ตอนที่ 513 เจอของแข็งเข้าแล้ว! เทพอิ๋งสุดยอด
อธิการบดีมหาวิทยาลัยตี้ตู!
นักศึกษาหญิงมือสั่น สมุดปฐมนิเทศในมือตกลงบนพื้น
นักศึกษาส่วนใหญ่เกรงกลัวตำแหน่งอธิการบดีมาก
ถึงแม้ในพิธีปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ เฉินจวิ้นเซียนเป็นชายสูงวัยที่ดูใจดี อ่อนโยนกับพวกนักศึกษา แต่พวกเขาก็ยังกลัวอยู่ดี
ก็มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่ตั้งใจจำเบอร์มือถือของอธิการบดี เพราะไม่กล้าโทรอยู่แล้ว
“ว้าว สุดยอด” รูมเมทดวงตาเบิกโพลง “เทพอิ๋งสุดยอดไปเลย อัญเชิญอธิการบดีของพวกเรามาได้เลยเหรอ”
สถานะของเฉินจวิ้นเซียนในประเทศจีนพอๆ กับสถานะของเกอร์เวนในระดับโลก
ความรู้ของเขาสูงมาก ตีพิมพ์บทความไว้มากมาย หลายตระกูลใหญ่รวมถึงตระกูลจี้ต่างก็ให้ความเคารพ
แต่อิ๋งจื่อจินแค่โทรกริ๊งเดียวก็ขอความช่วยเหลือจากเฉินจวิ้นเซียนได้
มิน่าสีหน้าของเหยียนอันเหอถึงเปลี่ยนไปทันที
ข่าวลือในหอพักมหาวิทยาลัยไปเร็วเสมอ บอกต่อๆ กันไป
ในเวลาแค่ไม่กี่นาทีได้ปรากฏกระทู้ที่เกี่ยวข้องบนเว็บบอร์ดมหาวิทยาลัยตี้ตู
[รู้กันแล้วใช่ไหมว่าวันนี้เบอร์ที่เทพอิ๋งให้เหยียนอันเหอโทรไปเป็นเบอร์ของใคร มีรูปประกอบ!]
ด้านล่างแนบมาหลายรูป เป็นรูปถ่ายเบอร์ติดต่อเฉินจวิ้นเซียนที่อยู่ในสมุดปฐมนิเทศ
ส่วนรูปอื่นๆ เป็นตอนเหยียนอันเหอหน้าซีดหลังโทรเสร็จ
ถ่ายจังหวะดีมาก ได้มุมตอนเหยียนอันเหอสีหน้าบิดเบี้ยวที่สุด
[อื้อหือ ขำเป็นบ้า เหยียนอันเหอเจอของแข็งเข้าแล้ว เดิมทีนางก็ชอบฟ้องพวกผู้บริหารระดับสูงอยู่แล้ว ทรมานคนมามาก ฉันต้องขอไปทำความรู้จักรุ่นน้องอิ๋งคนนี้หน่อยแล้ว ที่ช่วยล้างแค้นให้ปีสองของพวกเรา]
[เหยียนอันเหอคนคนนี้ จะบอกว่าเก่งนางก็เก่งจริงนะ ได้ทุนการศึกษาหลายหมื่นทุกปี แถมยังเป็นที่หนึ่งของคณะแพทย์ ได้คะแนนเต็ม แต่นางชอบวางอำนาจ อาจเพราะตัวเองเป็นรุ่นพี่ คิดว่าสูงส่ง เลยทำกับพวกน้องใหม่แบบนั้น]
[อะไรคือเพราะเป็นรุ่นพี่ พอเถอะ หลีหานเป็นรุ่นพี่ที่คณะฉัน ปีสามสาขาคอมพิวเตอร์ นั่นก็ที่หนึ่งของชั้นปีเหมือนกัน คะแนนเต็มเหมือนกัน แถมยังเป็นหัวหน้าชมรมโต้วาที รองหัวหน้าชมรมวิทยาศาสตร์ เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยตี้ตูออกไปร่วมแข่งโต้วาทีบ่อยๆ ได้เงินรางวัลตั้งเท่าไร อ้อ ก่อนหน้านี้บทความของรุ่นพี่หลีได้ตีพิมพ์ลงวารสารเอสซีไอด้วย ฉันว่าตอนนี้เหยียนอันเหอเหมือนจะยังไม่เคยลงบทความเลยเหรือเปล่า]
