อิ๋งลู่เวยเป็นน้องสามีของเธอ เธอจะทนนิ่งดูดายได้เหรอ
เธอไม่เชิญหมอไปลงครัวด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ
ทำไมลูกสาวแท้ๆ ของเธอถึงไม่เข้าใจเธอบ้าง กลับทำให้เธอเสียใจ
“คุณนายใจเย็นๆ นะครับ” พ่อบ้านคิดเล็กน้อยแล้วพูดปลอบ “คุณหนูรองอาจอยู่ในวัยต่อต้านก็ได้นะครับ”
“วัยต่อต้านเหรอ” จงมั่นหวาโมโหจนหัวเราะ “เธอเคยได้ดั่งใจฉันด้วยเหรอ ไม่เชื่อฟังเลยสักนิด ตอนนี้ไม่สนใจฉันแล้ว หรือเธอไม่อยากยอมรับฉันเป็นแม่แล้วใช่ไหม”
พอพูดถึงเรื่องนี้เธอก็โมโห
สอนมานานขนาดนี้เล่นเปียโนไม่เป็น เขียนศิลปะอักษรไม่เป็น แม้แต่ภาษาอังกฤษก็พูดไม่คล่อง ไม่มีบุคลิกของคุณหนูตระกูลไฮโซเลยสักนิด
จงมั่นหวายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห “เมื่อหนึ่งปีก่อนตอนที่มั่วหย่วนพาเธอกลับมา ฉันเห็นเธอว่านอนสอนง่าย ใครจะรู้ว่าจะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้”
ตระกูลอิ๋งขายหน้าหมดแล้ว!
ตอนนี้ยังจะไปคบกับฟู่อวิ๋นเซิน
ฟู่อวิ๋นเซินเป็นใคร คุณชายเสเพลที่ใครๆ ในเมืองฮู่เฉิงต่างรู้จัก ทำอะไรก็ไม่เป็น มีแค่หน้าตาหล่อๆ ไว้ถึงเวลาถูกขายยังจะช่วยเขานับเงินเสียด้วยซ้ำ
พ่อบ้านไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จึงแค่เตือน “คุณนายครับ สี่ทุ่มครึ่งแล้ว คุณหนูใหญ่ยังรอคุยโทรศัพท์กับคุณนายอยู่นะครับ”
มองจงมั่นหวาที่ทั้งเสียใจทั้งโมโห เขาส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
คุณหนูใหญ่ของตระกูลอิ๋งไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของคุณนายอิ๋ง ถูกรับมาเลี้ยง
แต่ถึงจะเป็นลูกเลี้ยงกลับเอาใจใส่ยิ่งกว่าลูกแท้ๆ
โชคดีที่คุณนายผู้เฒ่าเป็นคนฉลาด ประกาศบอกคนภายนอกว่าคุณหนูรองเป็นแค่ลูกเลี้ยง ไม่อย่างนั้นหากให้อีกสามตระกูลใหญ่รู้ความจริงเรื่องนี้เข้า มีหวังได้โดนดูถูกเหน็บแนม
เขาอยู่กับตระกูลอิ๋งมายี่สิบกว่าปี และก็เคยรับใช้ผู้เฒ่าอิ๋งกับคุณนายผู้เฒ่า จึงพอจะรู้เรื่องราวในตอนนั้นอยู่บ้าง
สิบห้าปีก่อน ตระกูลอิ๋งมีการค้าครั้งใหญ่ที่เชื่อมโยงกับเมืองตี้ตู ทุกคนในบริษัททำงานกันหามรุ่งหามค่ำแทบไม่ได้นอน โชคดีที่สุดท้ายก็เซ็นสัญญาออเดอร์นี้ได้สำเร็จ
วันเซ็นสัญญา อิ๋งเจิ้นถิงกับจงมั่นหวาออกไปงานเลี้ยงสังสรรค์ด้วยกัน ปรากฏว่าพอกลับมาตอนค่ำก็พบว่าเด็กทารกหายไปจากเปลแล้ว
ไม่มีร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับหายไปกลางอากาศ
พ่อบ้านคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เขาแค่เดินไปที่ครัว ภายในระยะเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
เด็กทารกอายุยังไม่ถึงขวบ เป็นไปไม่ได้ที่จะวิ่งหนีออกไปเอง
