ตอนที่ 514 ดูถูกใครกัน ปรมาจารย์อิ๋ง
สายตาของสมาชิกฝึกหัดทุกคนที่อยู่ในสนามฝึกต่างไปรวมอยู่ที่อิ๋งจื่อจิน
เจือไปด้วยความสงสัย สำรวจ และค้นหา
เป้าฝึกของหน่วยอีจื้อแตกต่างกับที่อื่น ยากยิ่งกว่าที่ใช้ฝึกในค่ายทหารมากทีเดียว
แน่นอนว่าสมาชิกฝึกหัดเหล่านี้ไม่รู้ว่าเนื้อหาการฝึกยิงเป้าของพวกเขาส่วนหนึ่งมาจากการฝึกที่ไอบีไอใช้ฝึกพวกนักสืบโดยเฉพาะ อีกส่วนหนึ่งมาจากพวกรายการแข่งขันของนักแม่นปืน
แม้แต่หัวหน้าทีมสองของสมาชิกทางการ ผลคะแนนยิงเป้าครั้งที่ดีที่สุดยังได้แค่ยิงสิบถูกแปด ซึ่งในแปดนัดที่ยิงโดนมีแค่หกนัดที่เข้าตรงกลางสิบแต้ม
ผลงานแบบนี้หากเป็นการแข่งขันทั่วไปก็ถือว่าโดดเด่นมากแล้ว
หากยิงถูกเป้าตรงกลางแปดนัดขึ้นไปก็สามารถติดชาร์ตนักแม่นปืนได้แล้ว
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เหล่าสมาชิกฝึกหัดได้จับปืนในหน่วยอีจื้อ
ก่อนหน้านี้พวกเขาฝึกแต่สมรรถภาพทางร่างกาย
ส่วนโซนพิเศษที่เจ็ดมีไว้สำหรับสมาชิกที่เข้าหน่วยอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น
อิ๋งจื่อจินจับปืนที่อยู่ในมือ หมุนไปมา จากนั้นถึงหันไปหาเป้า
เธอเองก็ไม่ได้เล็งอะไรมาก ยกมือขวาหันกระบอกปืนไปทางเป้าแล้วเหนี่ยวไก
ปัง ปัง ปัง…
ยิงสิบนัดต่อเนื่อง ระหว่างนั้นไม่มีหยุดพัก
สมาชิกฝึกหัดที่อยู่แถวแรกสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ข้อมือของอิ๋งจื่อจินที่จับปืนแทบไม่ขยับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแรงดีดของปืนหลังยิง
เธอใจเย็นมาก ใจเย็นจนเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง
หลังยิงเสร็จสิบนัด บนหน้าจอที่อยู่ด้านขวาหน้าก็ปรากฏภาพแต่ละนัดที่ยิงไป
สิบนัดรวมกันได้หนึ่งร้อยคะแนนพอดี
คราวนี้สีหน้าของสมาชิกฝึกหัดทั้งหมดเปลี่ยนไปในทันที เก็บสายตาที่มองสำรวจเมื่อครู่
“อื้อหือ หัวหน้าหนิง ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ” สมาชิกฝึกหัดที่พูดก่อนหน้านี้พูดขึ้นอีกครั้งด้วยความตะลึง “สิบนัดร้อยแต้ม ผลงานแบบนี้ อย่างน้อยพวกเราครึ่งหนึ่งก็ทำไม่ได้หรอก”
แต่ถ้ายิงให้โดนวงห้าแต้มเขาก็ยังพอจะมั่นใจ
การฝึกในวันนี้มันจะง่ายเกินไปแล้ว
แต่นี่ก็ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันความคิดของสมาชิกฝึกหัดคนนี้
ยิงปืนเก่งขนาดนี้ ฝีมือไม่ด้อยแน่นอน ผู้หญิงแบบนี้รับรองหน้าตาแย่มาก
เขายังคงชอบแบบเหยียนอันเหอ ความรู้ดีมีมารยาท อ่อนโยนงดงาม แถมยังเป็นดาวมหาวิทยาลัยตี้ตู
ในขณะที่เหล่าสมาชิกฝึกหัดเตรียมลงสนาม หัวหน้าทีมสามก็ถือผ้าปิดตาสีดำเข้ามา เป็นแบบที่ทึบแสง ยื่นให้อิ๋งจื่อจินอย่างสุภาพ
อิ๋งจื่อจินรับผ้าปิดตานั้นมาท่ามกลางสายตาของทุกคน
ครั้งนี้ดวงตาของหนิงอวี่เจ๋อเริ่มเบิกกว้างขึ้น
พวกสมาชิกฝึกหัดที่อยู่ข้างๆ ก็อดตะลึงไม่ได้ “เธอคงไม่ได้จะ…”
หลังจากปิดตาเสร็จ อิ๋งจื่อจินก็จับปืนขึ้นมาอีกครั้ง
ยิงต่อเนื่องสิบนัดเหมือนก่อนหน้านี้
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือเป็นเป้าเคลื่อนที่
ทุกครั้งที่เกิดเสียง ปัง คล้ายมีเสียงระเบิดดังอยู่ข้างหูเหล่าสมาชิกฝึกหัด
หลังหมดสิบนัดผลคะแนนรอบสองก็ปรากฏ
ยังคงได้หนึ่งร้อยคะแนน!
