ตอนที่ 495 ฝีมือการต่อสู้ของอิ๋งจื่อจินได้นิยามใหม่
อิ๋งจื่อจินเหนี่ยวคันธนูเร็วมาก คนรอบตัวยังไม่ทันได้สังเกตอะไร
เบ็ตตี้ยังคงไม่แคร์ ไม่ขยับเขยื้อน
ตระกูลเบวินมีสนามม้า สนามยิงธนู และสนามฝึกสมรรถภาพทางร่างกายอื่นๆ อีกมากมาย เธอฝึกยิงธนูมาตั้งแต่เด็ก อย่างมากก็ทำได้แค่ยิงพร้อมกันสามดอก
คนจีนคนนี้ไม่รู้จักประมาณตนเลยจริงๆ กล้าเอาลูกธนูทั้งเจ็ดดอกในกระบอกมายิงหมด
เก่งขนาดนั้นเลยหรือไง
แต่เพียงชั่วพริบตาสีหน้าของเบ็ตตี้ก็เปลี่ยนไป จากที่เย้ยหยันกลายเป็นสะพรึงกลัว
ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล
ความเร็วของลูกธนูเจ็ดดอกนี้ดูแตกต่างออกไป!
เธอเคยฝึกยิงธนู รู้ว่าการควบคุมความเร็วและแรงมันยากขนาดไหน
ตอนที่เธอจงใจทำร้ายเซี่ยมั่นอวี่ก็ควบคุมแรงได้อย่างน่าอัศจรรย์
มิฉะนั้นลูกธนูดอกนั้นสามารถฆ่าเซี่ยมั่นอวี่ได้
เบ็ตตี้เหงื่อแตกกลางหน้าผาก ขณะที่เธอคิดจะหลบก็ไม่ทันเสียแล้ว
“สวบ!”
ลูกธนูสี่ดอกฝ่าแรงลมพุ่งเข้าที่ข้อมือและข้อเท้าซ้ายขวาของเธอ
แรงมหาศาลทำให้เธอเซถอยหลัง ไม่มีแม้แต่เวลาตั้งตัว
“พลั่ก” ล็อกเบ็ตตี้ไว้กับผนังประกอบฉากที่อยู่ด้านหลัง
เวลานี้ลูกธนูอีกสามดอกถึงตามมา
ดอกแรกปักเข้าที่ท้อง
ดอกที่สองเสียบทะลุปอด
ดอกที่สามเฉียดหัวใจไปหนึ่งนิ้ว ตรงตำแหน่งเดียวกับเซี่ยมั่นอวี่
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแผ่ซ่านทั่วทั้งร่างกาย เบ็ตตี้อ้าปากกระอักเลือดอย่างควบคุมไม่ได้
สลบไปในทันที
“…”
ทั่วทั้งกองถ่ายต่างเงียบสงัด
ผู้กำกับแข้งขาอ่อนแรง ทรุดลงไปนั่งบนพื้น
โปรดิวเซอร์ก็มองอิ๋งจื่อจินด้วยความตะลึง แฮมเบอร์เกอร์ในมือชักไม่อร่อยแล้ว
อิ๋งจื่อจินคืนคันธนูให้เลขา ลมหายใจปกติ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า พูดอย่างใจเย็น
“ไปหาเปลมาหามออก สถานที่ถ่ายทำเลอะเลือดมันไม่มงคล”
เลขาสาวรีบหันไปรับคันธนู อึ้งเล็กน้อย
เธอค่อยๆ หันไปเงียบๆ มองเบ็ตตี้ เบวินที่ถูกล็อกกางแขนกางขาอยู่บนกำแพง เธอหยุดหายใจชั่วขณะอย่างไม่รู้ตัว
จนถึงวันนี้ ในที่สุดเธอก็ได้นิยามใหม่สำหรับความสามารถในการต่อสู้ของบอสเธอ
เจ็ดธนูพุ่งพรวด!
ขนาดละครกำลังภายในยังไม่กล้าแสดงแบบนี้เลย
ถึงว่า ทำไมก่อนมาบอสให้เตรียมเปลหามเอาไว้
เลขาสาวแสยะยิ้ม “เอาขึ้นเปล”
สตาฟสองคนของชูกวงมีเดียที่ติดตามมาด้วยรีบขนเปลหามเข้าไป
พวกเขาลำบากใจ “บอสครับ เอาลงยังไงครับ”
อิ๋งจื่อจินมองสองคนนั้น
เลขาสาวรีบพูดด้วยสีหน้ารังเกียจทันที “ปกติพวกนายเคยถอดหน้าต่างห้องทำงานไม่ใช่เหรอ เอาลงแบบนั้นแหละ”
สตาฟสองคน “…”
พวกเขาเลยต้องใช้วิธีหมุนไขควงเริ่มเอาตัวเบ็ตตี้ลงมา
“คุณหนู!” ผู้จัดการส่วนตัวของเบ็ตตี้วิ่งมาจากหลังเวที แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“พวกคุณกล้าทำร้ายคุณเบ็ตตี้เลยเหรอ อยากเป็นศัตรูกับตระกูลเบวินหรือไง!”