[รุ่นพี่หลีเหมือนเทพอิ๋ง ไม่ใช่คน จำปีที่แล้วที่รุ่นพี่หลีแข่งโต้วาทีกับทีมมหาวิทยาลัยเฮลก้าได้หรือเปล่า ได้ฉายานักโต้วาทีหญิงที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ใช่เล่นๆ นะ]
[ซี้ด ฉันล่ะสงสัยจริงๆ เหยียนอันเหอจิตใจคับแคบขนาดนี้ ต่อไปเป็นหมอจะมีจรรยาบรรณแพทย์หรือเปล่า]
[กลัวแล้วๆ สั่นไปทั้งตัว]
รูมเมทของหลีหานอ่านคอมเมนต์พวกนี้ขณะที่มาร์คหน้าอยู่
“ว้าว หานหาน เธอตกเป็นประเด็นบนเว็บบอร์ดพร้อมเหยียนอันเหออีกแล้ว” ดวงตาเปล่งประกาย
“ครั้งนี้ชมเธอทั้งนั้น ไม่ง่ายเลยนะ ตอนปีหนึ่งเธอโดนด่าอยู่ตั้งนานเพราะเหยียนอันเหอ”
หลีหานขมวดคิ้ว กลุ้มใจ ไม่พูดอะไร
“หานหาน?” รูมเมทหันหน้าขาว “คิดอะไรอยู่”
“ก็ศาสตราจารย์เซวียนั่นแหละ บอกฉันว่า อยากให้ฉันดึงรุ่นน้องอิ๋งมาเข้าคณะเราให้ได้” หลีหานทำหน้าเซ็ง “เธอว่าฝีปากอย่างฉันที่ฝึกโต้วาทีมาสองปีจะโน้มน้าวรุ่นน้องอิ๋งได้หรือเปล่า”
เซวียกั๋วหวาศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์สาขาคอมพิวเตอร์ท่านนี้อยากแย่งตัวมาตลอด
“ไม่ได้หรอก” รูมเมทตอบโดยไม่ต้องคิด พูดอย่างแน่วแน่
“ฉันไปดูคลิปตัดต่อตอนแข่งไอเอสซีมาแล้ว รุ่นน้องอิ๋งอาจพูดแค่คำเดียวก็หยุดอาขยานของเธอได้”
“ฉันก็ว่างั้น” หลีหานเครียด
“อีกอย่างฉันโต้วาทีจนชินแล้ว บางครั้งห้ามตัวเองไม่ให้ย้อนถามอีกฝ่ายไม่ได้”
รูมเมท “…นี่ก็คือสาเหตุที่เธอหาแฟนไม่ได้ไงล่ะ”
โหดไป๊
…
เช้าวันต่อมา
อิ๋งจื่อจินไปมหาวิทยาลัยตี้ตูอีก
แต่เธอไม่ได้ไปเข้าเรียน ตรงไปห้องทดลองชั้นยอดที่มหาวิทยาลัยตี้ตูเพิ่งสร้างใหม่
ภายในห้องทดลองยังมีพวกศาสตราจารย์คนอื่นอีกนอกจากจั่วหลี
“นักศึกษาอิ๋ง ตอนนี้เธอมีตำแหน่งเป็นรองศาสตราจารย์ของสาขาฟิสิกส์ อาจารย์ได้ยินมาว่าเธอได้ร่วมวิจัยกลศาสตร์ควอนตัมกับศาสตราจารย์เกอร์เวนด้วย” จั่วหลีดันเอกสารไปให้ “นี่เป็นหัวข้อที่ทางศูนย์ฟิสิกส์สากลส่งมา เธอเลือกเขียนบทความสักหัวข้อนึงนะ”
พอได้ยินแบบนี้อิ๋งจื่อจินก็เงียบ
ผ่านไปสักพักเธอถึงพูดขึ้น “อยู่ๆ หนูก็อยากไปอยู่สาขาคอมพิวเตอร์แล้วค่ะ”
จั่วหลีกำลังคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมยังไงให้อิ๋งจื่อจินตีพิมพ์บทความเร็วที่สุด พอได้ยินแบบนี้เขาก็เอามือทาบอกทันที เกือบขิต
“ว่าไงนะ เธอบอกว่าอยากไปอยู่สาขาคอมพิวเตอร์เหรอ!”