“…”
เกิดความเงียบขึ้นในสนามฝึก
พวกผู้ชายอกสามศอกมองตัวเลขหนึ่งร้อยบนเครื่องนับคะแนน
ว้าก
ผู้หญิงที่ดูอ้อนแอ้นเหมือนแค่ลมพัดก็ปลิวทำไมโหดได้ขนาดนี้
นี่ไม่ใช่แค่ปิดตายิง เป้ายังเคลื่อนที่ด้วย!
อย่าว่าแต่ทำผลงานให้ได้ครึ่งหนึ่งของเธอเลย จะยิงโดนหรือเปล่ายังเป็นปัญหา
หัวหน้าทีมสองมองสมาชิกฝึกหัดแปดร้อยคนที่อยู่ในสนามแล้วค่อยๆ พูดขึ้น “พวกนายใครจะลองเป็นคนแรก คนแรกมีเพิ่มคะแนนให้นะ พูดจริงทำจริง ไม่โกหกแน่นอน”
หยุดเล็กน้อยแล้วพูดเสริม “จริงสิ เดิมทีคุณผู้หญิงคนนี้จะแค่สาธิตยิงรอบสองให้พวกนายดู แต่ฉันกับหัวหน้าทีมสามกลัวพวกนายจะรับไม่ไหวเลยให้ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป”
บรรดาสมาชิกฝึกหัด “…”
พวกเขายิ่งรับไม่ไหวเข้าไปใหญ่
“ฉันจะบอกพวกนายให้นะ อย่าดูถูกผู้หญิง พวกนายคิดว่าตัวเองเก่งจริงๆ เหรอ” หัวหน้าทีมสองพูดอย่างเย็นชา “รู้จักคำพูดโบราณของประเทศเราไหมที่บอกว่า ‘เหนือคนยังมียอดคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า’ พวกนายคิดจะดูถูกใครกัน”
“เอาแค่นี้พวกนายยังอยากเข้าหน่วยอีจื้อปกป้องประเทศอีกไหม”
ในสนามฝึกยังคงเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร และก็ไม่มีใครก้าวขึ้นไป
สุดท้ายหัวหน้าทีมสองพูดว่า “วันนี้พวกนายต้องยิงให้ได้ห้าร้อยนัดถึงจะจบการฝึกได้ อีกเดี๋ยวฉันกับหัวหน้าทีมสามจะมาตรวจ ตั้งแถว!”
ห้าร้อยนัด ขนาดคนที่มือไวหน่อยยังต้องใช้เวลายิงหลายชั่วโมง
แต่เหล่าสมาชิกฝึกหัดไม่มีใครบ่นอะไร เพราะพวกเขายังช็อกไม่หาย
หลังจากหัวหน้าทีมสองกับหัวหน้าทีมสามจัดระเบียบการฝึกเสร็จแล้วก็ไปจากสนามฝึก พาอิ๋งจื่อจินไปห้องชกมวย
อิ๋งจื่อจินดื่มน้ำ เริ่มครุ่นคิดว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี
หัวหน้าทีมสองเดินมาตรงหน้า กำมือคารวะ “คุณอิ๋ง รบกวนขอคำชี้แนะด้วยครับ”
อิ๋งจื่อจินวางขวดน้ำดื่มลง พับแขนเสื้อขึ้น “ไม่ต้องเกรงใจ”
สิบนาทีต่อมาหัวหน้าทีมสองก็ลงไปนอนอยู่บนพื้น
เขากะพริบตาปริบๆ ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมาย ‘ไม่ต้องเกรงใจ’ ของอิ๋งจื่อจิน ไม่เกรงใจเลยจริงๆ
เขาล้มไปสามสิบครั้งในสิบนาที ตูดชาไปหมดแล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น เขากลับไม่มีบาดแผลช้ำในแม้แต่น้อย
แสดงให้เห็นว่าอิ๋งจื่อจินควบคุมแรงได้อย่างยอดเยี่ยม
แน่นอนว่าเวลาต่อมาหัวหน้าทีมสามกับสมาชิกในทีมคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน
พวกเขานอนกองอยู่บนพื้น ตูดระบมจนนั่งไม่ได้แล้ว
ฟู่อวิ๋นเซินมารับอิ๋งจื่อจิน พอเข้าไปก็เห็นสภาพแบบนี้ “…”
