ตอนที่ 739 อิ๋งจื่อจินก็คือคุณหนูใหญ่ที่กลับมา
มิฉะนั้นเดี๋ยวถึงเวลาจะซวยกันไปทั้งตระกูลเรนเกล
เมื่อเทียบกับต้องเป็นแบบนั้นไม่สู้เป็นฝ่ายเปิดเผยก่อน
โมเชี่ยนลอบถอนหายใจ
ทำได้เพียงทำผิดต่อลูเอลกับซู่เวิ่นแล้ว
สำนักผู้วิเศษมีอำนาจปกครองขั้นเด็ดขาดและสถานะที่สูงส่งในเมืองแห่งโลก มีใครกล้าล่วงเกินสำนักผู้วิเศษบ้าง
พูดตามตรงก็คือ โมเชี่ยนรู้สึกว่าอิ๋งจื่อจินไม่ได้มีค่ามากพอให้ตระกูลเรนเกลปกป้องด้วยชีวิต หรือต่อกรกับสำนักผู้วิเศษ
เขาเคยบังเอิญได้ยินมาว่าทำไมสำนักผู้วิเศษถึงต้องกำจัดทารกในเมืองแห่งโลกที่ครอบครองเลือดสีทองด้วย
สงครามศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้ว่าในศตวรรษไหนครั้งนั้นทำให้พวกผู้วิเศษบาดเจ็บสาหัส
พวกผู้วิเศษที่นำโดยผู้วิเศษเดวิลก่อกบฏด้วยวิธีโหดเหี้ยม
เขาเป็นผู้วิเศษที่ชั่วร้าย
ถ้าพวกเขากลับมาเกิดใหม่ก็ต้องกำจัดพวกเขาเสียตั้งแต่ยังเป็นทารก
ผู้วิเศษที่ยังไม่ฟื้นคืนความทรงจำกับพลังก็ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป
แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีกรณีไหนที่พิสูจน์ได้ว่าทารกเลือดสีทองก็คือผู้วิเศษกลับชาติมาเกิด
แต่กันไว้ก่อนย่อมดีกว่าปล่อยให้เกิดเรื่อง
โมเชี่ยนรีบติดต่อสำนักผู้วิเศษขณะเดิน
เขาต้องรีบไปเจอผู้วิเศษจักรพรรดินีกับผู้วิเศษสังฆราชให้เร็วที่สุด!
…
อีกด้านหนึ่ง
ซู่เวิ่นนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนอิ๋งจื่อจินจนกินเสร็จ “วันนี้กลับไปพักที่บ้านไหม แม่ให้คนจัดห้องไว้ให้ลูกเสร็จแล้ว”
แววตาของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ค่ะ” อิ๋งจื่อจินซดน้ำแกงคำสุดท้าย “กลับค่ะ”
เธอเงียบไปสองวินาที
เปลี่ยนสถานที่ แต่ฟู่อวิ๋นเซินก็งัดหน้าต่างเข้ามาได้อยู่ดี
เหมือนไม่มีอะไรต่าง
“ห้องใหญ่มาก เตียงก็นอนได้หลายคน ก็แค่…” ซู่เวิ่นเหมือนอ่านความคิดของอิ๋งจื่อจินออก อึกอักไม่พูด สุดท้ายก็อ้อมค้อม “หนุ่มสาวพละกำลังเหลือล้น แต่ก็ต้องหักห้ามใจบ้าง”
อิ๋งจื่อจิน “…แม่คะ ไม่มีเรื่องแบบนั้น”
“ว่าไงนะ” ซู่เวิ่นตกใจ “ลูกกับอวิ๋นเซินคบกันมาปีครึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ”
นี่ยังไม่ถึงขั้นสุดท้ายอีกเหรอ
ซู่เวิ่นอดกังวลไม่ได้
คงไม่ใช่ไม่ไหวเรื่องนั้นหรอกนะ
อิ๋งจื่อจินยันศีรษะ รู้สึกจนปัญญาเป็นครั้งแรก “มันมีค่ามาก เขาบอกว่าจะเก็บไว้หลังแต่งงาน”
ซู่เวิ่นพยักหน้า “อย่างนั้นเหรอ”
คำพูดนี้ทำให้เธอสบายใจแล้ว
ยังไม่พูดเรื่องความสามารถ แต่ให้เกียรติผู้หญิงก็ควรค่าที่จะเลือกแล้ว
