถึงจะสู้จอมยุทธ์ด้วยกันได้
ชายวัยกลางคนโดนลูกถีบของจี้หลี หัวยังมึนอยู่ “ขอโทษครับนายท่าน ผมไม่ทราบ”
“ไปจับอีกไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะดึงดูดความสนใจของผอ.ศูนย์ ส่งคนไปบอกเวินเฟิงเหมียนว่า เขาเข้าศูนย์วิจัยได้” จี้อี้หยวนสีหน้าเคร่งขรึม “แต่พวกเรามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”
“เอาโปรเจ็กต์นั้นที่ทำร่วมกับยุโรปให้เขา ถ้าเขาทำสำเร็จถึงจะทำการทดลองตอนนั้นต่อได้”
จี้อี้หยวนไม่ได้กุมอำนาจศูนย์ใน แต่พวกรองผู้อำนวยการต่างยืนอยู่ฝ่ายเขา
ผู้อำนวยการเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น ดูแค่ผลลัพธ์
ชายวัยกลางคนอึ้งไปเล็กน้อย “นายท่านหมายถึงโปรเจ็กต์ทดลองนั้นเหรอครับ”
เท่าที่เขารู้ โปรเจ็กต์นั้นขาดองค์ประกอบไปหลายอย่าง มันจะล้มเหลวอยู่แล้ว
และเมื่อล้มเหลวทางยุโรปก็จะเอาเรื่อง ตระกูลจี้รับผิดชอบไม่ไหว
ดังนั้นจึงไม่มีใครในตระกูลจี้กล้าไปแตะต้อง
จี้อี้หยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย ทำเสียงฮึดฮัด “ถูกต้อง”
ตระกูลจี้จำเป็นต้องมีคนรับผิดแทนเรื่องนี้
ในเมื่อเวินเฟิงเหมียนกลับมาแล้ว ถ้าไม่เลือกเขาจะเลือกใครได้