มือข้างหนึ่งของเขาล้วงกระเป๋า มืออีกข้างกอดเธอหลวมๆ ยิ้มมุมปาก “เด็กน้อย เล่นพอแล้ว”
อิ๋งจื่อจินพิงตัวเขา หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง “ยังถือว่าออมแรง”
สมาชิกหน่วยที่เป็นคนธรรมดาเหล่านี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ ถ้าเธอลงมือจริงๆ พวกเขาคงตายแล้ว
สมาชิกหน่วยอีจื้อทั้งหมด “…”
ฟังดูนะ นี่ใช่คำพูดมนุษย์เหรอ
ยังเป็นมนุษย์ได้อีกเหรอ
อิ๋งจื่อจินหาวหวอด หันไปพูด “ตอนเย็นกินอะไร”
“อืม…” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้น “ทางผู้เฒ่าเนี่ยไปจับปูทะเลมาเยอะ ยังมีของทะเลอื่นๆ อีก เป็นไง”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “กินผัดเผ็ด”
“กินเผ็ดน้อยหน่อย”
“จะกินเผ็ด”
“ได้” ฟู่อวิ๋นเซินยอม “ตามใจ”
หัวหน้าทีมสอง “…”
ทำไมร่างกายของเขาบอบช้ำไปแล้ว หัวใจก็ถูกทรมานด้วยล่ะ
“หะ หัวหน้า ระ รีบกลับมาเถอะครับ” หัวหน้าทีมสองล้วงโทรศัพท์ออกมาพูดเสียงสั่น อยากจะหลั่งน้ำตา “พวกเราจะไม่บอกว่าหัวหน้าโรคจิตอีกแล้ว หัวหน้าจะฝึกยังไงพวกเราจะไม่มีทางปริปากบ่นอีกเด็ดขาด หัวหน้าดีมากๆ ดีจริงๆ”
คนโรคจิต พอมาอยู่ต่อหน้าคุณอิ๋งคือดูปกติไปเลย
เนี่ยอี้ “…”
…
หลังหยุดยาววันชาติกลับมา นักศึกษาปีหนึ่งก็จะเริ่มฝึกระเบียบทหาร
วันนี้ทางมหาวิทยาลัยเลยส่งระเบียบการฝึกกับเรื่องที่ต้องระวังเข้ากลุ่มชั้นปีหนึ่งของแต่ละคณะและสาขา
จี้หลีก็ถูกนับอยู่ในกลุ่มสาขาชีววิทยา
อย่างไรเสียคลาสทดลองที่สาขาชีววิทยากับสาขาเคมีเปิดร่วมกันก็มีแค่จี้หลีเป็นนักศึกษาปีหนึ่งอยู่คนเดียว
“ว้าว เทพอิ๋ง ไม่ใช่แค่มีฝึกยิงเป้า ยังมีฝึกขึ้นเขาด้วยนะ” จี้หลีตื่นเต้นมาก “เยี่ยมไปเลย ระหว่างพักยังเด็ดผลไม้กับตกปลาได้ด้วย”
ส่วนใหญ่จี้หลีแทบไม่มีกิจกรรมบันเทิงอะไรเลยเมื่ออยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมการแข่งขันที่ดุดันภายในตระกูลจี้
อิ๋งจื่อจินก็กำลังอ่านเนื้อหาการฝึก เธอเลิกคิ้ว
ดีจัง วันหยุดสิบสี่วันที่ได้มาไม่ง่ายของเธอ
จนกระทั่งมีคนเรียกเธอ
“รุ่นน้อง รุ่นน้องอิ๋ง ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันหลีหาน”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า
เห็นหญิงสาวสวมกางเกงคาร์โกสีดำ บุคลิกทะมัดทะแมง แต่ไม่ใช่แบบที่จะยอมให้ใครใกล้ชิดได้ง่ายๆ
“เทพอิ๋ง นั่นรุ่นพี่หลีหานที่อยู่สาขาคอมพิวเตอร์” จี้หลีรู้ว่าอิ๋งจื่อจินไม่ได้มามหาวิทยาลัยเลยจึงกระซิบบอก “หัวหน้าชมรมโต้วาที”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเข้าใจ “รุ่นพี่หลี”
