ดวงตาของอิงเฟยเฟยฉายแววมีความหวัง
จงจือหว่านเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลจง อิ๋งจื่อจินเป็นลูกเลี้ยงของตระกูลอิ๋ง
ตัวตนและสถานะ แค่ดูก็รู้ว่าต่างกัน
ดังนั้นอิ๋งจื่อจินจะต้องฟังคำพูดของจงจือหว่านแน่นอน บอกให้ตำรวจปล่อยตัวเธอ
“คุณตำรวจคะ” อิ๋งจื่อจินไม่แม้แต่จะมองจงจือหว่าน เธอพยักหน้าให้ตำรวจสองนายอย่างสุภาพ “ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นยังไงเหรอคะ”
ตำรวจทั้งสองนายอยู่ในวัยกลางคน ครอบครัวก็มีเด็กวัยนี้ หลังจากที่รู้เรื่องที่อิงเฟยเฟยทำก็โมโหขั้นสุด
โชคดีที่เด็กสาวเจ้าทุกข์มีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่เป็นอะไร
หนึ่งในตำรวจมองจงจือหว่านด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย “พาไปด้วยกัน”
แน่นอนว่าถ้าเรื่องไม่ได้เกิดกับตัวเองใครจะอยากยุ่ง
“ไม่ต้องกลัวนะนักเรียน” ตำรวจอีกคนพูดปลอบใจ “มีพวกเราอยู่ ไม่มีใครกล้ารังแกหนูแน่”
สองมือของอิ๋งจื่อจินล้วงกระเป๋า ท่าทางสบายๆ พยักหน้าเบาๆ “ขอบคุณค่ะคุณตำรวจ”
ตำรวจทั้งสองนายระเบิดพลังความรักของมนุษย์พ่ออย่างเต็มที่
ดูสิ เด็กคนนี้เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายขนาดไหน
จงจือหว่านนึกไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินจะไม่ชายตามองเธอ ราวกับว่าการให้ความสนใจเธอเป็นเรื่องที่เสียเวลามาก
ใบหน้าของเธอแดงก่ำขึ้นมาทันที ความอับอายทะลักพลุ่งพล่านในจิตใจ ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างรุนแรง
จงจือหว่านเม้มริมฝีปาก พยายามข่มความไม่พอใจของตัวเอง “น้องจื่อจิน ทำไมเธอ…”
“นี่ เธอเรียกใครน้องน่ะ” เจียงหรานเตะขวดน้ำเปล่า ขาดก็แค่กระโดดถีบ เขาแสยะยิ้ม “อย่ามาทำเป็นตีสนิทอยู่ตรงนี้ ถ้าให้ฉันได้ยินอีกครั้ง เธออยู่ในชิงจื้อต่อไปอีกไม่ได้แน่ เข้าใจ๋”
คิดจะมาเหยียบหัวเขาอีกครั้ง ฝัน?
พวกลูกน้องที่ไว้ผมทรงพังค์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตะโกนเสียงโหดขึ้นมา “นั่นสิ นี่คือพ่ออิ๋งของพี่หรานของพวกเรา เธอเป็นใคร สมควรมาเรียกน้องเหรอ”
เจียงหราน “…”
ไอ้X
ชื่อเสียงขาใหญ่ประจำโรงเรียนหายไปไม่เหลือหลอแล้ว
“เจียงหราน นาย!” จงจือหว่านโมโหจนตัวสั่นขึ้นมาทันที ดวงตามีม่านน้ำตาคลอ “มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”
เจียงหรานแสยะยิ้ม ถือชุดนักเรียนเดินออกไป
“จึ๊ พ่ออิ๋ง เธอน่าจะมองออกแล้วใช่ไหม ยัยจงจือหว่านชอบเจียงหราน” ซิวอวี่ลูบคางพลางทำเสียงจึ๊
“แต่น่าเสียดาย อีคิวระดับเจียงหรานน่ะ ต่อให้ยัยนี่วิ่งไปสารภาพรักต่อหน้า เขาก็คงคิดว่ายัยนี่เพี้ยนไปแล้ว”
อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วขณะ
เธอมองไม่ออกจริงๆ
อาจเพราะเธอไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเด็กสาว
พออิงเฟยเฟยเห็นว่าแม้แต่จงจือหว่านก็ช่วยไม่ได้ เธอก็ปล่อยโฮอย่างหนัก “อิ๋งจื่อจิน ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันคุกเข่าให้ดีไหม อย่าฟ้องฉันเลยนะ”
คนแถวนั้นที่ไม่รู้ความจริงส่วนใหญ่จะสงสารคนที่อ่อนแอ พอเห็นอิงเฟยเฟยอยู่ในสภาพนั้นต่างก็อดสงสารไม่ได้
“นั่นสิๆ เพื่อนกันทั้งนั้น”
“แล้วๆ กันไปเถอะ…”
“อิงเฟยเฟย อย่ามาเรียกคะแนนสงสาร ก่อนหน้านี้ทำอะไรไว้” ซิวอวี่ชี้อิงเฟยเฟย “ทุกคนยังไม่รู้ใช่ไหมล่ะ ยัยนี่ อิงเฟยเฟย ตอนแรกก็สร้างข่าวลือว่าจื่อจินอ่อยเจียงมั่วหย่วน แถมยังไปดูถูกในเน็ต บอกให้จื่อจินไปตาย”
เธอแสยะยิ้ม “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแมงมุมคราวก่อน นี่ไม่ใช่การฆ่าคนเหรอ พวกเธอเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก’ หรือเปล่าล่ะ”
นักเรียนที่เมื่อครู่ยังช่วยขอร้องแทนอิงเฟยเฟยต่างก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องเป็นแบบนี้ สายตาเปลี่ยนเป็นรังเกียจในทันที
“น่าขยะแขยง ไม่รู้ว่าพ่อแม่สั่งสอนมายังไง”
“ฉันเคยเจอแม่ยัยนี่นะ ปากบอกว่าตัวเองเป็นคุณนายเศรษฐี จริงๆ ก็คงเป็นแค่เศษขยะ มิน่าล่ะ”
“ไม่ ฉันไม่ไปนะ อิ๋งจื่อจิน ขอร้องล่ะ…” อิงเฟยเฟยร้องไห้เหมือนคนบ้า ถูกตำรวจสองนายคุมตัวไปแล้ว
อิ๋งจื่อจินหาวออกมา เดินพลางกินสับปะรด “ไปเถอะ”
ซิวอวี่ยกนิ้วโป้งปักลงให้จงจือหว่านแล้วเดินไปสนามกีฬา
พวกนักเรียนต่างก็แยกย้าย พากันซุบซิบ
“นางฟ้าจงอยู่คลาสเด็กอัจฉริยะ รู้ความจริงทั้งหมดแต่กลับยังช่วยพูดแทนอิงเฟยเฟย ฉันล่ะทึ่งมาก”
“แถมยังเรียกอิ๋งจื่อจินว่าน้องด้วยนะ เขามีแต่ช่วยพี่น้องตัวเองก่อน แต่นี่กลับช่วยคนนอกเฉย”
เป็นครั้งแรกที่จงจือหว่านถูกมองด้วยสายตาพิพากษาในโรงเรียน
ปกติเพื่อนนักเรียนมีแต่จะชื่นชมเธอ
เป็นแบบนี้ได้ยังไง
จงจือหว่านกัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าซีดเซียว
เธอกำมือแน่น วิ่งกลับเข้าอาคารเรียน
…
คาบวิชาพลศึกษาเป็นการทำกิจกรรมอิสระ
อิ๋งจื่อจินพิงอยู่ใต้ต้นไม้ ใส่หูฟังฟังเพลง จากนั้นก็ส่งข้อความวีแชทหาฟู่อวิ๋นเซิน
[ฉันดูงานประมูลออนไลน์ช่วงนี้ในสตาร์แล้ว ไม่มีสมุนไพรหกชนิดนั้น]
ปกติฟู่อวิ๋นเซินตอบเร็วตลอด ก็ไม่รู้ว่าวันๆ เขาทำอะไรบ้าง
[อืม พี่ชายรู้แล้ว เรื่องนี้เธอไม่ต้องสน พี่ชายจัดการก็พอแล้ว]
สองวินาทีต่อมาเขาก็ส่งมาอีกหนึ่งข้อความ
[ตอนเย็นไปร้านขายสัตว์เลี้ยงไหม]
[หืม?]