ตระกูลอิ๋งส่งคนออกไปตามหาจำนวนไม่น้อย แต่ก็หาไม่พบ
ตอนนั้นจงมั่นหวาสติแตกจนเกือบเป็นบ้า ช่วงนั้นสภาพจิตใจของเธอเคว้งคว้าง ออกไปข้างนอกเห็นเด็กทารกที่ไหนก็จะวิ่งเข้าไปกอดพร้อมร้องไห้ อิ๋งเจิ้นถิงทนเห็นภรรยาตัวเองเป็นแบบนี้ไม่ได้ จำต้องคิดหาหนทาง รับเด็กมาเลี้ยงคนหนึ่ง
เด็กคนนี้จะต้องเหมือนลูกสาวของพวกเขาที่หายไป เด็กอายุไม่ถึงขวบยังไม่โตดีนัก ถ้าไม่ได้เลี้ยงด้วยตัวเองทุกวันไม่มีทางแยกออก
หลายเดือนต่อมาในที่สุดสภาพจิตใจของจงมั่นหวาก็มั่นคง ต่อมาพอเธอรู้เรื่องที่อิ๋งเจิ้นถิงทำก็ไม่ได้นึกโกรธอะไร ความรักของเธอที่มีให้ลูกก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ตัวเด็กที่ถูกรับมาเลี้ยงคนนี้ในช่วงเวลานี้ ดูแลอย่างเอาใจใส่ทุกวัน ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ
แน่นอนว่าอิ๋งเจิ้นถิงยังคงแอบส่งคนไปตามหาทารกที่หายไปอยู่ เพียงแต่ตามหาอยู่สองปีไม่พบ นานวันเข้าก็เลิกล้มความคิด
เดิมทีตระกูลใหญ่ก็ไม่ขาดแคลนลูกหลาน แอบมีลูกเป็นโขยง อิ๋งเจิ้นถิงจัดการปิดเรื่องนี้ เตือนคนที่รู้เรื่องในตอนนั้นทุกคนว่าห้ามแพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว
อย่างไรเสียตระกูลอิ๋งก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองฮู่เฉิง การเคลื่อนไหวทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญมาก ข่าวเสียหายแบบนี้หากถูกป่าวประกาศออกไปย่อมสะเทือนวงการอย่างที่เลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นแม้แต่คุณชายใหญ่ของตระกูลอิ๋งก็ไม่รู้ว่าน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองหายตัวไป ยกเว้นพวกพ่อบ้านไม่กี่คน ผ่านไปสิบกว่าปี ทุกคนต่างค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไป
พ่อบ้านเองก็รู้ว่าจงมั่นหวาหงุดหงิดใจเรื่องอะไร ครอบครัวของเธอรักใคร่กลมเกลียว มีลูกสาวลูกชายที่ยอดเยี่ยมทั้งคู่ โดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางผู้คนใครเห็นเป็นต้องอิจฉา
ปรากฏว่าอยู่ๆ คุณหนูตัวจริงก็ถูกตามพบ เดิมทีควรเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่คุณหนูตัวจริงมาจากบ้านนอก ไม่รู้จักเรื่องมารยาท ทำอะไรก็ไม่เป็น ทั้งยังชอบทำเรื่องขายหน้า ไม่คู่ควรสถานะคุณหนูใหญ่ของตระกูลอิ๋ง
แต่สายเลือดของตระกูลอิ๋งจะถูกปล่อยไว้ข้างนอกไม่ได้ แม้ว่านี่จะเป็นจุดด่างพร้อย สุดท้ายก็รับกลับมาในรูปแบบของลูกเลี้ยง
ไม่ว่าจะเป็นอิ๋งเจิ้นถิงหรือจงมั่นหวาต่างไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม อย่างไรเสียคุณหนูรองก็สู้คุณหนูใหญ่ไม่ได้สักเรื่อง