“ไม่ต้องเกรงใจ” หลีหานส่ายมือ พูดเข้าประเด็น “ฉันก็แค่มาทำตามความปรารถนาของศาสตราจารย์สูงวัยในคณะเรา ลองดูว่าจะแย่งตัวเธอไปเข้าสาขาคอมพิวเตอร์ได้ไหม”
เซวียกั๋วหวาบอกเธอว่าตอนนี้อิ๋งจื่อจินยังไม่มีสังกัดคณะไหน ดังนั้นต้องแย่งตัวไปให้ได้
เป็นครั้งแรกที่หลีหานทำเรื่องช่วงชิงอะไรแบบนี้ อดเขินอายไม่ได้
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบคำถามนี้
เธอมองหลีหานอยู่สักพัก ทันใดนั้นก็พูดขึ้น “รุ่นพี่หลีคะ ขอไปนั่งเล่นที่ห้องทำงานรุ่นพี่ได้ไหมคะ”
“ได้แน่นอน” หลีหานพยักหน้า “อยู่ที่ศูนย์กิจกรรม เดี๋ยวพาไป”
มหาวิทยาลัยตี้ตูให้ความสำคัญต่อการพัฒนาตัวเองรอบด้านของนักศึกษา อย่างโต้วาทียิ่งให้การสนับสนุนเข้าไปใหญ่
ในฐานะที่หลีหานเป็นหัวหน้าชมรมโต้วาที จึงมีห้องทำงานแยกเดี่ยวไม่ต่างจากหัวหน้าชมรมวิทยาศาสตร์ ประธานสภานักศึกษา และหัวหน้าชมรมอื่นๆ
เธอจับโทรศัพท์มือถือ ส่งข้อความวีแชทหาเซวียกั๋วหวา
[ศาสตราจารย์เซวียคะ หนูว่ามีความหวังแล้วค่ะ]
เซวียกั๋วหวาดีใจมาก
[ฉันบอกแล้ว ฉันมั่นใจในตัวเธอมาตลอด เสี่ยวหาน เธอโต้วาทีหนึ่งต่อสี่ได้สบาย แค่โน้มน้าวรุ่นน้องคนเดียว งานง่ายสำหรับเธอแน่นอน (ยิ้ม)]
หลีหานลูบแขนตัวเอง ขนลุก
[ศาสตราจารย์คะ อย่าส่งหน้ายิ้มมาให้หนูได้ไหมคะ หนูขนลุก]
เซวียกั๋วหวาไม่เข้าใจ กดส่งสามอันต่อเนื่อง
[ (ยิ้ม)(ยิ้ม)(ยิ้ม) หน้ายิ้มมันทำไม มันแสดงถึงไมตรีจิต]
หลีหาน “…”
เธอไม่ควรคาดหวังคนรุ่นปู่อย่างเซวียกั๋วหวาว่าจะเข้าใจความหมายแฝงของอีโมติคอนหน้ายิ้ม
คนหนุ่มสาวกับคนสูงวัยมีช่องว่างระหว่างวัย
เวลานี้เซวียกั๋วหวาส่งมาอีกหนึ่งข้อความ
[สู้ๆ เสี่ยวหาน เอาให้พวกสาขาฟิสิกส์อกแตกตายไปเลย]
หลีหาน “…”
จี้หลีย่อมไม่มีทางตามไป อิ๋งจื่อจินเดินตามหลีหานไปจนถึงศูนย์กิจกรรมของมหาวิทยาลัย
เหยียนอันเหอลงมาจากชั้นบนพอดี ด้านหลังมีพวกหัวหน้าฝ่ายของสภานักศึกษาตามมา
นักศึกษาหญิงคนหนึ่งเงยหน้า อยู่ๆ ก็พูดขึ้น “อันเหอ ดูสิ นั่นหลีหานหรือเปล่า”
เหยียนอันเหอมองไป สีหน้าเปลี่ยน
หลีหานทำไมอยู่กับอิ๋งจื่อจิน
สองคนนี้มีอะไรให้ต้องคุยกัน
“หลีหานเก่งจริงๆ นะ ก่อนหน้าเธอ หัวหน้าชมรมโต้วาทีมีแต่ผู้ชาย แต่พอเธอมา ได้ตำแหน่งนักโต้วาทีหญิงที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีใครสู้เธอได้เลย” นักศึกษาหญิงอีกคนหนึ่งพูด “แต่ก็ดุเกินไป มิน่าประธานสภานักศึกษาคนก่อนถึงถูกใจเธออันเหอ ไม่ใช่หลีหาน”
“แต่ผลการเรียนของหลีหานก็ดีจริง ได้ยินว่ามีศาสตราจารย์ชื่อดังระดับโลกหลายคนส่งจดหมายเชิญมาให้ด้วยนะ”