“ซีนายบอกว่ากำลังมา” ซู่เวิ่นดูนาฬิกา “แม่จะกลับบ้านไปสะสางเรื่องต่างๆ หน่อย ลูกออกไปเดินเที่ยวกับซีนายนะ แล้วตอนเย็นแม่จะมารับ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ค่ะ”
ซู่เวิ่นกอดเธอพลางยิ้ม “ลูกแม่เป็นเด็กดีจริงๆ”
โทรศัพท์ที่อยู่ภายในห้องนอนดังขึ้นเวลานี้
โทรศัพท์เครื่องนี้มีไว้สำหรับให้บรรดานักศึกษาติดต่อออฟฟิศของแต่ละฝ่ายในสำนักวิจัยได้สะดวก
อิ๋งจื่อจินหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วรับสาย “ฮัลโหล”
“นักศึกษาอิ๋งใช่ไหม” ปลายสายพูดด้วยเสียงเย็นชา “โทรจากฝ่ายวิชาการ เมื่อคืนเธอไม่อยู่ในหอพัก ไม่กลับมาทั้งคืน แถมไม่ได้ขออนุญาตไว้ก่อน รีบมาให้เร็วที่สุด”
“มิฉะนั้นเธอจะถูกหักคะแนน ถ้าร้ายแรงมากก็คือไล่ออก”
ซู่เวิ่นก็ได้ยิน สีหน้าไม่พอใจ “เยาเยา แม่จะไปที่ฝ่ายวิชาการกับลูกด้วย”
ในฐานะที่เป็นอิทธิพลอันดับต้นๆ ของเมืองแห่งโลก สำนักวิจัยกับตระกูลชั้นแนวหน้าล้วนไม่ใช่ที่ที่จะเอาตัวรอดได้ง่ายๆ
แต่แค่ไม่กลับหอพักครั้งเดียวก็จะไล่ออก เห็นได้ชัดว่ามีคนแอบเล่นงานอยู่ในที่ลับ
เธอชินแล้วกับการสู้กันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
ถึงแม้จะบอกว่าธรรมชาติคัดสรรผู้ที่อยู่รอด แต่การใช้เล่ห์เหลี่ยมก็เป็นการแสดงความสามารถเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง
ซู่เวิ่นเกลียดคนที่จิตใจคับแคบชอบแทงข้างหลัง
เธอลุกขึ้น “เมื่อก่อนไม่มี แต่ตอนนี้มีแม่กับตระกูลเรนเกลหนุนหลังให้ลูกแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้ลูกต้องลำบาก”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่” อิ๋งจื่อจินหาว เลิกคิ้วพลางพูด “เรื่องเล็ก ยังไม่ถึงขั้นต้องให้คุณแม่ออกโรง หนูอยากกินไข่ผัดมะเขือเทศที่คุณแม่ทำ เรื่องนี้สำคัญกว่าค่ะ”
ซู่เวิ่นถูกเบนความสนใจได้ง่ายๆ “ได้จ้ะ แม่จะกลับบ้านไปทำให้”
อิ๋งจื่อจินส่งซู่เวิ่นขึ้นรถแล้วถึงไปที่ฝ่ายวิชาการ
หัวหน้าฝ่ายวิชาการนั่งอยู่ด้านใน พอเห็นอิ๋งจื่อจินก็วางตัวเย็นชาใส่ “มาแล้วเหรอ เมื่อคืนไปไหนมาล่ะ”
มือข้างหนึ่งของอิ๋งจื่อจินล้วงกระเป๋า “เรื่องส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องบอก”
“เรื่องส่วนตัวงั้นเหรอ” หัวหน้าฝ่ายขมวดคิ้ว “เรื่องส่วนตัวก็ต้องบอกเหมือนกัน อยู่ในสำนักวิจัยไม่มีเรื่องส่วนตัว”
“ค่ะ” อิ๋งจื่อจินตอบอย่างสบายๆ “ไปฆ่าคนมา”
หัวหน้าฝ่ายขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม น้ำเสียงก็เย็นชาลง “ดูท่าเธอจะไม่ยอมพูดความจริงสินะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็คงต้องตัดคะแนนเธอแล้ว”
พอเขายกมือ ทันใดนั้นโต๊ะทำงานก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