สาขาคอมพิวเตอร์กับสาขาฟิสิกส์ของพวกเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตเหมือนน้ำกับไฟ!
ไหนจะตาแก่เซวียกั๋วหวาที่ให้นักศึกษาของตัวเองออกมาช่วยแย่งตัว หน้าไม่อาย
“ค่ะ ไปดูพวกเขา…” อิ๋งจื่อจินหยุดเล็กน้อย
“คิดค้นคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนคลื่นสมองออกมาเป็นข้อความได้”
จากนั้นเธอคิดอะไรคอมพิวเตอร์ก็จะสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นข้อความได้
จั่วหลี “…”
เขารู้ว่าอิ๋งจื่อจินขี้เกียจ นึกไม่ถึงว่าจะขี้เกียจได้ขนาดนี้
ถึงแม้เขาเองก็อยากได้คอมพิวเตอร์แบบนั้นด้วยก็ตาม
“ล้อเล่นค่ะ” อิ๋งจื่อจินหลุบตาลง หัวเราะเบาๆ “หัวข้อพวกนี้หนูเขียนได้หมดค่ะ”
อย่างไรเสียพวกงานวิจัยวิชาการก็จะขาดบทความตีพิมพ์ไม่ได้
เธอต้องเจอสิ่งที่ฝืนใจยิ่งกว่าเขียนเรียงความตามคาด
“อ่อๆ” หัวใจของจั่วหลีกลับมาเต้นแล้ว “ช่วงนี้เธอยังยุ่งอยู่หรือเปล่า ทางตระกูลจี้เป็นไงบ้าง”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “ยังขาดอีกหลายการทดลองค่ะ”
เวินเฟิงเหมียนก็จะสามารถติดสิบอันดับแรกของชาร์ตผลงานได้แล้ว
เนื่องจากการทดลองนั้นที่ทำบนเกาะมีเงื่อนไขเรื่องกำลังคนและทรัพยากรพอสมควร จึงยังไม่ได้เริ่มอีกครั้ง
“ได้ งั้นอาจารย์จะไม่เร่งเธอ” จั่วหลีพยักหน้า “เอาเป็นว่าเธอเขียนให้เสร็จก่อนเดือนกุมภาปีหน้าเป็นพอ วันนี้ไม่มีธุระอะไรแล้วใช่ไหม”
“มีค่ะ ไปใช้กำลัง”
จั่วหลี “?”
…
บ่ายสี่โมง อิ๋งจื่อจินออกจากมหาวิทยาลัยตี้ตูไปศูนย์ฝึกของหน่วยอีจื้อ
แท้จริงแล้วที่นั่นเป็นสถานที่ฝึกของสมาชิกฝึกหัดเตรียมพร้อมเข้าหน่วยอีจื้อ
วันนี้เนี่ยอี้ไม่อยู่ ไปโลกจอมยุทธ คนที่รับผิดชอบการฝึกคือหัวหน้าทีมสองและหัวหน้าทีมสาม
พอเห็นอิ๋งจื่อจินมา หัวหน้าทีมสองกับหัวหน้าทีมสามก็เข้าไปหา “คุณอิ๋ง”
เนื่องจากครั้งก่อนแม้แต่ทีมชั้นยอดยังถูกเตือน พวกเขาจึงไม่กล้าให้อิ๋งจื่อจินใช้ใบหน้าจริงไปปรากฏตัวต่อหน้าสมาชิกฝึกหัด
“อืม” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเบาๆ “ฉันเล่นได้หรือยัง”
หัวหน้าทีมสองแอบปาดเหงื่อ
“เล่นก็เล่นได้อยู่หรอกครับ แต่วันนี้หัวหน้าไม่อยู่ เลยอยากให้คุณอิ๋งสาธิตให้พวกเขาดูครับ”
อิ๋งจื่อจินไม่ปฏิเสธ “ได้”
สมาชิกฝึกหัดกลุ่มนี้ของหน่วยอีจื้อมีทั้งหมดแปดร้อยคน สุดท้ายคนที่เข้าหน่วยได้สำเร็จมีจำนวนหนึ่งในยี่สิบก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