เบ็ตตี้ เบวินวางตัวกร่างมากมาตลอดในวงการบันเทิง เพราะนามสกุลเบวิน
แม้แต่กับพวกรุ่นพี่ในวงการละครและภาพยนตร์ก็ไม่กล้าล่วงเกินตระกูลเบวิน ทำได้เพียงอดทนไว้
พอผู้จัดการส่วนตัวมาถึง ในที่สุดผู้ช่วยของเบ็ตตี้ก็มีที่พึ่งพิง มือสั่นยื่นโทรศัพท์มือถือให้
“ผมอัดวิดีโอไว้ เธอจงใจฆ่าคน ไม่ต้องให้ตระกูลเบวินออกหน้าชาวเน็ตก็รุมประณามเธอจนตายได้ครับ”
ผู้จัดการส่วนตัวดูคลิปจบก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก “โพสต์ ต้องโพสต์ โพสต์ให้ทั่วเน็ต พวกคุณรอล่มจมได้เลย!”
“อ่อ” อิ๋งจื่อจินเช็ดมือ พูดเสียงเย็นชากึ่งยิ้ม “ฉันรู้จักประธานสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนาม ลองดูนะว่าคลิปนี้ของพวกคุณจะโพสต์ทั่วเน็ตได้หรือเปล่า”
คำพูดทุกอย่างถูกกลืนกลับไป
เล่นงานกลับด้วยวิธีของฝ่ายตรงข้าม
“จงใจฆ่าคนเหรอ” เลขาสาวพูดเสียงแข็ง “ก็เตรียมเปลหามไว้ให้แล้วไม่ใช่หรือไง ทำไม ชีวิตของเธอเป็นชีวิต แต่ชีวิตของราชินีภาพยนตร์เซี่ยไม่ใช่หรือไง”
ผู้จัดการส่วนตัวยืนตัวแข็ง แต่ภายในใจรู้สึกว่าน่าตลก
เซี่ยมั่นอวี่เป็นแค่ราชินีภาพยนตร์ในวงการบันเทิง เทียบกับคุณหนูตระกูลเบวินได้เหรอ
รู้จักกับประธานสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนามงั้นเหรอ
ชื่อสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนาม เว้นเสียแต่พวกแฮกเกอร์ที่ทำงานอย่างถูกต้องถึงจะเปิดเผยตัวตน แฮกเกอร์คนอื่นๆ ปิดบังตัวตนหมด ไม่มีใครรู้
มีคนจำนวนไม่น้อยคาดเดาว่าประธานสมาพันธ์ก็คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไม่มีตัวตน
อย่างไรเสียก็ไม่เคยมีใครเจอตัว
“วางใจได้” อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “ฉันมั่นใจ ต่อให้ไม่รักษา ในสามวันเธอไม่ตายหรอก”
อิ๋งจื่อจินขยำกระดาษแล้วโยนทิ้งถังขยะ “ไปเถอะ”
เลขาสาวเดินตาม
ผู้จัดการส่วนตัวกัดฟัน มีก้อนเลือดอุดอยู่ตรงลำคอ
“เร็วเข้า รีบส่งคุณหนูเบ็ตตี้ไปโรงพยาบาล ติดต่อตระกูลเบวิน จะปล่อยคนจีนที่ทำตัวเหิมเกริมพวกนี้ไม่ได้เป็นอันขาด!”