หัวหน้าฝ่ายเกือบตกเก้าอี้
อิ๋งจื่อจินหันไป เห็นประตูถูกระเบิดออก “…”
เธอรู้แล้วว่าซีนายได้นิสัยชอบทำลายข้าวของมาจากใคร
“ตัดคะแนนเหรอ ลงโทษอะไร” คณบดีนอร์แมนถือปืนเลเซอร์อยู่ในมือ ชี้หัวหน้าฝ่าย “ถ้าผมบอกว่าผมต้องการปกป้องเด็กคนนี้ ฝ่ายวิชาการของพวกคุณยังจะกล้าลงโทษอีกไหม”
หัวหน้าฝ่ายอึ้ง อ้าปากค้าง “คะ คณบดีนอร์แมน…”
“อย่าคิดว่าผมไม่รู้ว่าฝีมือใครเล่นสกปรก” คณบดีนอร์แมนแสยะยิ้ม “พวกคณะพันธุศาสตร์เฮงซวยนั่นใช่ไหม ไม่งั้นคุณเก็บข้าวของไปอยู่คณะนั้นเป็นไง”
“ถ้าคุณยินดี ผมจะไปบอกอธิการบดีตอนนี้ ให้เขาย้ายคุณไปอยู่คณะพันธุศาสตร์”
หน้าผากของหัวหน้าฝ่ายมีเหงื่อผุด
คณบดีคณะพันธุศาสตร์มาพูดกรอกหูเขาจริงๆ
แต่นึกไม่ถึงว่าคณบดีนอร์แมนที่แต่ไหนแต่ไรไม่ยุ่งเรื่องนักศึกษาจะมาเร็วขนาดนี้
ฝ่ายวิชาการดูแลทั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ ถ้าถูกย้ายไปที่คณะพันธุศาสตร์ก็ไม่ต่างอะไรกับถูกลดตำแหน่ง
หัวหน้าฝ่ายก็กลัวพวกนักศึกษาสติเฟื่องของคณะนั้นจับไปทำการทดลองด้วย
“คณบดีนอร์แมน ผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นครับ!” หัวหน้าฝ่ายเริ่มลนลาน “คณะพันธุศาสตร์พูดเกินจริง ผมแค่ว่าไปตามกฎนะครับ!”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว คุณก็แค่เลียแข้งเลียขาคณะพันธุศาสตร์สินะ” คณบดีนอร์แมนส่ายมือ “เก็บคำพูดไว้บอกอธิการบดีเถอะ”
เขาหันไปกวักมือเรียกอิ๋งจื่อจิน “ไปเถอะ อย่าเสียเวลาพูดกับลูกกะจ๊อกเลย”
หัวหน้าฝ่ายทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ได้แต่มองอิ๋งจื่อจินเดินตามคณบดีนอร์แมนออกไป
“น่าโมโหไอ้แก่นั่น” คณบดีนอร์แมนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ช่วงนี้คณะพันธุศาสตร์ชักเอาใหญ่ขึ้นทุกวัน ต้องหาทางกำราบพวกเขาบ้างแล้ว”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด “หนูกำลังคิดว่า หนูน่าจะเข้าคณะพันธุศาสตร์ไปก่อนแล้วกำจัดพวกเขาจากภายในให้แหลกละเอียด”
“สนใจเรื่องชีววิทยาเหรอ”
“หนูเล่นแร่แปรธาตุเป็นนิดหน่อยค่ะ”
คณบดีนอร์แมน “…ศิษย์คนดี อย่าทำอาจารย์ตกใจสิ”
พวกเล่นแร่แปรธาตุมีแต่คนไม่เต็มเต็งทั้งนั้น
“ไว้เดี๋ยวหนูเอายาเล่นแร่แปรธาตุให้ค่ะ ช่วยบำรุงร่างกายได้” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเบาๆ “อาจารย์คะ หนูมีธุระ ขอตัวก่อนค่ะ”
“อ่อๆ ว่าแต่จะไปไหนเหรอ”
“ไปเที่ยวกับอาเล็กค่ะ”
คณบดีนอร์แมนแปลกใจ “ไหนว่าไม่มีครอบครัวไง แล้วอาเล็กโผล่มาจากไหน”
อิ๋งจื่อจินตอบสั้นๆ “ลูกศิษย์คนโตของอาจารย์ค่ะ”
คณบดีนอร์แมนมือสั่น รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า
หืม?