เหยียนอันเหอละสายตากลับมา ไม่มองอีก มุมปากแสยะยิ้ม “แต่ก็ต้องมีชีวิตรอดจนเรียนจบให้ได้ก่อนนะ”
นักศึกษาหญิงคนก่อนหน้าตกใจ “อันเหอ อย่าวู่วามนะ หลีหานเรียนคนละคณะกับเธอ ไม่ได้ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กัน”
นักศึกษาหญิงที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุดภายในมหาวิทยาลัยตี้ตูก็ต้องเป็นเหยียนอันเหอกับหลีหาน
สองคนนี้เป็นอันดับหนึ่งของชั้นปีทั้งสองคณะ หน้าตาก็สวยมาก
แต่คนที่รู้เรื่องภายในต่างรู้ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกัน
“คิดอะไรน่ะ” เหยียนอันเหอขมวดคิ้ว น้ำเสียงไม่สู้ดีนัก “ฉันหมายถึงว่ายัยนั่นทำตัวเอง โหงวเฮ้งไม่ดี เดี๋ยวจะตายไวเสียก่อน”
“หงะ โหงวเฮ้งไม่ดีเหรอ” นักศึกษาหญิงอึ้ง ตกใจนิดหน่อย “อันเหอ เธอดูโหงวเฮ้งเป็นด้วยเหรอ”
เหยียนอันเหอไม่ตอบ ถือเป็นการยอมรับ
แน่นอนว่าเธอดูโหงวเฮ้งหรือดูดวงไม่เป็น
แต่เธอรู้จักปรมาจารย์ของสมาคมโหราศาสตร์
นี่ก็เป็นเพราะเหยียนรั่วเสวี่ยอยู่ในวงการที่มีแต่คนเก่งๆ
มีครั้งหนึ่งเธอเชิญปรมาจารย์คนนี้ไปดูบ้านให้ ระหว่างที่ผ่านมหาวิทยาลัยตี้ตูบังเอิญเจอหลีหาน
ปรมาจารย์คนนั้นจึงดูให้หลีหานโดยเฉพาะ บอกว่าหลีหานมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินอายุยี่สิบสอง ชีวิตจะถึงฆาต
เหยียนอันเหอรู้ว่าพวกปรมาจารย์ในสมาคมโหราศาสตร์ไม่ใช่หมอดูกำมะลอ แต่มีความสามารถจริงๆ
ปรมาจารย์คนนั้นพูดแบบนี้ได้ก็แสดงว่าหลีหานอายุสั้นแน่นอน
คนอายุสั้น ต่อให้อนาคตสดใสยังจะมีประโยชน์อะไร
เหยียนอันเหอขมวดคิ้ว
แต่หลีหานกับอิ๋งจื่อจินรู้จักกันแล้ว ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธออยากเห็น
เธอเม้มริมฝีปาก สมองเริ่มคิดหาทางอย่างรวดเร็ว
…
ทางด้านหลีหานได้พาอิ๋งจื่อจินเข้าไปในห้องทำงาน
ข้าวของภายในห้องทำงานเรียบง่ายมาก
หลีหานรินน้ำสองถ้วย “รุ่นน้องอิ๋ง นั่งสิ ในนี้ไม่มีใคร”
อิ๋งจื่อจินนั่งลง เธอถือถ้วยกระดาษแล้วพูดขึ้น “เมื่อสามปีก่อนรุ่นพี่หลีเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเกือบไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย”
สีหน้าของหลีหานชะงัก
“เมื่อสองปีก่อนในงานแข่งร้องเพลงของนักศึกษาใหม่ที่มหาวิทยาลัยตี้ตูจัดขึ้น รุ่นพี่ถูกคนผลักตกเวทีจนต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลหนึ่งอาทิตย์”
“เมื่อเดือนก่อนรุ่นพี่เกือบถูกของที่หล่นจากที่สูงหล่นใส่หัว”
อิ๋งจื่อจินเหลือบตาขึ้น สุดท้ายพูดว่า “รุ่นพี่จะตายภายในสามเดือนอย่างไม่ต้องสงสัย”
ภายในห้องทำงานได้ยินเพียงเสียงเข็มวินาที