ทุกคนพากันออกไปจากตรงนั้น สถานที่ถ่ายทำเหลือเพียงความว่างเปล่า
ผู้กำกับเช็ดเหงื่อ จับสองขาที่อ่อนแรงของตัวเอง ทันใดนั้นดวงตาก็เป็นประกาย
เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นทันที กระซิบถามโปรดิวเซอร์ที่ยังตะลึงไม่หาย น้ำเสียงหยั่งเชิง “พีดี นายว่าประธานอิ๋งเหมาะกับบทราชินีเอลฟ์สุดๆ ไปเลยใช่ไหม”
ในเรื่องราชินีเอลฟ์มีบทนักแสดงหญิงสมทบคนหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นก็คืออดีตราชินีเอลฟ์
ฉากไม่เยอะ แต่เนื่องจากตัวละครมีความสมบูรณ์แบบเกินไป บริษัทภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลพิกเจอร์สก็เลยยังหานักแสดงที่เหมาะสมไม่ได้
สุดท้ายพวกเขาจึงตัดบทนี้ทิ้งด้วยความปวดใจ
แฟนคลับเวอร์ชันแอนิเมชันต่างเข้าใจ อย่างไรเสียถ้าทำออกมาไม่ดี ไม่สู้ไม่ถ่ายดีกว่า
ในที่สุดโปรดิวเซอร์ก็ได้สติกลับมา สูดลมหายใจเข้าลึก มือยังสั่นอยู่ “เลิกฝันกลางวันเถอะน่า”
ผู้กำกับเกาหัว “หา? ตั๋วภาพยนตร์ทั่วโลกไม่พอขายแน่ ฉันมั่นใจว่าครองแชมป์บ็อกซ์ออฟฟิศชัวร์! ไม่ได้การ ฉันต้องไป ฉันจะ…”
มือข้างหนึ่งของโปรดิวเซอร์ปิดปากผู้กำกับไว้ “หุบปากไปเถอะ”
อยากตายก็อย่าพ่วงเขาไปด้วย
…
ระหว่างทาง
“บอสคะ บอสรู้จักประธานสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนามจริงเหรอคะ”
“หน้าเด็ก เสียงใส น่ารักพอสมควร”
เลขาสาว “…”
นี่มัน…ลักษณะของเด็กน้อยหรือเปล่า
“ส่งคลิปเต็มให้ด้วย” อิ๋งจื่อจินพูด “ฉันจะให้คนโพสต์ลงเน็ตทันที”
เลขาสาวเข้าใจ ส่งไฟล์คลิปให้ทันที
พออิ๋งจื่อจินได้รับก็กดหน้าต่างสนทนากับฉินหลิงเยี่ยนตามความเคยชิน กดพิมพ์ข้อความ ต้องการใช้แรงงานเขา
จนกระทั่งเธอนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ จึงกดออกจากหน้าต่างสนทนาแล้วกดเข้าอีกอัน
[ผู้บัญชาการ รบกวนหน่อย]
ฟู่อวิ๋นเซินตอบกลับเร็วมาก ส่งมาเป็นข้อความเสียงอย่างอารมณ์ดี
“ได้เลยเด็กน้อย มีพัฒนาการ ในที่สุดก็รู้จักมาหาพี่ชายแล้ว พี่ชายดีใจ”
ไม่กี่วินาทีถัดมาข้อความเสียงข้อความที่สองก็เข้ามาอีก
“พี่ชายไปถึงยุโรปวันมะรืน ของขวัญเป็นไงบ้าง ใช้สบายไหม”
อิ๋งจื่อจิน “…”
เธอไม่อยากสนใจเขา
ส่วนฉินหลิงเยี่ยนที่อยู่อีกฟากของยุโรปกำลังจ้อง ‘อีกฝ่ายกำลังพิมพ์ข้อความ’ อยู่ห้าวินาทีด้วยความตื่นเต้น
แต่ทันใดนั้นก็หายไป เขากลับกลัวยิ่งกว่าเดิม
[เจ๊จะบอกอะไรผมเหรอ]
[เอ่อ ช่วงนี้ผมเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายมากนะ ไม่ได้ทำอะไรเลย]
สิบวินาทีต่อมาอิ๋งจื่อจินก็ตอบ
[ชินกับการเรียกใช้นาย แต่ยังดีที่เบรกทัน]
ฉินหลิงเยี่ยน “…”
แรงงานกรรมกรไม่มีสิทธิ์ใดๆ
เขาหันไปพิมพ์ระบายกับฟู่อวิ๋นเซิน
[เหล่าฟู่ ช่วยแนะนำสาวให้หน่อยได้ไหม ฉันก็อยากมีสิ่งมีชีวิตน่ารักๆ ที่เรียกว่าแฟนบ้าง]
รออยู่นานก็ไม่มีการตอบกลับ ฉินหลิงเยี่ยนเลยส่งอีกหนึ่งข้อความ
[เหล่าฟู่(เขินอาย)]
คราวนี้มีการตอบกลับแล้ว แต่เป็นเครื่องหมายตกใจสีแดง
ฉินหลิงเยี่ยน “…”
ไอ้XXX มันลบเพื่อนเฉย
…
ด้วยทักษะทางด้านคอมพิวเตอร์อันยอดเยี่ยมของฟู่อวิ๋นเซิน ไม่นานคลิปฉบับสมบูรณ์ที่เซี่ยมั่นอวี่บาดเจ็บจนสลบก็แพร่ในเวยปั๋วและเว็บนอกทั้งหมด
อีกทั้งยังติดชาร์ตคำค้นของแต่ละเว็บ ความนิยมมีแต่ขึ้น ไม่มีลง
ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนต่างรุมด่ากันระงม ยกเว้นแฟนคลับของเบ็ตตี้
ทีมประชาสัมพันธ์ของเบ็ตตี้ตามลบคลิปเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ลบไม่หมด
[อย่างนี้เรียกเผลอเหรอ นี่มันจงใจฆ่าคนหรือเปล่า]
[ได้ยินว่า ‘คุณหนูใหญ่’ คนนี้ก็เข้าโรงพยาบาลแล้ว อวยพรแล้วกัน ไม่ต้องรีบออกมานะ]
พ่อของเบ็ตตี้มาถึงโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เป็นชายวัยกลางคนอายุเกินห้าสิบปี
เขามองเบ็ตตี้ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ โมโหอาละวาด “บังอาจ มันจะมากเกินไปแล้ว!”