พวกเขาก็รู้ว่าวันนี้จะมีผู้บัญชาการมาหนึ่งคน จึงรออยู่ในสนามฝึก
ตอนนี้เป็นเวลาพัก บ้างก็ไปดื่มน้ำ บ้างก็คุยกัน
“หัวหน้าหนิง พวกเราอิจฉานายจริงๆ” สมาชิกฝึกหัดคนหนึ่งพูดขึ้น “พวกเรายังโสดกันอยู่เลย แต่นายมีแฟนแล้ว แถมยังเป็นสาวเก่งของมหาวิทยาลัยตี้ตูด้วย เป็นดาวมหา’ลัยด้วยหรือเปล่า”
พวกเขาอยู่ทีมเดียวกับหนิงอวี่เจ๋อ เคยเจอเหยียนอันเหออยู่สองสามครั้ง
หนิงอวี่เจ๋อขมวดคิ้ว “ไม่มีอะไรน่าอิจฉาหรอก”
สมาชิกฝึกหัดไปต่อไม่ถูกเลยเปลี่ยนเรื่องคุย “จะว่าไปพวกนายเคยเจอหัวหน้าของพวกเราไหม”
ทุกคนส่ายหน้า
หัวหน้าที่ว่านี้หมายถึงผู้บังคับบัญชาของหน่วยอีจื้อ
มีแค่สมาชิกที่เข้าหน่วยเป็นทางการแล้วถึงจะเจอได้
“ผู้บัญชาการที่มาวันนี้จะใช่หัวหน้าหรือเปล่า” มีคนด้อมๆ มองๆ ทันใดนั้นก็พูดเสียงหลง
“เป็นผู้หญิงเหรอ”
คนอื่นๆ เงยหน้ามองไป ตะลึงเล็กน้อย
จนถึงตอนนี้ภายในหน่วยอีจื้อยังไม่มีสมาชิกผู้หญิงแม้แต่คนเดียว
แต่พวกเขาเห็นหัวหน้าทีมสองดูนอบน้อมกับผู้หญิงคนนั้นมาก จึงพลอยเกรงกลัวไปด้วย
“แต่งตัวมิดชิดขนาดนั้นคงไม่กล้าเจอหน้าผู้คน” สมาชิกฝึกหัดคนเมื่อครู่พูดขึ้นอีกครั้ง “เอาเป็นว่าสวยสู้แฟนของหัวหน้าหนิงไม่ได้แน่นอน”
“ฉันว่าเพราะสวยมากเลยต้องปิดบังใบหน้าหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเกิดโกลาหลขึ้นมาจะทำไง” สมาชิกฝึกหัดอีกคนค้าน “หัวหน้าหนิงคิดว่าไง”
หนิงอวี่เจ๋อส่ายหน้า ไม่ได้สนใจมาก
เขากำลังส่งข้อความปลอบใจเหยียนอันเหอ
ส่งไปไม่กี่ประโยคก็หมดเวลาพักแล้ว
ต้องคืนโทรศัพท์มือถือแล้วกลับเข้าประจำที่
“พวกนายทุกคน ภารกิจแรกของวันนี้ก็คือยิงเป้า” หัวหน้าทีมสองเอามือไพล่หลัง
“เนื่องจากวันนี้เป็นการฝึก ผลคะแนนฉันจะไม่ตั้งเงื่อนไขอะไรมาก ขอแค่เอาให้ได้ครึ่งของคุณผู้หญิงคนนี้ก็พอแล้ว”
“ผู้บัญชาการ จริงจังเหรอครับ” สมาชิกฝึกหัดคนหนึ่งพูดขึ้น “ยังไงพวกเราก็ต้องได้เกินครึ่งของคุณผู้หญิงคนนี้อยู่แล้วหรือเปล่าครับ”
ถ้าแม้แต่ผู้หญิงยังสู้ไม่ได้ พวกเขาจะเข้าหน่วยอีจื้อได้ยังไง
แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของสมาชิกฝึกหัดมีความคิดแบบนี้ แม้แต่ยิงเป้าพวกเขายังมีประสบการณ์สิบปีขึ้นไป
ผู้หญิงคนนี้ดูรูปร่างผอมบาง แขนจะรับแรงดีดของปืนได้หรือเปล่าเถอะ
ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนใช้เส้นเข้ามา
หน่วยอีจื้อมีพฤติกรรมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
หัวหน้าทีมสองไม่พูดอะไร ยื่นปืนพกสีเงินให้อิ๋งจื่อจิน