[อยากเลี้ยงหมูไม่ใช่เหรอ]
อิ๋งจื่อจินขมวดคิ้ว
ติดอันดับในเวยปั๋วแล้วไม่ดีจริงๆ ด้วย ใครๆ ก็รู้เวยปั๋วของเธอหมดแล้ว
[อย่ามาแอบส่องชีวิตวัยรุ่น]
[…เด็กน้อย โจมตีด้วยอายุมันจะมากเกินไปหรือเปล่า]
ขณะที่อิ๋งจื่อจินกำลังคิดว่าจะปลอบใจเขาอย่างไร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกน
“พ่ออิ๋ง หลบไปๆ!”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้าก็เห็นลูกบาสกำลังลอยมาทางเธอ
เธอไม่ได้หลบ ยกมือขึ้นจับลูกบาสลูกนั้นไว้อย่างมั่นคงแล้วโยนกลับไปด้วยมือเดียว
ลูกบาสลอยเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ ฟึ่บ กระทบแป้นบาสแล้วเด้งลงห่วง จากนั้นก็ตกกระทบพื้นแล้วกลิ้งไปไกล
“…”
นักเรียนชายที่อยู่ในสนามบาสต่างยืนอึ้ง
อื้อหือ
แบบนี้ก็เข้าเหรอ
ระยะห่างอย่างน้อยๆ ก็สิบห้าเมตรหรือเปล่า
ชู้ตสามแต้มระยะยังแค่หกจุดสองห้าเมตร
“เทคนิคชู้ตบาสของพ่ออิ๋งดูเหมือนจะล้ำกว่าพี่อีกนะ” ลูกน้องพูดขึ้นด้วยความตกใจ “พี่หราน ตำแหน่งเจ้าพ่อบาสเก็ตบอลของพี่สั่นคลอนแล้ว!”
เจียงหรานหน้าบึ้งสนิท กัดฟันพูด “หุบปากไปเลย!”
ช่วงไม่กี่วันมานี้เขาทำตัวเงียบจนไม่อยากพูดแล้ว
ต่อให้อยู่ตี้ตู เขาก็ยังไม่เคยเจอคนประหลาดเข้าขั้นพิสดารเท่านี้มาก่อน
เมื่อเทียบกับอิ๋งจื่อจิน ทายาทสืบทอดพวกนั้นในตี้ตูกลับเทียบไม่ติด
เจียงหรานโมโหจนเตะลูกบาสแล้วเอามือล้วงกระเป๋าเดินออกไป
…
ตอนที่คุณนายอิงได้รับสายจากตำรวจก็ยังไม่อยากเชื่อ
อิงเฟยเฟยของเธอเป็นเด็กดีมาตลอด ทำไมถึงขึ้นโรงพักได้
คุณนายอิงรีบเดินทางไปที่สถานีตำรวจ เมื่อได้สอบถามถึงรู้ว่าเป็นเพราะข้อพิพาทใส่ร้ายป้ายสีในเน็ต
อดรู้สึกโล่งอกไม่ได้
ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“คุณตำรวจคะ เรื่องแค่นี้ทำให้ยุ่งยากแบบนี้ทำไมกันคะ” คุณนายอิงประดิษฐ์ยิ้ม เจือไปด้วยความอวดดี “ให้ทางนั้นชดใช้ให้ทางเราก็พอแล้ว ฉันไม่เรียกเยอะ เอาแค่ห้าแสนแล้วกันค่ะ ทำขวัญให้เฟยเฟยของฉัน”
พอคำพูดนี้ออกมาก็เงียบกันทั้งห้อง
ตำรวจที่มีหน้าที่จดบันทึกคำให้การวางปากกาลง มองเธอด้วยสายตาประหลาด พูดประชด “ชดใช้ให้พวกคุณเหรอ”
คุณนายอิงเริ่มอาย ที่มากกว่าคือความโมโห “ฉันพูดผิดตรงไหนเหรอคะ”