ตระกูลเบวินร่ำรวยมากเป็นที่รู้กัน
แต่นั่นก็แค่สายตระกูลที่เป็นสายตรงเท่านั้นที่กุมทรัพย์สมบัติของตระกูลเบวินอยู่ในมือ
สายที่แตกออกมาอย่างพวกเขาก็ได้แค่เงินส่วนแบ่งเล็กน้อยประจำปีที่ให้ตามผลงาน เงินที่มาถึงมือมีน้อยมาก
แต่ชายวัยกลางคนคนนี้ไม่เหมือนกัน เพราะเบ็ตตี้อยู่ในวงการบันเทิงมีรายได้สีเทาอยู่ไม่น้อย สายของพวกเขาจึงร่ำรวยมาก
แต่ตอนนี้เบ็ตตี้กลายเป็นสภาพนี้ ยังจะไปหาเงินในวงการบันเทิงได้ที่ไหนอีก
ชายวัยกลางคนหน้าบึ้ง “ไหนล่ะ คนที่มันทำร้ายเบ็ตตี้จนเป็นแบบนี้ ฆาตกรมันอยู่ไหน”
ผู้จัดการส่วนตัวเหงื่อแตก “คุณเบวินครับ นะ น่าจะอยู่ที่ห้องผู้ป่วยด้านข้าง พวกเขาก็มีคนป่วยอยู่ที่นี่”
“ไปหา” ชายวัยกลางคนสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย “ฉันจะทำให้หายไปจากวงการบันเทิงซะ”
ผู้จัดการส่วนตัวรีบออกไป
ชายวัยกลางคนเดินตาม
อิ๋งจื่อจินกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยของเซี่ยมั่นอวี่ “หาสมุนไพรได้ครบแล้วเหรอ”
“ขาดแค่เชื้อไฟบริสุทธิ์แล้ว” ริต้าดีใจมาก “พวกทหารรับจ้างบอกว่าช่วงนี้เดวิลอาจมาที่โลกใต้ดิน รอแค่เธอลงมือแล้วล่ะ”
เดิมทีนักล่าที่เป็นนักแม่นปืนต่างถนัดฆ่าคน แต่นักแม่นปืนคนไหนก็ตามที่เคยรับภารกิจไป ต่างไม่เคยฆ่าเดวิลได้สำเร็จ
แต่นักปรุงยาพิษแทบจะกำจัดคนได้ทุกอาชีพ
อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเบาๆ “ได้”
“คนนี้ครับ” ผู้จัดการส่วนตัวชี้อิ๋งจื่อจินแล้วฟ้องทันที “หมอบอกว่าคุณหนูเบ็ตตี้อาจต้องนอนเป็นผัก”
“หึ เธอเองเหรอ” ชายวัยกลางคนข่มความโมโหไว้ไม่อยู่ “รู้จักตระกูลเบวินใช่ไหม อย่าคิดว่าตัวเองเป็นบอสใหญ่ในวงการบันเทิง พวกเราจัดการเธอได้สบายๆ”
สี่ตระกูลมหาเศรษฐีของยุโรปถ้าต้องการให้คนที่ไร้อำนาจไร้อิทธิพลตายไปอย่างเงียบๆ ก็ง่ายเหลือเกิน
อิ๋งจื่อจินไม่สนใจ ยังคงคุยกับริต้าต่อ
“จะตายอยู่แล้วยังจะคุยโทรศัพท์อีกเหรอ” ชายวัยกลางคนแสยะยิ้มต่อเนื่อง “คุยกับใคร ได้ เดี๋ยวทหารรับจ้างของพวกเราก็มาแล้ว เรียกให้เพื่อนมาเก็บศพสิ”
ในที่สุดอิ๋งจื่อจินก็เหลือบมองเขา จับโทรศัพท์มือถือ พูดอย่างใจเย็น “คุณหนูใหญ่ของพวกคุณ”