ลูกศิษย์คนเล็กของเขาก็คือคุณหนูที่เพิ่งกลับตระกูลเรนเกลที่วันนี้ลือกันไปทั่วคนนั้นน่ะเหรอ!
ทำไมลูกศิษย์สองคนของเขาถึงมาจากตระกูลเรนเกลทั้งคู่ล่ะ
พันธุกรรมและพรสวรรค์ของตระกูลนี้จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
…
ทางด้านซู่เวิ่นได้กลับถึงบ้านแล้ว
เธอตรงไปที่สุสานด้านหลังแล้วสั่ง “เปิดหลุม”
พ่อบ้านสั่งให้คนเปิดหลุมศพทันที
ในนั้นมีกระดูกของทารกอยู่
ซึ่งก็คือศพทารกที่ตอนนั้นพาวเวล ไลน์เจอร์ แอบสับเปลี่ยน
ซู่เวิ่นหลับตา “เปลี่ยนที่ เอาไปฝังให้เรียบร้อย”
พ่อบ้านกำมือคารวะ “ครับคุณนายใหญ่”
ตอนนี้คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว ถ้ายังเก็บสุสานนี้ไว้อีกก็จะไม่เป็นมงคล
ซู่เวิ่นกระชับชุดคลุม หันไปสั่งทีมคุ้มกัน “ตามฉันไปบ้านตระกูลไลน์เจอร์”
กว่าจะถึงบ้านตระกูลไลน์เจอร์ก็อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาแล้ว
ตระกูลไลน์เจอร์กำลังจัดงานเลี้ยงกันอยู่
สมาชิกของตระกูลหลายสิบคนที่อยู่บนโต๊ะยาวมองซู่เวิ่นที่บุกเข้ามา ต่างก็ตะลึง
“ซู่ซู่ ทำไมวันนี้นึกกลับมาล่ะ” พาวเวลจับสร้อยลูกประคำในมือโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน “กลับมากะทันหันแบบนี้ ไม่มีบอกคนในบ้านสักคำ เลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย”
“ลูกอยู่ที่ตระกูลเรนเกลจนชินแล้ว พ่อกลัวจะไม่ชินกับความเป็นอยู่ของตระกูลไลน์เจอร์น่ะสิ”
ซู่เวิ่นถอดชุดคลุมออก “แต่กลับมาดูเฉยๆ ค่ะ ไม่ได้คิดจะใช้ของอะไรที่นี่”
พาวเวลขมวดคิ้ว
ท่าทีของซู่เวิ่นที่มีต่อเขาดูห่างเหินมาก หรือว่าจะไปรู้อะไรมา
พาวเวลผายมือ “จัดที่นั่งให้ซู่ซู่ด้วย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” ซู่เวิ่นพูด “เจ็บเอว นั่งไม่ไหว”
พาวเวลสะอึก สีหน้าแย่ลง
ไม่ไว้หน้าเขาต่อหน้าคนมากมาย เขาไม่น่าสงสารลูกคนนี้เลยจริงๆ
“ทุกท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าน้องสาวของผมกลับมาทำไม” ไซคูวางตะเกียบลง ยิ้มพลางพูด “เจอตัวหลานสาวของผมแล้วครับ เป็นเรื่องที่น่ายินดี”
“น้องสาวผมอยากมีให้ครบทั้งลูกสาวลูกชาย ก็เลยจะรับไมเดนเป็นลูกบุญธรรม เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งกว่าเดิม ว่าไหมครับ”
เขาไม่เชื่อว่าซู่เวิ่นจะทำอะไรเขาต่อหน้าคนมากมายแบบนี้
“น่ายินดี” ซู่เวิ่นยิ้ม จากนั้นก็หุบยิ้ม พูดเสียงเย็นชา “จับตัวไว้”