ตระกูลอิ๋งแห่งเมืองฮู่เฉิงใช่ว่าเป็นอำเภอเล็กๆ ที่จะเอาชนบทมาเทียบได้ การที่ได้เข้าไปเหยียบในแวดวงคนชั้นสูงก็ถือเป็นวาสนาของคุณหนูตัวจริงคนนี้ ไม่ควรละโมบไปมากกว่านี้
“ดูความจำฉันสิลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ไปเสียสนิท” จงมั่นหวานวดขมับ หยิบโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์ หลังจากได้ยินเสียงปลายสายก็ยิ้มออก “ฮัลโหล เสี่ยวเซวียน แม่เองนะลูก วันนี้เป็นไงบ้างจ๊ะ”
“ได้จ้ะได้ งั้นก็ได้ ลูกอยู่ยุโรปเรียนให้สบายใจขาดเหลืออะไรก็บอกแม่ แม่ไม่รำคาญหรอกลูก…”
…
ภายในห้อง
อิ๋งจื่อจินมองคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเครื่องเก่าที่อยู่บนโต๊ะ เอานิ้วเคาะแป้นคีย์บอร์ดไปสองสามทีหน้าจอก็ค้าง “จึ๊…”
ถึงจะไม่เคยสัมผัสกับคอมพิวเตอร์ แต่ก็รู้ว่านี่เป็นของที่เห่ยที่สุด
เธอไม่สนใจมันอีก ก้มหน้าหยิบบัตรธนาคารที่พกมาจากอำเภอชิงสุ่ยออกมาจากกระเป๋าเงินในลิ้นชัก ลองคำนวณดู
ห้าร้อยหกสิบสองหยวนแปดเหมา
น้อยไปหน่อย แต่ก็พอใช้พอดี
อิ๋งจื่อจินละสายตา เอามือข้างหนึ่งยัน กระโดดออกจากชั้นสามที่สูงเก้าเมตรลงสู่พื้นอย่างง่ายดายแล้วออกไปทางด้านขวาของคฤหาสน์ตระกูลอิ๋ง
พ่อบ้านที่กำลังปิดหน้าต่างเห็นเงาของเด็กสาว แต่พอเขามองไปอีกรอบกลับไม่เห็นอะไรแล้ว
พ่อบ้านขยี้ตา พูดพึมพำด้วยความสงสัย “สงสัยจะตาฝาดล่ะมั้ง” เขาคงตาฝาดจริงๆ ที่คิดว่าคุณหนูรองแอบหนีออกไป พ่อบ้านส่ายหน้า หลังจากปิดหน้าต่างก็ไปอุ่นนมร้อนในห้องครัวเตรียมให้จงมั่นหวาดื่มก่อนนอน
…
เนื่องจากฟู่อวิ๋นเซินขัดจังหวะขึ้นมาก่อน เนี่ยเฉาถึงไม่ได้บอกพิกัดที่แน่นอนของตลาดใต้ดิน แต่สำหรับอิ๋งจื่อจิน ขอเพียงแต่ได้รู้ชื่อสถานที่ก็สามารถคำนวณหาได้
เธอมองตัวอักษรบิดเบี้ยวบนป้ายแขวนหน้าประตู ‘เฮอร์มิท’ สายตาจับจ้องชั่วขณะ จากนั้นก็ใส่ผ้าปิดปากแล้วเดินเข้าไป
ตลาดใต้ดินดูวุ่นวายเละเทะยิ่งกว่าเมืองฮู่เฉิงในยามค่ำคืน ผู้คนสำมะเลเทเมา อยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ที่นี่เป็นบริเวณที่สี่ตระกูลใหญ่ยุ่งไม่ได้ คนที่เข้ามาในนี้ส่วนใหญ่จะปกปิดตัวตนของตัวเอง
การมาเยือนของเด็กสาวไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากคนอื่น สายตาคู่หนึ่งมองมาจากด้านหลังจับจ้องมาที่ตัวเธอ เกิดความสนใจเล็กน้อย
ภายในบาร์สตาร์รี่ไนท์ บาร์เทนเดอร์ที่อยู่หลังเคาน์เตอร์สังเกตเห็นความผิดปกติของชายหนุ่ม เขาเงยหน้าขึ้น “มองอะไรอยู่เหรอ”
“เปล่า” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม ช้อนไวน์ที่อยู่ตรงหว่างนิ้วเรียวยาวได้สะท้อนแสงแวววาว เขาหันมายิ้มพลางพูด “เห็นเด็กดื้อคนหนึ่งน่ะ ดึกป่านนี้ยังหนีออกมาจากบ้าน”